องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 313 ห้องนี้เหมาะกับการปลอมตัวเป็นที่สุด
ตู๋ซูเฟิงหยิบตะเกียงน้ำมันชูขึ้นมาด้วยมือข้างหนึ่ง แล้วสาวเท้าเดินเข้าสู่เส้นทางนั้นอย่างช้าๆ ”เมื่อนานมาแล้ว สำนักไท่ไป๋ไม่ได้เป็นดังเช่นในเวลานี้ ไม่มีใครรู้ว่ามีพระราชวังขนาดใหญ่ซ่อนอยู่ใต้สำนักไท่ไป๋ พระราชวังแห่งนี้เป็นที่ที่หน่วยพิฆาตวิญญาณอยู่”
ทันทีที่เขาพูดจบ ก็มีเสียงดังฟุ่บเกิดขึ้น
คบไฟสองฝั่งทั้งซ้ายและขวาถูกจุดขึ้นพร้อมกัน เฮ่อเหลียนเวยเวยสามารถมองเห็นเงาสะท้อนของตัวเองได้จากพื้นหินอ่อนที่ใต้เท้า ทุกซอกมุมของพระราชวังแห่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงรสนิยมหรูหราของผู้เป็นเจ้าของ
มีเสาหินขนาดยักษ์ทั้งหมดสามสิบแปดต้นช่วยรับน้ำหนักของหลังคาทรงกลมนี้เอาไว้
ตู๋ซูเฟิงยิ้มเล็กน้อย แล้วชี้นิ้วไปทางหนึ่ง ”ดูตรงนั้นสิ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองตาม นางเห็นทหารนับพันนายกำลังกินข้าว หรือไม่ก็ลับคมอาวุธของตัวเองอยู่ นางถึงกับอุทานออกมาว่า ”อะไรกัน” จำนวนของพวกเขาชวนให้ตกตะลึงยิ่งนัก
มันไม่ใช่แค่พระราชวังแล้ว นี่มันเมืองโบราณใต้ดินชัดๆ!
เฮ่อเหลียนเวยเวยหันกลับไปมององค์ชายเจ็ดเพื่อแบ่งปันประสบการณ์อันน่าตกใจนี้กับเขา
แต่สิ่งเดียวที่องค์ชายเจ็ดสนใจกลับเป็นหมูตุ๋นที่บรรดาทหารกำลังกินอยู่ พอกันที!
“แม้ว่าจะดึกไปหน่อย แต่ก็ยินดีต้อนรับเข้าสู่หน่วยพิฆาตวิญญาณ” ตู๋ซูเฟิงหมุนร่างสูงเพรียวของตนกลับมามองนาง ”รออีกสักครู่ เดี๋ยวสมาชิกใหม่คนอื่นๆ ก็คงจะมาถึง”
เฮ่อเหลียนเวยเวยกอดอกแล้วเอ่ยว่า ”ข้าคิดว่าคนแรกที่มาหาท่านจะได้รับรางวัลเสียอีก” ไม่อย่างนั้นนางก็คงไม่กระตือรือร้นถึงเพียงนี้
“แน่นอนว่ามีรางวัล” ตู๋ซูเฟิงยิ้มอย่างอบอุ่น ”จากนี้ไปข้าจะเป็นที่ปรึกษาของเจ้า คนอื่นๆ ก็จะมีที่ปรึกษาของตัวเองเช่นกัน”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะ ”ช่างเป็นรางวัลที่ดีจริงๆ”
“พวกเขามากันแล้ว” ตู๋ซูเฟิงมองไปทางหนึ่ง
รอยร้าวปรากฏขึ้นบริเวณทางเข้าถ้ำที่อยู่ไม่ไกลนัก จากนั้นแสงจันทร์ก็ส่องเข้ามา
ร่างสี่ร่างค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้น
สี่หรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้วแล้วมองไปทางนั้นอีกครั้ง นอกจากอวิ๋นปี้ลั่วแล้ว ก็ยังมีชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งเดินมากับพวกเขาด้วย หากจะใช้คำว่างดงามมาบรรยายเขาก็คงจะไม่เกินจริงแต่อย่างใด เพราะเขามีผิวพรรณขาวผ่องยิ่งกว่าสตรีเสียด้วยซ้ำ กระนั้นเขาก็ไม่ได้ดูเหมือนกับผู้หญิงเลย แต่กลับมีเสน่ห์ยิ่งนัก
ผู้ชายคนนั้นหัวเราะทันทีที่เขาเห็นนาง ”ช่างบังเอิญยิ่งนัก”
เขารู้จักนางหรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยชะงักไป แล้วพยายามนึกว่านางรู้จักชายที่มีเสน่ห์เช่นนี้หรือไม่
“อะไรกัน เจ้าลืมข้าแล้วหรือ” ผู้ชายคนนั้นเชิดหน้าขึ้น รอยยิ้มของเขาดูเสแสร้ง
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนร่างอันพร่าเลือนร่างหนึ่งจะปรากฏขึ้นมาในความคิดของนาง ”เจ้าอันธพาลตัวน้อยหรือ”
“ก็ข้าน่ะสิ สายตาของเจ้าก็ยังไม่แย่นี่” ในเวลาเดียวกัน เขาก็ก้มหน้าลง แล้วมองไปที่ร่างเล็กๆ ขององค์ชายเจ็ด ”ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
องค์ชายเจ็ดหรี่ตา ”ญาติผู้พี่หานอวี้ ท่านคลายคำสาปของตระกูลได้แล้วหรือขอรับ”
“ใช่แล้ว” หานอวี้เชิดหน้าขึ้นอย่างชั่วร้าย ”เจ้าคิดว่าอย่างไร ข้าหล่อหรือเปล่า”
องค์ชายเจ็ดเกาศีรษะโล้นเตียนของตน แล้วมองเขาขึ้นลง
หานอวี้ยืดตัวตรง
“ไม่เลวขอรับ แต่พี่สามของข้าหล่อกว่า” องค์ชายเจ็ดหันหน้าไปอีกทางทันทีที่เขาพูดจบอย่างไม่สนใจ!
มุมปากของหานอวี้กระตุก
เฮ่อเหลียนเวยเวยพยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้ นางสงสัยจริงๆ ว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทำอะไรเจ้าอันธพาลตัวน้อยตอนอยู่ที่เมืองอู่ซิวกันแน่ ถึงได้ทำให้หานอวี้เกลียดขี้หน้าเขามาจนถึงตอนนี้ได้ เขาคงไม่ได้จับหานอวี้ล่ามไว้กับเตียงด้วยโซ่เหล็กหรืออะไรทำนองนั้นหรอกใช่ไหม…
แต่ก็พูดได้ไม่เต็มปากเหมือนกัน ในเมื่อเขาเคยกระทั่งจับอีกฝ่ายใส่กระโปรงมาแล้ว
“องค์ชายเจ็ดยังน่ารักเหมือนเคยเลยนะเพคะ” อวิ๋นปี้ลั่วเองก็เดินเข้ามาพร้อมกับมองไปยังเด็กชายหัวโล้นที่ดูมีชีวิตชีวาอยู่
เด็กชายไม่ตอบ เขามักปฏิบัติต่อคนที่เขาไม่คุ้นเคยด้วยความเงียบเช่นนี้เสมอ
แต่อวิ๋นปี้ลั่วก็เป็นคนฉลาด ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยาตอบโต้อย่างไร นางก็จะทำเพียงแค่แย้มรอยยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน
เฮ่อเหลียนเวยเวยขยับริมฝีปากเล็กน้อย แต่นางไม่ได้คุยกับใครอีก
หลังจากที่ตู๋ซูเฟิงรอจนกระทั่งบทสนทนาจบลงแล้ว เขาก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า ”ดูเหมือนพวกเจ้าทุกคนจะรู้จักกันอยู่แล้ว ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ดียิ่งนัก หลายวันจากนี้พวกเจ้าทุกคนจะได้รับการทดสอบร่วมกัน การทดสอบนี้มีด้วยกันทั้งหมดสามส่วน คนที่ผ่านการทดสอบทั้งสามส่วนนั้นจะได้เป็นสมาชิกของหน่วยพิฆาตวิญญาณอย่างเป็นทางการ การทดสอบนี้จะจัดขึ้นที่สำนักไท่ไป๋ จากนี้เป็นต้นไปพวกเจ้าต้องเตรียมตัวให้พร้อมอยู่ตลอดเวลา เพราะการทดสอบนี้โหดร้ายมากทีเดียว มันสามารถพรากเอาชีวิตของพวกเจ้าไปได้เลย ดังนั้นใครก็ตามที่คิดจะถอนตัว ก็สามารถถอนตัวได้ตั้งแต่ตอนนี้เลย”
ทุกคนนิ่งเงียบ
ตู๋ซูเฟิงยิ้ม ”เอาล่ะ ถ้าไม่มีใครปฏิเสธ เช่นนั้นตอนนี้พวกเจ้าแต่ละคนก็ตามที่ปรึกษาของตัวเองไปเลือกห้องของตัวเองได้แล้ว ห้องที่ว่านี้ไม่ใช่ห้องนอนของพวกเจ้า แต่ภายในห้องนั้นจะมีสิ่งของที่พวกเจ้าจำเป็นต้องใช้สำหรับทำภารกิจของตัวเองจัดเตรียมเอาไว้ให้”
หลังจากพูดจบ เขาก็ชำเลืองมองเฮ่อเหลียนเวยเวยกับองค์ชายเจ็ด ”พวกเจ้าสองคนตามข้ามา”
เฮ่อเหลียนเวยเวยพยักหน้าแล้วเดินตามไป อวิ๋นปี้ลั่วยิ้มให้นางตอนที่เดินสวนกัน
เฮ่อเหลียนเวยเวยเคยเจอคนประเภทนี้มาก่อน นางดูสุภาพนอบน้อม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะเป็นมิตร ตรงกันข้าม เฮ่อเหลียนเวยเวยต้องระวังนางเอาไว้
“พี่สะใภ้สาม” เมื่อองค์ชายเจ็ดเห็นภาพนี้ เขาก็หยุดเดิน แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเข้มงวดว่า ”อย่าไปคุยกับคนแปลกหน้าขอรับ พี่สามคงไม่พอใจกับเรื่องนี้นัก”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …
นางรู้สึกเหมือนกับว่านางเพิ่งถูกอีกฝ่ายสอน
ยิ่งไปกว่านั้นคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็ยังเป็นคนที่พี่สามของเจ้าห่วงใยเป็นที่สุดด้วย
“ไปกันเถอะขอรับ” เขาสะบัดแขนเสื้อ ไม่สามารถดูน่าเกรงขามไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว!
เฮ่อเหลียนเวยเวยนึกขำ แต่ก็ยอมเดินตามไป
เด็กชายหยุดเดิน แล้วหันกลับมามองนาง ก่อนจะกางแขนออก
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะ พลางย่อตัวลงไปอุ้มเขาขึ้นมา
เด็กชายซุกศีรษะของตนเข้ากับไหล่ของเฮ่อเหลียนเวยเวย สายตาเต็มไปด้วยคำเตือนของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่อวิ๋นปี้ลั่ว
อวิ๋นปี้ลั่วมีสีหน้างุนงง นางก้มหน้าลง แต่แล้วก็แย้มรอยยิ้มออกมาอีกครั้ง
องค์ชายเจ็ดไม่พูดอะไร เขายังทำหน้านิ่งเหมือนเคย
เขาไม่ชอบผู้หญิงคนนี้
นางเสแสร้งทำตัวเหมือนคุ้นเคยกับเขา
ทั้งหมดเพราะพี่สาม
เด็กชายขยับศีรษะของตัวเองเล็กน้อย แล้วบอกกับเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า ”ถ้าท่านบังเอิญเจอผู้หญิงประเภทนี้อีก ท่านบอกให้พี่สามไล่นางไปเลยนะขอรับ อย่างไรเสียนางก็ทำอาหารไม่เป็น เก็บนางไว้ก็เปล่าประโยชน์”
มุมปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุก ”ดูเหมือนว่าฝีมือการทำอาหารจะเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ มิหนำซ้ำยังเป็นกุญแจสำคัญสำหรับช่วยชีวิตได้ด้วย…”
“แน่นอนอยู่แล้วขอรับ!” เด็กชายเอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง
ตู๋ซูเฟิงที่เดินอยู่ข้างหน้าพวกเขาถอนหายใจออกมาหลายครั้ง เจ้าหนูนี่ก็แค่เห็นแก่กินเท่านั้นแหละ!
“ถึงแล้ว เจ้าเข้าไปดูก่อนเถอะว่ามีสิ่งใดที่เจ้าจำเป็นต้องใช้บ้าง”
นิ้วเรียวของตู๋ซูเฟิงผลักประตูไม้ให้เปิดออก จากนั้นเขาก็ยืนอยู่ข้างประตูเพื่อปล่อยให้คนทั้งสองเดินเข้าไป ห้องนี้ไม่ได้กว้างมากนัก แต่ก็ดูหรูหราทีเดียว!
บนโต๊ะไม้เนื้อแดงมีเครื่องประดับอันงดงามวางเรียงไว้เป็นแถว ที่กลางห้องมีกระจกสีทองแดงขนาดเท่าตัวคนตั้งอยู่ ส่วนด้านซ้ายและด้านขวานั้นไม่ได้มีเพียงแค่ชุดจีนโบราณตัวยาวหลากสีเท่านั้น แต่ยังมีผ้าพันคอคุณภาพดี และเครื่องประดับผมที่งดงามจำนวนนับไม่ถ้วนอีกด้วย
ตรงนี้มีเพียงแค่ของใช้สำหรับผู้หญิงก็จริง แต่อีกฝั่งหนึ่งนั้นยังมีเสื้อคลุมสำหรับผู้ชายจากหลากหลายอาชีพรวมอยู่ด้วย พวกมันมีตั้งแต่เสื้อผ้าคุณภาพต่ำไปจนถึงคุณภาพสูงเลยทีเดียว นับว่าพวกเขามีทุกอย่างที่จำเป็นต้องใช้จริงๆ…