องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 314 องค์ชายสาม
แทบจะในทันทีที่เห็นของพวกนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็นึกถึงห้องที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ปลอมตัวในคฤหาสน์ของถังเส่าขึ้นมา นางเผลอเงยหน้าขึ้นมองไปทางตู๋ซูเฟิง ไม่อาจปิดบังความชื่นชมในดวงตาเอาไว้ได้
“ของทุกชิ้นล้วนแต่เป็นของเจ้า” ตู๋ซูเฟิงยกเครื่องประดับผมสตรีชิ้นหนึ่งขึ้นมา แล้วหมุนมันเบาๆ
ปัง!
ทันใดนั้นก็มีเสียงระเบิดดังขึ้น
เข็มเงินสามเล่มปักเข้าไปในผนังด้วยแรงมหาศาล
ริมฝีปากบางของเฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกขึ้น ”ไม่เลว”
“แต่มันอาจจะดูน่าเบื่อไปหน่อยหากเทียบกับร่มพันกลไกของเจ้า” คำพูดของตู๋ซูเฟิงเต็มไปด้วยความสง่างาม
เฮ่อเหลียนเวยเวยขยับนิ้ว แล้วหยิบของขึ้นมาสองสามชิ้น แล้วหมุนพวกมันไปทางซ้ายทีขวาที นางยิ้มแล้วเอ่ยว่า ”แต่ละชิ้นก็มีวิธีการใช้งานของมันสินะ” ช่างเป็นคลังอาวุธที่ครบครันเสียจริง สมกับเป็นหน่วยพิฆาตวิญญาณที่มีชื่อเสียงไปทั้งใต้หล้าจริงๆ หากมีอุปกรณ์พวกนี้ละก็ นางสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างเงียบเชียบ และสามารถลงมือสังหารได้อย่างไร้ร่องรอยเลยทีเดียว
“เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าเล่าสิ่งที่เจ้ารู้มาให้ข้าฟังได้หรือยัง” แววตาในดวงตาของตู๋ซูเฟิงยังคงสงบราบเรียบ
เฮ่อเหลียนเวยเวยวางของพวกนั้นกลับไป ”ช่วงนี้มีความปั่นป่วนเกิดขึ้นในป่าวิญญาณ มีคนบางกลุ่มทำตัวเพิกเฉยต่อกฎที่ตั้งเอาไว้ และแอบเข่นฆ่าสัตว์ในป่าเป็นจำนวนมาก”
เมื่อได้ยินดังนั้น คิ้วหนาของตู๋ซูเฟิงก็ขมวดเข้าหากันแน่น ”ฆ่าสัตว์ในป่าเป็นจำนวนมากหรือ”
“ใช่” เฮ่อเหลียนเวยเวยหยุดไปเล็กน้อย แล้วกล่าวเสริมว่า ”ดูเหมือนว่าพวกเขาจะคิดว่าวิธีนี้จะช่วยยืดอายุขัยของตัวเองออกไปได้”
ตู๋ซูเฟิงมองนาง ”พวกเขาเป็นใคร”
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า ”ผู้อาวุโสของสี่ตระกูลใหญ่”
ตู๋ซูเฟิงหรี่ตาลงมองนาง ”เจ้ารู้ถึงผลที่กำลังจะตามมาจากคำพูดของตัวเองหรือเปล่า”
“แน่นอน” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม ”ท่านเจ้าสำนักสามารถตรวจสอบดูก่อนได้ อย่างไรท่านก็ไม่มีอะไรต้องเสียอยู่แล้ว”
ตู๋ซูเฟิงลดเสียงลง ”เจ้าพูดถูกว่ามันไม่มีอะไรเสียหาย แต่สำหรับหน่วยพิฆาตวิญญาณแล้ว มันคือการท้าทายเลยก็ว่าได้ ถ้าพวกเราโจมตีสี่ตระกูลใหญ่เพราะเรื่องนี้ มันจะส่งผลกระทบต่ออนาคตของหน่วยเราได้”
“ข้าคิดว่าหน่วยพิฆาตวิญญาณจะไม่กลัวใครเสียอีก” เฮ่อเหลียนเวยเวยเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย
ตู๋ซูเฟิงมองท่าทางของนาง แล้วหลุบตาลง จากนั้นจึงหยิบเศษกระดาษออกมาแผ่นหนึ่ง แล้วยื่นมันให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวย ”พวกเราได้ข้อมูลนี้มาเมื่อเดือนที่แล้ว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในป่าวิญญาณ ไม่ใช่เพียงแค่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่ถูกสังหารหมู่เป็นจำนวนมาก แต่สัตว์อสูรที่ไม่เคยออกจากป่าเองก็ต่างกระเหี้ยนกระหือรือที่จะมุ่งหน้ามายังเมืองหลวงเช่นกัน ก่อนหน้านี้พวกข้าได้ส่งคนไปตรวจสอบเรื่องนี้มาแล้ว แต่ไม่มีใครกลับมาเลย ถ้าสี่ตระกูลใหญ่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จริงละก็ เห็นทีคงจะยุ่งยากอยู่บ้าง”
เฮ่อเหลียนเวยเวยพลิกหน้ากระดาษ และเห็นว่าสิ่งที่อยู่บนนั้นคือข้อมูลของเหตุการณ์ผิดปกติทุกอย่างที่เกิดขึ้นในป่าวิญญาณเมื่อเร็วๆ นี้ทั้งสิ้น
จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่วันที่นางได้พบกับเสี่ยวไป๋ มันก็เคยบอกนางว่ามีใครบางคนพยายามจะฆ่ามัน
ความวุ่นวายในป่าวิญญาณน่าจะเริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนนั้น
แต่เขาสามารถลอบก่อความวุ่นวายภายใต้ความสงบสุขเช่นนี้ได้เชียวหรือ อีกฝ่ายจะต้องเป็นคนที่ละเอียดรอบคอบถึงเพียงใดกัน
เฮ่อเหลียนเวยเวยพับกระดาษแผ่นนั้น ”ดูเหมือนว่าท่านเจ้าสำนักจะเชื่อข้ามาตั้งแต่แรก”
“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย” ตู๋ซูเฟิงทอดสายตามองออกไป ”ทันทีที่ข่าวแพร่ออกไป มันอาจจะทำให้ทุกอย่างแย่ลงก็ได้ ในเมื่อเจ้ายังเป็นสมาชิกใหม่อยู่ ดังนั้นหากเจ้าอยากจะรับเรื่องนี้ไปจัดการ เช่นนั้นก็จงทุ่มสมาธิให้กับการทำบททดสอบนี้ให้ผ่านเสียก่อน”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม ”แล้วท่านเจ้าสำนักคิดอย่างไรกับตราทัพในมือข้าหรือ”
“ข้าขอยืนกรานว่าเราค่อยมาคุยเรื่องนี้กันหลังจากเจ้าผ่านการทดสอบแล้ว” ตู๋ซูเฟิงยิ้มให้นางอย่างอบอุ่น เพียงเสี้ยววินาทีเขาก็กลับกลายเป็นเจ้าสำนักจอมเจ้าเล่ห์และยากจะรับมือของสำนักไท่ไป๋เสียแล้ว ”ข้าเพิ่งนึกออก ในเมื่อมันก็ล่วงเลยเวลาห้ามเข้าออกยามวิกาลของสำนักมาได้ครู่ใหญ่แล้ว และเจ้าก็ยังมัวแต่เตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกเช่นนี้อีก… ดังนั้นตามกฎของสำนักแล้ว เดือนหน้าเจ้าต้องจ่ายค่าเทอมเพิ่มขึ้นอีกสิบตำลึง”
พอพูดจบ ตู๋ซูเฟิงก็เดินออกจากห้องไป
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองร่างของตู๋ซูเฟิงที่กำลังเดินออกไป พร้อมกับนวดขมับที่เต้นตุบๆ ของตนไปพร้อมกัน ”ข้าไม่เคยเจอใครที่ไหนหน้าเงินขนาดนี้มาก่อนเลย”
“เจ้าอยู่ในจุดที่จะแสดงความคิดเห็นเรื่องนั้นกับเขาได้ด้วยหรือ” หยวนหมิงเอ่ยอย่างเหยียดๆ
เฮ่อเหลียนเวยเวยเมินเขา แล้วเคลื่อนสายตาลงมองเด็กชายตัวเล็ก ”อาวุธของเจ้าล่ะ”
“อยู่นี่ขอรับ” เด็กชายขยับฝ่ามือ เผยให้เห็นแท่งไม้สีดำในมือของเขา
เฮ่อเหลียนเวยเวยหยิบมันขึ้นมา แล้วตรวจสอบมันอย่างตั้งใจ ”ศักยภาพในการโจมตีอยู่ที่เก้าส่วน ไม่เลวทีเดียว เอาไว้เรากลับไปถึงห้องเมื่อไหร่ ข้าจะปรับให้เจ้าอีกครั้งก็แล้วกัน”
“ขอรับ” นอกจากเวลากินแล้ว องค์ชายเจ็ดตัวน้อยก็เป็นเด็กที่พูดน้อยคนหนึ่ง
เมื่อได้ยินดังนั้น ตู๋ซูเฟิงที่กำลังจะออกไปก็หันหลังกลับมาทันที ”จริงสิ ระหว่างการทดสอบนี้เจ้าจะถูกทดสอบเป็นคู่ ฝ่ายที่ชนะจะได้รับรางวัลด้วย”
หลังจากรางวัลที่นางได้รับมาเมื่อครู่ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ไม่คิดที่จะสนใจรางวัลอื่นอีกต่อไป
แน่นอนว่าตู๋ซูเฟิงย่อมเข้าใจนางดี รอยยิ้มของเขาเหยียดกว้างขึ้น ”ทุกครั้งที่ชนะการทดสอบ ข้าจะเพิ่มเงินให้อีกหนึ่งหมื่นตำลึง”
“จะเริ่มการทดสอบเมื่อไหร่หรือ” ท่าทางของเฮ่อเหลียนเวยเวยเปลี่ยนไปทันที
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยดูหงุดหงิดขณะมองนางด้วยสายตาลึกล้ำ
เฮ่อเหลียนเวยเวยลูบหัวของเด็กชาย ”ถ้ามีเงินรางวัล ข้าจะซื้อเนื้อให้เจ้ากินนะ”
เนื้อหรือ?!
องค์ชายเจ็ดเงยหน้าขึ้น แล้วพูดตามเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดว่า ”จะเริ่มการทดสอบเมื่อไหร่หรือ”
ตู๋ซูเฟิงพอใจกับความสามารถในการต่อสู้ของสองคนนี้ยิ่งนัก เขาตอบเบาๆ ว่า ”ได้ทุกเมื่อ” เขาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยต่อว่า ”นอกจากสองคนที่เจ้าได้เจอในวันนี้แล้ว ยังมีคนจากนอกสำนักอีกสองกลุ่มด้วย อย่าทำให้สำนักของเราต้องเสียหน้าล่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น องค์ชายเจ็ดตัวน้อยก็ยิ้มเย้ยหยัน ”จะจัดการทุกคนให้หมอบเชียว”
อวดดียิ่งนัก!
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่านางสามารถเป็นเพื่อนกับองค์ชายเจ็ดได้อย่างแน่นอน นางไม่จำเป็นต้องทำสัญญากับองค์ชายสามอีกแล้ว
จะว่าไปแล้ว อวิ๋นปี้ลั่วก็อยู่ที่นี่นี่
องค์ชายสามจะผิดหวังหรือเปล่านะถ้าเขาหาตัวคนไม่พบ
สายลมยามค่ำคืนพัดเข้ามา
ณ มุมหนึ่งของห้องนอนหอสามัญ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ มือของเขากำแน่นอยู่บนโซ่เส้นยาวที่ถูกคลายออก สายตาของเขาเคลื่อนผ่านเงาทมิฬที่เพิ่งตื่นขึ้นมา แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร
แต่บรรยากาศรอบข้างกลับตึงเครียดกว่าเดิม
สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนจากความเฉยชาไปเป็นเย็นชามากขึ้นเรื่อยๆ
ในตอนแรกนั้น เขาคิดว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยถูกลักพาตัวไป
จนกระทั่งเขาเห็นว่าเงาทมิฬไม่ได้สวมเสื้อผ้าอยู่ ดวงตาดำขลับของเขาพลันกลายเป็นเย็นเยียบ
แน่ล่ะ ใครจะสามารถพาตัวนางไปได้
นางหนีไปด้วยตัวเองยังจะเป็นไปได้มากกว่า
มือของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่วางอยู่บนกุญแจโลหะกำเข้าหากันแน่นขึ้น
ทำไมเจ้าถึงหนีไปจากข้าอยู่เรื่อย
เป็นเพราะเจ้าคนสกุลถังนั่นหรือ
หรือเพราะนางไม่ได้เห็นเขาเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะผู้คลั่งความสะอาดคนนั้นอีกต่อไปแล้ว หรือตอนนี้นางรู้สึกว่าหัวใจของเขามันชั่วร้าย และวิธีการของเขามันสกปรก ดังนั้นนางก็เลยทนกับวิธีการของเขาไม่ได้ หรือหมายความว่านางไม่ยอมรับเขา ไม่สามารถยอมรับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้
ความอดทนที่เขามีต่อนาง และการประนีประนอมซ้ำแล้วซ้ำเล่าของเขากลับกลายเป็นเพียงความว่างเปล่าเมื่อเทียบกับการที่เฮ่อเหลียนเวยเวยละเลยเขาไป
ไม่อาจ…ยกโทษให้ได้จริงๆ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอามือข้างหนึ่งปิดหน้าไว้ มืออีกข้างของเขากำโซ่เส้นยาวแน่น ร่างของเขาสั่นเล็กน้อย…