องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 320 นางเป็นแค่เหยื่อธรรมดาหรือ
ระดับน้ำในอุโมงค์ลับลดน้อยลง
ตู๋ซูเฟิงยืนอยู่ข้างกำแพงหิน ที่ด้านขวามือของเขายังมีที่ปรึกษาอีกคนหนึ่งยืนอยู่
“เหล่าไป๋ ท่านยังคิดว่านางไม่ควรเข้าหน่วยพิฆาตวิญญาณอยู่หรือ” ตู๋ซูเฟิงชี้นิ้วไปที่กำแพงหินที่แตกเป็นเสี่ยงนั้น ”ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถทำลายกำแพงหินนี้ได้ง่ายๆ นางยังมีความลับที่เราไม่รู้อยู่”
สีหน้าของที่ปรึกษาที่ชื่อเหล่าไป๋ไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขากลับหัวเราะออกมา ”เด็กสาวคนนี้ทำให้ข้าประหลาดใจก็จริง แต่อย่างไรการทดสอบก็เพิ่งจะเริ่มต้น เรารอดูกันต่อไปดีกว่า หรือท่านว่าอย่างไร”
สายตาของตู๋ซูเฟิงดูลึกล้ำ ”ท่านพูดถูกแล้ว การทดสอบเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น แต่พวกเราจำเป็นต้องตรวจสอบภายในหน่วยพิฆาตวิญญาณเสียก่อน”
“ตรวจสอบภายในหน่วยหรือ” เหล่าไป๋ขมวดคิ้ว ”ทำไมล่ะ”
ตู๋ซูเฟิงเบนสายตากลับมาอีกครั้ง ”มีใครบางคนใช้การทดสอบแรกของพวกเรานำสัตว์อสูรลวงตาเข้ามาในสำนัก อีกอย่างหนึ่ง ข้าเพิ่งได้รับข่าวใหม่มา”
เมื่อได้ยินประโยคนั้น เหล่าไป๋ก็หน้าถอดสี ”ข่าวเรื่องอะไรหรือ”
“มีใครบางคนกำลังล่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เป็นจำนวนมาก” ตู๋ซูเฟิงเงยหน้าขึ้น ”พวกเราต้องนำเรื่องนี้ไปทูลให้อดีตฮ่องเต้ทรงทราบ”
ผู้อาวุโสไป๋ขมวดคิ้วแน่น ”อย่าลืมสิว่าหน่วยพิฆาตวิญญาณต้องไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างสี่ตระกูลใหญ่กับราชวงศ์ นี่เป็นกฎที่กำหนดมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งหน่วย ความยั่งยืนของหน่วยพิฆาตวิญญาณนั้นขึ้นอยู่กับการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด”
“เจ้ายังจำสิ่งที่นายท่านคนก่อนกล่าวเอาไว้ตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ได้หรือเปล่า” ตู๋ซูเฟิงตวัดสายตามองเขา ”หน่วยพิฆาตวิญญาณไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดเพราะมันไม่เคยตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอำนาจใด ไม่เคยอ่อนข้อ และไม่ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง”
“แต่ข้าไม่เข้าใจ ทำไมพวกเราถึงจะกราบทูลเรื่องนี้ให้อดีตฮ่องเต้ทรงทราบ แทนที่จะรายงานมันกับสี่ตระกูลใหญ่ล่ะ ปัญหานี้น่าจะสามารถจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพถ้าหากได้รับความช่วยเหลือจากพวกเขา”
คำแนะนำของเหล่าไป๋นั้นตรงประเด็นทีเดียว
แต่ตู๋ซูเฟิงก็มีความกังวลของตัวเองอยู่ ”มีเหตุผลบางประการที่ข้ายังไม่สามารถเปิดเผยได้ในตอนนี้ แต่พวกเราไม่สามารถร่วมมือกับสี่ตระกูลใหญ่เพื่อจัดการกับปัญหานี้ได้” พูดจบ เขาก็เงียบไปเล็กน้อย ”ยิ่งกว่านั้น ในเวลานี้เฮ่อเหลียนเวยเวยก็มีตราทัพของกองกำลังลับอยู่ในมืออีกด้วย”
“อะไรนะ” นี่เป็นเรื่องที่ทำให้ผู้อาวุโสไป๋ตกใจมากที่สุด พวกเขาทุกคนต่างก็คิดว่าตราทัพของกองกำลังลับนั้นได้หายสาบสูญไปพร้อมกับการล่มสลายของตระกูลเฮ่อเหลียนแล้ว แต่สุดท้ายตราทัพนั่นกลับตกไปอยู่ในมือของเฮ่อเหลียนเวยเวยได้อย่างไร
สายตาของตู๋ซูเฟิงดูอบอุ่นขณะที่เขาเริ่มพูดต่อ ”ก่อนที่นายท่านจะสิ้นใจ เขาเคยบอกว่าพวกเราเป็นทั้งหน่วยพิฆาตวิญญาณและกองกำลังลับ เมื่อผู้สืบทอดที่ถือตราทัพอยู่ในมือผ่านการทดสอบเมื่อใด เขาหรือนางก็จะสามารถขึ้นเป็นผู้นำของกองกำลังลับได้ในทันที หลังจากนายท่านเสียไป ทรัพย์สินและมรดกของตระกูลเฮ่อเหลียนก็จมลงไปด้วย หลังจากนั้นพวกเราก็แสดงตัวต่อหน้าผู้คนในฐานะหน่วยพิฆาตวิญญาณมาตลอด บัดนี้ เมื่อตราทัพปรากฏขึ้นแล้ว ในที่สุดวันคืนอันแสนเศร้าของพวกเราก็จะได้จบลงเสียที…”
ยามรุ่งอรุณมาเยือน หยาดน้ำค้างยามเช้ากลิ้งไปตามแนวใบไม้สีเขียวใบใหญ่
ชิงจ้านยืนอยู่หน้าประตูอย่างกระวนกระวายใจ พร้อมกับมองท้องฟ้าที่ค่อยๆ สว่างขึ้น คิ้วของนางขมวดมุ่น
โดยปกตินั้นนางเป็นคนใจเย็นและพูดน้อย หากนางไม่ได้ตกอยู่ในสถานการณ์นี้ นางก็คงไม่มีปฏิกิริยาเช่นนี้อย่างแน่นอน
สาเหตุหลักมาจากพระชายาที่หายตัวไปตั้งแต่เมื่อคืน
ยิ่งกว่านั้น ทั้งที่ฝ่าบาทส่งคนจำนวนมากออกค้นหาตัวนางไปทั่วทั้งสำนักไท่ไป๋แล้ว แต่ก็ยังไม่เจอตัว
ตามนิสัยของฝ่าบาทที่นางรู้จัก ทันทีที่เขาพบตัวพระชายา นางจะต้องได้รับบทลงโทษอันรุนแรงเกินกว่าจะนึกภาพได้แน่
สายลมพัดผ่าน และเขย่าให้กิ่งไม้สั่นไหว
ป่าไผ่สีเขียวขจีไหวลู่ไปตามลม ในเวลาเดียวกันแสงแดดก็สาดส่องลงมาบนโต๊ะไม้จันทน์ กลีบกุหลาบสีแดงสดดูราวกับถูกแต่งแต้มไปด้วยเลือดสดๆ
เวลาทุกวินาที ทุกนาทีดูเหมือนจะเดินช้าลงเป็นอย่างมาก
ชายคนหนึ่งใช้แขนค้ำร่างของตัวเองอยู่บนโต๊ะขณะที่มืออีกข้างก็เล่นกับกลีบดอกไม้อย่างไม่ใส่ใจนัก ดวงตาสีซีดของเขาทอแสงวาบในยามที่เขาเผยรอยยิ้มเย็นราวกับน้ำแข็งออกมา ”นางยังไม่กลับมาหรือ”
ไม่มีองครักษ์เงาคนใดกล้าส่งเสียง เมื่อวานนี้พวกเขาเพิ่งได้รับบาดเจ็บจากความโกรธอันรุนแรงของฝ่าบาทมาหมาดๆ จนพวกเขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในถึงขั้นช้ำในเลยทีเดียว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยกมือขึ้นเท้าคางด้วยท่าทางอันสง่างาม ขณะเดียวกันพู่สีดำที่แขนเสื้อของเขานั้นก็ช่วยปิดบังรอยยิ้มเหยียดหยันของเขาเอาไว้ เขาเยาะเย้ยว่า ”เจ้ากำลังจะบอกว่ากระทั่งคนแค่คนเดียวพวกเจ้าก็ยังหาตัวมาให้ข้าไม่ได้หรือ เช่นนั้นข้าจะมีพวกเจ้าไว้ทำไมกัน”
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!” เงาทมิฬขัดขึ้น เขาไม่ได้เป็นห่วงตัวเอง แต่เป็นห่วงความโหดเหี้ยมที่ปะทุขึ้นอย่างกะทันหันขององค์ชายต่างหาก
อดีตฮ่องเต้เคยรับสั่งเอาไว้ว่าองค์ชายสามารถทำทุกอย่างได้ตามใจชอบ แต่เมื่อใดที่เขาเริ่มลงมือเข่นฆ่าเพื่อความสนุกแล้วละก็ เขาต้องหยุดฝ่าบาทเอาไว้
มิฉะนั้นทั่วทั้งแผ่นดินคงได้ถูกแต่งแต้มไปด้วยสีเลือดเป็นแน่
“ทำไม” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ เขายกถ้วยชาที่อยู่ข้างตัวขึ้น จากนั้นจึงเขย่ามันเล็กน้อย ใบหน้าด้านข้างกับผิวพรรณอันงดงามนั้นดูหล่อเหลาจนยากจะเข้าใจได้ แต่ก็ดูชั่วร้ายอยู่ในที ”เงาทมิฬ ข้าหวังว่าคำพูดของเจ้าจะทำให้ข้าอารมณ์ดีขึ้นมาได้ ถ้าไม่เช่นนั้นก็จงไสหัวไปซะ!”
เขาพูดประโยคนั้นออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาและดุร้ายเป็นอย่างมาก
เงาทมิฬรู้ดีกว่าใครว่าในคืนนี้มีองครักษ์เงากี่นายที่ถูกฝ่าบาทปลดไปกับมือ
เงาทมิฬคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น หน้าผากของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ ”ตามนิสัยของพระชายาแล้ว นางไม่ใช่คนที่จะหนีไปโดยที่ยังไม่ได้มรดกของตระกูลเฮ่อเหลียนกลับคืนมาพ่ะย่ะค่ะ ตอนที่พระชายาจากไป ท่าทางของนางดูเหมือนกับคนที่รีบไปทำธุระมากกว่าจะไปจากที่นี่ หากนางมีเจตนาที่จะไปจากที่นี่จริงๆ ละก็ นางจะต้องไปหาคุณชายรองเฮยแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ แต่นางก็ยังไม่ได้ไปที่หอชั้นเยี่ยมเลย”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยรับฟังคำพูดของเขา อารมณ์ของเขานั้นยากที่จะคาดเดาได้ เขาทอดสายตามองออกไปไกล แล้วตอบว่า ”เจ้าพูดถูก นางวางแผนที่จะหนีจากข้ามาตลอด และนางก็ไม่ได้รีบร้อนเลยแม้แต่น้อย”
ขณะที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกล่าวเช่นนั้น ใบหน้าของเขาไร้ซึ่งอารมณ์ใด แต่มือซ้ายของเขาที่วางอยู่บนโต๊ะไม้จันทน์กลับกำเข้าหากันแน่น
เขาสัมผัสกุหลาบสีแดงตรงหน้าอย่างอ่อนโยนและแผ่วเบา แต่แล้วสีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา
เกิดเสียงดังปังก้องไปทั่วบริเวณ!
ดอกไม้สีแดงดั่งเปลวไฟอันร้อนระอุสื่อถึงความอบอุ่นนั้น มาตอนนี้กลับร่วงหล่นไปนอนนิ่งอยู่ ณ มุมหนึ่ง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยลุกขึ้นยืน แล้วสอดมือข้างหนึ่งของตนไว้ในกระเป๋า เขามองดอกไม้สีแดงนั้นด้วยสายตาดุดัน
มีบางอย่างทิ่มแทงอยู่ในอกของเขา
หากครั้งนี้นางสามารถหนีเขาไปได้ มันก็จะมีครั้งที่สองตามมา
ต่อให้ครั้งนี้เขาจะสามารถพาตัวนางกลับมาได้
หัวใจของนางก็ยังเป็นของผู้ชายคนอื่นอยู่ดี
เสียงกัมปนาทนั้นดังขึ้นอีกครั้ง!
กำปั้นของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยต่อยลงที่โต๊ะไม้จันทน์ตัวนั้น แล้วจากนั้นเขาก็สูดหายใจเข้าลึก เขาเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหยิ่งผยอง ผมสีดำยาวและใบหน้าเย็นชาแต่ก็สมบูรณ์แบบของเขาทำให้เขากลับมาสง่างามและชั่วร้ายดังเดิม
นางเป็นเพียงแค่เหยื่อสำหรับเขาเท่านั้น
ยังมีผู้หญิงคนอื่นที่ดีกว่านาง สวยกว่านาง และเชื่อฟังกว่านางอยู่ถมเถไป!
องค์ชายสามผู้สูงศักดิ์หมุนตัวกลับ เขาหันหลังให้กับเงาทมิฬ แล้วค่อยๆ เดินห่างออกไปจนลับตา แต่ไม่มีใครสามารถมองข้ามความโดดเดี่ยวที่เขามีได้เลยแม้แต่คนเดียว
ระหว่างที่เดินอยู่ เขาก็ถอดเสื้อคลุมสีขาวของตนออก แล้วโยนมันลงบนเตียงขนาดยักษ์ของตนอย่างลวกๆ พร้อมกับผ้าสีขาวที่พันอยู่รอบมือ
ดวงตาของเขามืดมิดราวกับท้องฟ้ายามราตรี แต่ก็มีประกายเย็นเยียบเจืออยู่ ในเวลาเดียวกันนั้นในดวงตาของเขาก็ปรากฏความโศกเศร้าที่เขาเองก็ไม่เข้าใจออกมา
กิเลนอัคคีเป็นคนที่ใกล้ชิดกับเขามากที่สุด มันย่อมสัมผัสถึงความผิดปกติภายในอารมณ์ของเขาได้อย่างแน่นอน
“นายท่านขอรับ ท่านเคยคิดหรือไม่ขอรับว่าบางทีผู้หญิงคนนั้นอาจจะไม่ได้เป็นเพียงแค่เหยื่อของท่าน”
ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงเย็นชา ”ไม่ใช่เหยื่อ แล้วจะเป็นอะไรได้”
“ท่านไม่เคยปฏิบัติกับเหยื่อของตัวเองเช่นนี้มาก่อนขอรับ...” กิเลนอัคคีเล่นกับขนอันงดงามของตัวเองพลางเอ่ยเช่นนั้น ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่มันถูกบังคับให้ต้องกินใบไม้ธรรมดาที่แม้กระทั่งสุนัขก็ยังปฏิเสธจะกินอยู่เป็นเดือนๆ นั่นอย่างไร!