องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 325 เวยเวยลงมือ
แต่อวิ๋นปี้ลั่วกลับทำราวกับว่านางไม่ได้เป็นกังวลกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย นางกรีดนิ้วของตัวเองพร้อมกับกวัดแกว่งดาบยาวของตนไปด้วย หยดเลือดกระเด็นไปโดนหน้าของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ปีกคู่ตัวนั้น ตามมาด้วยตัวอักษรคำว่า ”รับ”
นัยน์ตาสีเลือดของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ปีกคู่ค่อยๆ หม่นแสงลง ราวกับว่ามันตกอยู่ภายใต้การควบคุมของมนุษย์ตรงหน้า การเคลื่อนไหวของมันเชื่องช้าลง แต่ดวงตาของมันกลับยังดูไม่สงบนัก
แต่คนอื่นมองไม่เห็นภาพนี้
ศิษย์ทุกคนในสำนักรู้สึกตื่นเต้นกับการที่มีคนอัญเชิญสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ปีกคู่ตัวใหญ่ถึงเพียงนี้ได้สำเร็จ
หลังจากเจ้าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ปีกคู่ตัวนั้นสงบลง ทุกคนก็วิ่งกรูกันเข้าไปยืนล้อมรอบตัวมัน พร้อมกับมองมันซ้ายทีขวาที
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาจะได้สังเกตสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่เพิ่งถูกอัญเชิญออกมาจากป่าวิญญาณอย่างใกล้ชิด ทุกคนต่างก็มีคำพูดที่ตนอยากจะพูดอยู่ อีกทั้งยังรู้สึกตื่นเต้นมากเช่นกัน
อวิ๋นปี้ลั่วชักมือของตัวเองกลับ นางยืนอยู่ด้านหน้าของสัตว์อสูรปีกคู่ แล้วยิ้มไปทางผู้ชมเล็กน้อย ท่าทางของนางดูอ่อนโยนยิ่งนัก
ทันใดนั้นใบหน้าของชิงจ้านก็ซีดเผือด
ไม่ใช่เพราะอะไร
แต่เป็นเพราะสายตาขององค์ชายก็หันไปจับจ้องทางนางเช่นเดียวกัน!
ในเวลานี้เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์มีความสุขยิ่งกว่าใคร เพราะครั้งสุดท้ายที่นางได้สัมผัสกับการเหยียบย่ำนังคนชั้นต่ำคนนั้นมันก็ผ่านมานานมากแล้ว นี่จะต้องเป็นโอกาสอันดีอย่างแน่นอน!
ดวงตาของนางแปรเปลี่ยนเป็นชั่วร้าย ตลอดการทดสอบในวันนี้ ความหวังเดียวที่นางมีอยู่ในใจก็คือการทำให้องค์ชายสามรู้ว่าอวิ๋นปี้ลั่วกลับมาแล้ว การทำเช่นนี้จะทำให้นางสามารถหลีกเลี่ยงเคราะห์กรรมที่จะต้องแต่งงานกับฮว๋ายหนานหลังจากจบเทอมนี้ได้
เพราะตอนนั้นอวิ๋นปี้ลั่วจะต้องทำตามแผนการของพวกนาง และขอร้ององค์ชายสามเพื่อช่วยเหลือนางนั่นเอง
ตราบใดที่นางสามารถผ่านพ้นมันไปได้ นางก็จะสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ และจะสามารถปีนขึ้นไปสู่จุดสูงสุดได้อีกครั้ง
นางจะไม่ยอมแพ้
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตั้งแต่เด็ก นางก็เหนือกว่านังคนชั้นต่ำนั่นมาแต่ไหนแต่ไร
แต่ทำไมนางถึงเป็นคนที่ได้แต่งงานเข้าไปอยู่ในวัง!
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์หรี่ตาลง หึ นางอยากจะเห็นนักว่าพระชายาสามจะพ่ายแพ้ให้กับศิษย์ใหม่ที่มาจากนอกเมืองอย่างไร
“พระชายาเพคะ” ชิงจ้านละสายตาของนางออกมาจากภาพนั้น นางจับมือของเฮ่อเหลียนเวยเวยเอาไว้ด้วยความเป็นห่วง ร่างของนางเอียงเข้ามาหาอีกฝ่ายเล็กน้อยราวกับต้องการขวางสายตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอาไว้
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองนางกลับ ”ชิงจ้าน ต่อให้เจ้าปิดบังเขาต่อไปเช่นนี้ หากเขาอยากเห็น ในไม่ช้าเขาก็จะได้เห็น ทำไปก็ไร้ประโยชน์ เจ้าหลบไปเถอะ”
ชิงจ้านมองดวงตาสุกใสเป็นประกายของเฮ่อเหลียนเวยเวย ชิงจ้านลดมือลง แล้วกระเถิบไปยืนข้างๆ พร้อมกับก้มหน้าลงแล้วตอบว่า ”เพคะ”
ท่ามกลางฝูงชนมากมาย
ในที่สุดอวิ๋นปี้ลั่วก็ได้สบตากับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เมื่อนางเห็นคิ้วที่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อยของชายหนุ่ม ริมฝีปากของนางก็กระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
นางรู้ว่าองค์ชายไม่เคยลืมนาง
เป็นอย่างที่นางคาดการณ์เอาไว้
เมื่ออวิ๋นปี้ลั่วหลุบตาลง ความรักใคร่ที่มีก็ยิ่งเพิ่มพูน
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองทั้งสองอยู่
ความเจ็บปวด และความรู้สึกคล้ายกำลังจมน้ำที่อยู่ในท้องของนางยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
แต่มันกลับไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการแสดงออกของนางแต่อย่างใด
เอาล่ะ! เหตุผลที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลือกนางนั้น นอกจากความจริงที่ว่านางเป็นคนที่น่าสนใจแล้ว ก็อาจจะเป็นเพราะเขาต้องการหลอกใช้นาง
และมันก็ควรที่จะเป็นเช่นนั้น
คนที่เข้ามาใกล้นาง ทุกคนล้วนแต่มีจุดประสงค์แอบแฝงเสมอ
ในโลกใบนี้ นางเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่มีทั้งฐานะและอำนาจ แล้วจะมีเหตุผลอื่นที่ทำให้องค์ชายแต่งงานกับนางด้วยหรือ
นางก็เป็นเหมือนกับร่างกลวงๆ นี้ที่ครั้งหนึ่งเคยหลงรักมู่หรงฉางเฟิงหัวปักหัวปำ
เพื่อเรียกร้องความสนใจจากเขา นางถึงขั้นไปที่ตำหนักบูรพาเพื่อขอเงินจากฮูหยินซู นางทำแม้กระทั่งหยิบเอาเสื้อผ้าของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์มาสวมเลยด้วยซ้ำ เพราะทุกคนต่างก็ชอบเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ และสายตาที่เขามองเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์นั้นก็อ่อนโยนยิ่งนัก เขาอาจจะเกลียดนางน้อยลงหากนางสวมชุดของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็ได้
มีแต่ตัวของนางเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่รู้ว่านางต้องทนกับคำก่นด่าและสายตาดูแคลนมากมายเพียงใดเพื่อแลกกับเสื้อผ้าและเครื่องสำอาง นางไม่มีแม่ ดังนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงข้ารับใช้ที่นางจะสามารถออกคำสั่งด้วยได้เลย ทุกความพยายามของนางนั้นล้วนแต่ทำลงไปด้วยหวังว่ามู่หรงฉางเฟิงคนที่นางเคยรู้จักในวัยเด็กจะกลับมาหานาง
แต่ไม่ว่าครั้งใด สิ่งที่นางได้กลับมาก็มีเพียงแค่ความรังเกียจจากเขาเท่านั้น
และยังมีเสียงหัวเราะจากคุณชายคนอื่นๆ พร้อมทั้งคำบริภาษอันไร้ที่สิ้นสุดจากบรรดาบุตรสาวของตระกูลชั้นสูงตระกูลอื่นๆ อีก
ในเวลานั้น มู่หรงฉางเฟิงทำอะไรอยู่หรือ
เขาทำเพียงมองดูนางจากด้านข้าง บางครั้งสายตานั้นก็เลวร้ายยิ่งกว่าคนพวกนั้นเสียอีก และทำให้นางต้องทุกข์ใจอย่างมาก!
นางไม่มีค่าอะไรสำหรับเขาอีกแล้ว นางไม่ได้เป็นผู้สืบทอดของตระกูลเฮ่อเหลียนอันยิ่งใหญ่ และนางก็ไม่มีใครคอยหนุนหลังอยู่อีกต่อไป
ณ ที่แห่งนี้ ฐานะทางครอบครัวเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
เดิมทีนั้นสาเหตุที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลือกนางมาก็อาจจะเป็นเพราะว่านางมีฐานะทางครอบครัวที่แหลกสลายไปแล้วก็เป็นได้
ทุกสิ่งที่เขาต้องการก็คือก้าวแรกก้าวนี้ที่ไม่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับบรรดาชนชั้นสูงทั้งหลาย และเขาก็ยังสามารถหย่ากับนางได้ทุกเมื่อที่ตัวเองต้องการอีกด้วย
ถ้าเขาแต่งงานกับบุตรสาวที่มาจากตระกูลชั้นสูงคนอื่น เช่นนั้นก็จะมีปัญหายิบย่อยที่ต้องจัดการตามมามากมาย
นางต้องบอกว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยวางแผนการเรื่องนี้เอาไว้มาเป็นอย่างดี
แต่ทำไมต้องทำให้มันยืดเยื้อถึงเพียงนี้ด้วย นางเคยบอกเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า ถ้าเขาต้องการ นางก็สามารถยกตำแหน่งของนางให้กับคนที่อยู่ในใจของเขาได้ทุกเวลา
ยิ่งกว่านั้นนางกับเขาก็ตกลงกันเอาไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าการแต่งงานนี้เป็นเพียงแค่ความร่วมมือมาตั้งแต่ต้น
นางทำธุรกิจมาหลายปี และนางไม่เคยทำผิดข้อตกลงที่ตั้งไว้แม้แต่ครั้งเดียว เขาไม่รู้จักนางเลยจริงๆ
เฮ่อเหลียนเวยเวยละสายตาออกจากภาพนั้น ทันใดนั้นนางก็สังเกตเห็นว่าอวิ๋นปี้ลั่วคล้ายจะกำลังส่งยิ้มมาให้นาง
คนอื่นๆ ต่างกำลังรอดูว่านางจะใช้วิธีไหนอัญเชิญสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ออกมา เมื่อครั้งก่อนองค์ชายสามช่วยเหลือนางเอาไว้ตอนที่เข้าไปในป่าวิญญาณ หากไม่ได้ความช่วยเหลือของเขา นางก็คงไม่สามารถกลับออกมาอย่างปลอดภัยได้
แต่ครั้งนี้มันต่างจากการเข้าไปในป่าวิญญาณ
โดยปกติแล้วสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกอัญเชิญออกมานั้นจะดุร้ายกว่าสัตว์ที่อยู่ในป่าวิญญาณ
ที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีความสามารถอัญเชิญสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ให้มาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ได้
ในจำนวนพวกเขามีคนจากหอสามัญสองถึงสามคนแล้วที่ล้มเหลวและไม่สามารถเรียกสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้ แม้กระทั่งบรรดาศิษย์จากหอชั้นเยี่ยมระดับต่ำสุดก็ยังทำได้เพียงแค่ถอนหายใจ
เมื่อเทียบกันแล้ว โอกาสที่เฮ่อเหลียนเวยเวยจะสามารถเรียกสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้นั้นจึงนับว่าต่ำยิ่งนัก
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้เป็นคนถัดไปที่จะทำการอัญเชิญสัตว์ศักดิ์สิทธิ์
เป็นจิ่งอู๋ซวงต่างหาก เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นแตะริมฝีปากสีซีดของตน แล้วไอออกมาเบาๆ ก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับดวงตาเป็นประกายที่เต็มไปด้วยความชื่นชมจากทุกคน เขายิ้มให้กับผู้เป็นอาจารย์เล็กน้อย ”ท่านอาจารย์ขอรับ แม้ว่าเส้นลมปราณในร่างของข้าจะยังสามารถใช้งานได้ดีอยู่ แต่ข้าก็ไม่สามารถฝึกฝนวรยุทธ์ได้ตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นจึงไม่อาจอัญเชิญสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ได้ขอรับ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงไม่อยากทำให้ทุกคนต้องเสียเวลา ขอให้คนถัดไปเริ่มลงมือได้เลยขอรับ”
“ไม่สามารถฝึกฝนวรยุทธ์ได้ตั้งแต่ยังเด็กหรือ” อาจารย์ท่านนั้นมองชายหนุ่มท่าทางสูงศักดิ์ตรงหน้า แล้วส่ายศีรษะอย่างนึกเสียดาย ”ท่านเจ้าสำนักบอกเรื่องอาการของเจ้ากับข้าแล้ว เจ้าไปยืนดูอยู่ข้างๆ ก็แล้วกัน ถ้าเหนื่อยเกินไปก็บอกให้ข้ารู้ด้วยเล่า”
“ขอรับ” จิ่งอู๋ซวงยังสุขุมเยือกเย็นอยู่ตลอดเวลา
ตลอดการสนทนานี้ แทบทุกคนก็ได้รู้ว่าศิษย์ใหม่ผู้งดงามราวกับหยกผู้นี้นั้นเป็นคนร่างกายออนแอ และไม่มีพลังการต่อสู้เลยแม้แต่น้อย
บรรดาลูกศิษย์ผู้ชายต่างพากันถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เพราะพวกเขาเป็นกังวลเรื่องการปรากฏตัวของชายผู้นี้จากหอสามัญยิ่งกว่าเจ้าอันธพาลฝีมือโดดเด่นที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนสองคนนั้นเสียอีก
นอกจากรูปร่างหน้าตาของเขาแล้ว ศิษย์ใหม่คนนี้ก็ดูเหมือนจะไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ
ลูกศิษย์ผู้ชายทุกคนพยักหน้าด้วยความพอใจ จากนั้นจึงหันไปสนใจกับการอัญเชิญสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองต่อ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ขอให้ศิษย์คนถัดไปเริ่มการอัญเชิญได้เลย” น้ำเสียงของอาจารย์ท่านนั้นฟังดูเฉยชา
เพราะศิษย์คนถัดไปที่ว่านั้นคือเฮ่อเหลียนเวยเวย
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์รอที่จะได้เห็นการแสดงฉากนี้แทบไม่ไหว
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับทำเพียงแค่ยิ้มออกมา นางสวมเสื้อคลุมสีเขียว แล้วเดินตรงเข้าสู่บริเวณกลางลาน การเดินของนางแข็งแรงและมั่นคงมาก แขนเสื้อกว้างของนางโบกส่งเสียงหวีดหวิวอยู่ในอากาศ ทำให้นางดูเหมือนกับราชินีที่กำลังก้าวเดินออกมาจากความมืด…