องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 329 ได้พบกันทันทีที่โซ่คลาย
ในเวลานี้เฮ่อเหลียนเวยเวยหาที่มาของโซ่เหล็กเส้นนั้นพบแล้ว นางจึงไม่ได้ถามว่าทำไมไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถึงมาอยู่ที่นี่
นางปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับน้ำที่หยดลงมาจากเส้นผม พร้อมทั้งคาบปิ่นปักผมที่นางนำมาจากบนพื้นเอาไว้ในปาก นางเปียกไปทั้งตัว
ทันทีที่ลมพัด บรรยากาศอันเย็นเยียบก็เข้าโอบล้อมรอบพื้นผิวของทะเลสาบ
โซ่เหล็กน้ำแข็งทมิฬในมือของนางให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกอย่างมาก คนธรรมดาคงไม่มีทางที่จะถือมันเอาไว้ได้
ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงสุกใสเป็นประกาย ไม่ใช่เพราะว่านางอยู่ในสภาพร่างกายที่สมบูรณ์ แต่ตรงกันข้ามเลยต่างหาก ตอนนี้นางอยู่ในช่วงมีระดู ดังนั้นจึงทำให้นางรู้สึกไม่ค่อยสบาย
แต่นางก็ต้องทำตามสัญญาที่นางให้ไว้กับชิงหลงให้สำเร็จ
เฮ่อเหลียนเวยเวยตรวจสอบโซ่ตรวนเหล็กนั้น ดวงตาของนางทอแสงเย็นชา
“แม่นาง ใช้พลังปราณของเจ้าเสีย” หยวนหมิงบอก ”มิฉะนั้นเจ้าคงไม่สามารถปลดโซ่โลหะน้ำแข็งทมิฬอันนี้ได้แน่”
เฮ่อเหลียนเวยเวยทำตาม นางขยับนิ้วเล็กน้อย แขนเสื้อยาวของนางลอยพลิ้ว และด้วยน้ำเสียงอันเย็นชานั้น นางก็เอ่ยออกมาว่า ”ภายใต้การบัญชาของข้า ข้าขออัญเชิญพลังแห่งสายลมและหมู่เมฆบนนภามาที่นี่!”
วูบ!
หมอกควันที่อยู่โดยรอบสลายหายไปราวกับตอบรับ และอุณหภูมิของเหล็กน้ำแข็งทมิฬก็เริ่มเปลี่ยนไป
ในระยะเวลาเพียงสั้นๆ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็รีบฉวยโอกาสนั้นเสียบปิ่นปักผมเข้าไปในโซ่ตรวนนั้นอย่างรวดเร็ว นางหมุนมันสองครั้งจนเกิดเสียงดังคลิก
ทันใดนั้น นางก็ได้ยินเสียงดังกึก!
โซ่ตรวนเหล็กถูกคลายออกแล้ว!
มันจมลงไปในทะเลสาบชิงหลงพร้อมกับเลือดจากนิ้วที่ถูกบาดของเฮ่อเหลียนเวยเวย
ทั่วทั้งทะเลสาบชิงหลงเกิดการสั่นสะเทือน
ตุ้บ…
ตุ้บ!
เสียงที่เกิดขึ้นนั้นฟังดูเหมือนกับเสียงหัวใจของใครบางคนที่กลับมาเต้นอีกครั้ง
ศิษย์ในสำนักไท่ไป๋ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ทุกคนเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าทันทีที่ได้ยินเสียงอันแปลกประหลาดนั้น
พวกเขาเห็นเพียงแค่ดวงตาของชิงหลงที่กลอกไปมาอย่างกะทันหัน!
แสงสีฟ้าส่องสว่างอยู่ภายในดวงตาของมัน มันดูทรงอำนาจราวกับสามารถแทงทะลุขึ้นไปถึงสวรรค์ชั้นที่เก้า และทำให้พายุฝนก่อตัวได้เลยทีเดียว
ตอนนั้นนั่นเอง
อาจารย์ตกตะลึง และพึมพำออกมาว่า ”นี่มันชิงหลง หนึ่งในสี่สัตว์เทวะบรรพกาล ชิงหลงตื่นขึ้นแล้ว… มันตื่นขึ้นมาแล้วจริงๆ!”
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยยังคงถือแท่งไม้ไว้ในมือ และนั่งยองอยู่ที่มุมหนึ่งพลางเขี่ยส่วนหัวของอสรพิษโลหิตเล่นไปด้วย เขาเงยหน้าเล็กๆ ที่เปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวาของตนขึ้นเมื่อได้ยินว่าชิงหลงตื่นแล้ว เขาบ่นกับตัวเองว่า ”ตอนนี้ในเมื่อมันตื่นแล้ว ข้าก็คงกินมันไม่ได้แล้วสินะ”
อาจารย์ : …ท่านเจ้าสำนัก ท่านอยู่ไหนขอรับ ได้โปรดมาพาตัวเด็กคนนี้กลับไปที!
อาจารย์แทบจะหลั่งน้ำตาออกมา แต่สีหน้าขององค์ชายเจ็ดตัวน้อยกลับยังคงดูเสียใจเล็กน้อย
แต่เขาก็ไม่ลืมที่จะปลอบคนอื่น แม้ว่าเขาจะผิดหวังอยู่ก็ตาม ”ไม่เป็นไรนะขอรับท่านอาจารย์ พวกเราอาจไม่ได้กินเนื้อมังกร แต่อย่างไรเราก็ยังมีเนื้องูอยู่”
อาจารย์ : …ใครจะสนใจเรื่องพรรค์นั้นกัน!
ทำไมการคุยกับองค์ชายเจ็ดตัวน้อยนั้นยังยากกว่าการสู้กับเทพมังกรเสียอีก!
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยมองอาจารย์ด้วยสีหน้างุนงง เขาสงสัยว่าทำไมพี่สามถึงยังไม่พาพี่สะใภ้สามกลับมาอีก
พี่สามยังคิดที่จะช่วยข้าสู้กับมังกรอยู่หรือ
หืม... อันที่จริง ถึงข้าไม่ได้กินเนื้อมังกร ก็ไม่เห็นเป็นอะไรเสียหน่อย
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าองค์ชายเจ็ดตัวน้อยคิดมากไปเองทั้งนั้น!
ในบรรดาลูกศิษย์ทั้งหมด มีเพียงสีหน้าของอวิ๋นปี้ลั่วคนเดียวเท่านั้นที่ดูแปลกไป แต่นางต้องไม่ปล่อยให้ใครสังเกตเห็นได้
โดยเฉพาะมือข้างซ้ายที่มีรอยกัดของนาง โชคดีที่ฝีมือของอาจารย์พวกนั้นยังไม่ถึงขั้นเท่าใดนัก ดังนั้นพวกเขาถึงไม่สังเกตเห็นมัน
แต่ถ้าตู๋ซูเฟิงอยู่ที่นี่ เขาจะต้องรู้อย่างแน่นอนว่าการปรากฏตัวของอสรพิษโลหิตนั้นน่าสงสัยเพียงใด
ความจริงแล้ว ด้วยความสามารถของนางเพียงคนเดียวนั้นย่อมไม่สามารถอัญเชิญอสรพิษโลหิตออกมาใช้งานได้
เรื่องสำคัญก็คือ ในสถานการณ์นี้… นางยังมีพันธมิตรอยู่คนหนึ่ง
อวิ๋นปี้ลั่วหลับตาลงครู่หนึ่ง และเมื่อนางลืมตาขึ้น ชิงหลงก็เป็นอิสระจากโซ่เหล็กน้ำแข็งทมิฬแล้ว มันสะบัดหาง ของมันทำให้น้ำกระเซ็นไปทั่วทุกทิศทาง
อวิ๋นปี้ลั่วกะพริบตาพร้อมกับพุ่งเข้าไปหาเด็กชาย นางพลิกตัวอย่างรวดเร็ว และคว้าตัวเขาหลบไปอีกทางหนึ่ง
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยมองนางอย่างมีน้ำโห
อวิ๋นปี้ลั่วไม่เคยพบเด็กที่รับมือยากเช่นนี้มาก่อน แต่นางก็เดาเอาไว้แล้วว่าเขาคงจะฉลาดกว่าเด็กทั่วไปอย่างแน่นอน เพราะเขาเป็นถึงน้องชายขององค์ชาย
นางพิงตัวไปด้านหนึ่งอย่างอ่อนแรง จากนั้นจึงถามเขาด้วยรอยยิ้ม ”เจ็บหรือเปล่า”
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยไม่เข้าใจเลยแม้แต่นิดเดียว ว่าทำไมนางต้องพุ่งเข้ามาหาเขาอย่างกะทันหันเช่นนั้นในระหว่างที่เขากำลังจมอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองด้วย
แต่แล้วในวินาทีต่อมา เขาก็เข้าใจ
เพราะไม่ไกลออกไปนั้นมีร่างสูงร่างหนึ่งยืนอยู่ ร่างนั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นพี่สามของเขาเอง
แน่นอนว่าอวิ๋นปี้ลั่วย่อมเห็นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแล้วเป็นธรรมดา นางเอียงศีรษะเล็กน้อย ดวงตาของนางแดงก่ำ นางจ้องมองผู้ชายที่กำลังเดินเข้ามาทางพวกนางอย่างเงียบๆ สายตาของนางราวกับเต็มไปด้วยถ้อยคำนับพัน
เฮ่อเหลียนเวยเวยล้มลงกับพื้นทันทีที่อาการปวดท้องแย่ลง ทิ้งชิงหลงที่กำลังดื่มด่ำกับอิสรภาพที่สูญเสียไปนานของตัวเองไว้เบื้องหลัง
ท่ามกลางความสับสนอลหม่านนั้น ไม่มีใครมองเห็นภาพนั้นได้อย่างชัดเจนนัก
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าในที่สุดคนทั้งสองก็ได้พบกันแล้ว
“ฝ่าบาท” อวิ๋นปี้ลั่วเป็นคนแรกที่เอ่ยขึ้น นางทรงตัวอย่างไม่มั่นคงนักราวกับว่านางเพิ่งทุ่มเรี่ยวแรงมหาศาลไปกับการช่วยชีวิตองค์ชายเจ็ดตัวน้อย
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยแสดงความไร้เดียงสาของตนออกมาด้วยการขมวดคิ้วหนาของตนเข้าหากันเหมือนปกติ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเงียบ และมองไปที่อวิ๋นปี้ลั่ว
เฮ่อเหลียนเวยเวยจับข้อมือของตัวเองที่ได้รับบาดเจ็บจากกรงเล็บมังกร ในเวลานี้นางสัมผัสได้ถึงความรู้สึกหนึ่งที่ปะทุขึ้นมา นางสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วทันใดนั้นก็รู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก ตอนนี้นางไม่มีสิ่งใดติดค้างเขาอีกแล้ว เพราะเจ้าของตัวจริงของเขาปรากฏตัวขึ้นแล้ว
ต่อจากนี้ พวกนางจะได้มีชีวิตเป็นของตัวเอง โดยที่ไม่ต้องข้องเกี่ยวกันอีก
ดูเหมือนว่าการเตรียมการที่นางอุตส่าห์เตรียมเอาไว้ก่อนหน้านี้จะไร้ประโยชน์เสียแล้ว
แต่อย่างไรมันก็คงไม่ได้ไร้ประโยชน์ไปเสียทีเดียว ถ้าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยืนกรานว่าจะให้นางอยู่ต่อในฐานะโล่ของอวิ๋นปี้ลั่ว นางก็คงยังพอมีหนทางเอาไว้รับมือ
ไม่ว่าจะเป็นเวลาใดหรือที่ไหน เฮ่อเหลียนเวยเวยก็สามารถรักษาความเยือกเย็น และสามารถวิเคราะห์ผลได้ผลเสียของสถานการณ์ใดๆ ได้ภายในเวลาสั้นๆ เสมอ
แต่ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับมืดมนและลึกล้ำ ยากที่จะทำความเข้าใจได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้สนใจกับสภาพรอบตัวของตัวเองมากนักในตอนที่ชิงหลงหยุดเคลื่อนไหว
หมอกจางไปแล้ว ในที่สุดทุกคนก็มองเห็นเฮ่อเหลียนเวยเวยที่ยืนอยู่กลางสวนแห่งนั้น
มันเป็นไปได้อย่างไร
ไม่ใช่ว่านางถูกเทพมังกรบดเป็นชิ้นและกลืนลงไปแล้วหรอกหรือ
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ชะงัก นางจ้องมองเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างโกรธแค้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สนใจ นางทำเพียงกุมท้องน้อยของตนเอาไว้
“แม่นาง เจ้ารู้สึกไม่สบายหรือ” สัตว์ศักดิ์สิทธิ์เป็นหนึ่งเดียวกับผู้เป็นนาย ดังนั้นเสี่ยวไป๋จึงรู้ว่าสภาพร่างกายของเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ค่อยดี
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกไม่สบายจริงๆ นางยังไม่ทันได้ฝึกฝนร่างกายนี้ของตนให้ดีเลยด้วยซ้ำ และเหล็กน้ำแข็งทมิฬนั่นก็ได้ดึงเอาความอบอุ่นทั้งหมดออกไปจากร่างของนาง ผลที่ได้ก็คือมันทำให้นางต้องปวดท้องจนถึงขีดสุด
ดังนั้นนางจึงไม่มีเวลาไปสนใจเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์
แต่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เป็นคนดื้อดึง นางยื่นมือออกไปพยุงร่างของอวิ๋นปี้ลั่ว จากนั้นจึงลดเสียงลง แล้วกล่าวหาเฮ่อเหลียนเวยเวยว่า ”ท่านพี่ ท่านไม่ควรยั่วโมโหเทพมังกรหากฝีมือของท่านยังไม่ถึงขั้นนะเจ้าคะ พี่อวิ๋นได้รับบาดเจ็บก็เพราะช่วยชีวิตองค์ชายเจ็ดเอาไว้ และพวกเราหลายคนก็ทำอะไรไม่ถูกเพราะการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเทพมังกรอีกด้วยเจ้าค่ะ…”