องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 340 แผนเล่นงานเวยเวย
“ฝ่าบาท”
สิ่งที่เงาทมิฬเห็นตอนเดินเข้ามาถึงคือไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่อยู่ในอาการตัวแข็ง ความประหลาดใจแล่นผ่านในดวงตาของเขา
ฝ่าบาทกำลัง… หัวเราะหรือ
ฝ่าบาทเป็นคนเก็บความรู้สึกของตัวเองเก่งมาตั้งแต่เด็ก
เขาอาจจะเหยียดยิ้มหรือหัวเราะอย่างเสียดสี หรืออย่างดีที่สุดก็ทำเพียงแค่กระตุกยิ้มมุมปากเท่านั้น
แต่เขากลับไม่เคยมีรอยยิ้มอย่างที่เขากำลังยิ้มอยู่ในเวลานี้เลย
วันนี้มีเรื่องน่ายินดีอะไรเกิดขึ้นหรือ
แต่พระชายาไม่อยู่นี่นา
เงาทมิฬไม่เข้าใจความคิดของผู้เป็นนาย เขาทำเป็นไม่เห็นภาพนั้น แล้วก้มหน้าคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นด้วยความเคารพ ”มีความคืบหน้าจากเหตุการณ์ที่สัตว์อสูรเลื้อยคลานปรากฏตัวแล้วพ่ะย่ะค่ะ พวกกระหม่อมสืบทราบมาว่าเฮ่อเหลียนกวงเย่าเป็นผู้ว่าจ้างให้ทหารรับจ้างเข้ามาในสำนัก เขาสงสัยว่าพระชายาจะถูกสิง เขาจึงต้องการให้คนพวกนั้นมายืนยันเรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ”
“เฮ่อเหลียนกวงเย่าหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหมุนแหวนที่นิ้วก้อย ดวงตาของเขาดำทะมึนระหว่างที่กล่าวว่า ”ไม่ใช่เขาแน่ ข้าไม่คิดว่าเขาจะมีความสามารถมากพอจะคุมฝูงสัตว์อสูรเลื้อยคลานให้อยู่ใต้อาณัติได้ เจ้าไปสืบต่อซะ”
เงาทมิฬรับคำสั่ง แต่แล้วในตอนที่เขากำลังจะออกไป จู่ๆ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็พูดขึ้นมาอีกว่า ”เริ่มจากตรวจสอบคนภายในสำนักไท่ไป๋ก่อน แล้วค่อยตรวจสอบคนภายนอก”
“พ่ะย่ะค่ะ” เงาทมิฬหลุบสายตาลงด้วยความเคารพ แต่ในใจของเขากลับกำลังสับสนวุ่นวาย องค์ชายกำลังสงสัยว่าคนที่ต้องการทำร้ายเขากับพระชายาคือคนในสำนักหรือ เช่นนั้นก็หมายความว่าคนร้ายเป็นลูกศิษย์ไม่ก็อาจารย์อย่างนั้นหรือ
ทันทีที่คิดได้ดังนี้ เงาทมิฬก็ถึงกับเหงื่อแตกพลั่ก
พอเขาหันหน้ากลับไปมองผู้เป็นนายอีกครั้ง ก็เห็นว่าฝ่าบาทกลับไปอยู่ในท่าเดิมเสียแล้ว ปลายนิ้วของเขาลูบหน้าผากของตัวเองเล็กน้อย เสียงหัวเราะอันชั่วร้ายดังลอดออกมาจากริมฝีปากของเขา แม้จะฟังดูคลุมเครือ แต่เขาก็ได้ยินอีกฝ่ายพึมพำว่า ”คราวนี้เรียนรู้ที่จะทำตัวฉลาดได้เสียที เป็นอย่างที่คิดจริงๆ เหยื่อพวกนี้ต้องถูกจับขังเอาไว้เสียบ้าง พวกมันจะได้รู้จักทำตัวให้เชื่อฟัง…”
******
เวลาเที่ยงตรง ตู๋ซูเฟิงลุกขึ้นจากเก้าอี้ในพระราชวังใต้ดินอย่างสง่างาม เขามองลูกศิษย์ที่ยืนเรียงหน้ากระดานอยู่ตรงหน้าด้วยดวงตาอันลึกล้ำยากจะหยั่งถึง ”อันที่จริงนั้นการทดสอบครั้งสุดท้ายนี้ยังไม่สมควรจะเกิดขึ้นเร็วถึงเพียงนี้ แต่พวกข้าไม่มีทางเลือกเพราะพวกข้าเพิ่งจะสูญเสียสมาชิกในหน่วยไปเพราะเหตุการณ์เมื่อวาน”
“เพราะอสรพิษโลหิตหรือขอรับ” หนึ่งในลูกศิษย์ฝีมือดีคนหนึ่งที่ถูกเลือกมาจากสี่ตระกูลใหญ่ถาม
ตู๋ซูเฟิงปรายตามองเขา และตอบว่า ”เปล่า แต่เป็นเพราะความผิดปกติที่เกิดขึ้นในป่าวิญญาณ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยอุ้มองค์ชายเจ็ดตัวน้อยอยู่ในแถว นางขมวดคิ้วหลังจากได้ยินคำพูดของเจ้าสำนัก
ไม่มีใครรู้ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น
ตู๋ซูเฟิงเอ่ยต่ออย่างใจเย็น ”ในเวลานี้ หน่วยพิฆาตวิญญาณของพวกเราต้องการคนรุ่นใหม่อย่างพวกเจ้ายิ่งกว่าครั้งใด นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้การทดสอบถูกเลื่อนเข้ามาเร็วกว่ากำหนด ข้าอยากให้พวกเจ้าทุ่มเทกำลังทั้งหมดให้กับการทดสอบนี้ เพราะเดิมพันของมันนับว่าสูงทีเดียว พวกข้าไม่ได้เดิมพันมันด้วยชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ แต่เดิมพันด้วยความเป็นความตาย ถ้าเจ้าถูกศัตรูจับตัวได้ เช่นนั้นเจ้าก็ต้องหาทางเอาชีวิตรอดด้วยตัวเองให้ได้”
ระหว่างที่พูด ตู๋ซูเฟิงก็คลี่จดหมายในมือออก และวางมันลงบนโต๊ะไม้ พร้อมกับใช้ท่าทางบอกให้พวกเขาทุกคนเข้ามาดูสิ่งนั้นใกล้ๆ
“คืนนี้จะมีการประมูลจัดขึ้นที่เมืองหลวง” ตู๋ซูเฟิงเงียบไปเล็กน้อย แล้วจึงเอ่ยต่อ ”การประมูลนี้จัดขึ้นโดยเจ้าเมืองอู่ซิว ดังนั้นจึงมีตระกูลที่มีชื่อเสียงด้านการสร้างอาวุธจำนวนหลายตระกูลเข้าร่วมในงานประมูลด้วย ข้าต้องการให้พวกเจ้าทุกคนใช้ทุกวิถีทางที่พวกเจ้ามีในการเข้าหาคนผู้นี้ และรีดข้อมูลที่จำเป็นมาจากเขาให้ได้โดยไม่ทำให้ใครเอะใจกับตัวตนที่แท้จริงของพวกเจ้า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองดูชื่อที่อยู่ในจดหมายฉบับนั้น แล้วเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ”มู่หรงหงตู๋หรือ”
คนคนนี้คือน้องชายของมู่หรงฮองเฮา และยังเป็นอาของมู่หรงฉางเฟิงด้วยมิใช่หรือ
เขาเป็นเสนาบดีชั้นสูงในราชสำนัก ทั้งยังมีอำนาจมากพอที่จะสั่งการทหารบางส่วนได้ด้วย เขามักจะทำตัวโอหังอวดดีอยู่เสมอ
ถ้าเขาเป็นเพียงแค่คนป่าเถื่อนธรรมดาๆ เช่นนั้นการจะจัดการเขาก็คงเป็นเรื่องที่ง่ายดายนัก
แม้ว่ามู่หรงหงตู๋จะเป็นคนบ้าอำนาจ แต่เขาก็ยังเป็นคนที่ฉลาดเจ้าเล่ห์ด้วยเช่นกัน
วิธีการที่เขาใช้นั้นล้วนแต่รุนแรงโหดร้าย และไร้มนุษยธรรม แต่ทั้งที่เป็นอย่างนั้น บรรดาเชื้อพระวงศ์กลับไม่เคยได้ล่วงรู้ถึงจุดอ่อนของเขาเลย
แม้แต่บรรดาเสนาบดีผู้ซื่อสัตย์ภักดีต่ออดีตฮ่องเต้ก็ยังไม่กล้าท้าทายเขาซึ่งๆ หน้า
แต่ตอนนี้พวกเขากลับปล่อยให้มือใหม่ไร้ประสบการณ์อย่างพวกนางเป็นผู้ปฏิบัติภารกิจนี้เสียได้ มีโอกาสสูงทีเดียวที่เป้าหมายของพวกนางจะมองการปลอมตัวของพวกนางออกได้ในทันที
ในการทดสอบสองครั้งที่ผ่านมา มีคนถูกคัดออกไปแล้วทั้งหมดสี่คน
เหลืออีกเพียงหกคนเท่านั้น นอกจากเฮ่อเหลียนเวยเวย องค์ชายเจ็ด หานอวี้ และอวิ๋นปี้ลั่วแล้ว ก็ยังมีคนที่มีฝีมือเยี่ยมที่สี่ตระกูลใหญ่เป็นคนเลือกเองกับมืออยู่อีกสองคน
“พวกข้าจะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จขอรับ” ศิษย์ทั้งสองคนนั้นมองหน้ากันอย่างมั่นใจ ก่อนจะหันไปมองทางอวิ๋นปี้ลั่ว
อวิ๋นปี้ลั่วพยักหน้าให้พวกเขาเป็นการบอกว่านางไม่มีปัญหา
แน่นอนว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมเลือกที่จะเงียบ นางรับฟังพวกเขาโดยไม่ได้พูดอะไร
ถ้าอีกฝ่ายคือมู่หรงหงตู๋ เช่นนั้นก็มีเรื่องหนึ่งที่พวกนางต้องระวังเอาไว้ ใครจะไปรู้ว่าเขาเคยทำเรื่องที่ไม่ควรพูดถึงเอาไว้มากมายเพียงใด และสร้างศัตรูเอาไว้มากขนาดไหน แต่ผู้ชายคนนั้นไม่เคยไปไหนมาไหนโดยปราศจากกองกำลังคุ้มกันฝีมือเยี่ยมเลยแม้แต่ครั้งเดียว
การจะรีดข้อมูลออกมาจากปากของมู่หรงหงตู๋โดยไม่ให้เป็นที่สังเกตนั้นย่อมหมายความว่าพวกนางต้องจัดการปิดปากผู้คุ้มกันของพวกเขาก่อนเป็นอันดับแรก
“เจ้าสามารถเลือกอาวุธและชุดที่พวกเจ้าต้องการได้ตามใจ ข้าไม่สนใจว่าพวกเจ้าจะใช้วิธีการใดเข้าใกล้เขา แต่คำขอเดียวของข้าก็คือพวกเจ้าจะต้องปิดเรื่องการทดสอบนี้เอาไว้เป็นความลับสูงสุด”
ก่อนที่ตู๋ซูเฟิงจะพูดจบ ทุกคนก็รีบเลือกอาวุธของตน แล้วกลับมายืนเรียงแถวอยู่หน้าเขา
การเอาบัตรเชิญที่จำเป็นต้องใช้เข้างานประมูลมาไว้ในมือนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินกำลังของตู๋ซูเฟิง แต่พวกนางไม่สามารถเข้าไปในงานด้วยฐานะศิษย์ของสำนักไท่ไป๋ได้
ภารกิจนี้ซับซ้อนยิ่งกว่าการทดสอบครั้งอื่นๆ ที่พวกนางต้องพึ่งพาเพียงแค่ตัวเอง
การพิสูจน์ความสามารถของตนไปพร้อมกับทำงานร่วมกับผู้อื่นนั้นนับว่าเป็นเรื่องที่ยากลำบากกว่ามาก
ยิ่งกว่านั้น คุณชายทั้งสองคนที่มาจากสี่ตระกูลใหญ่นั้นก็ล้วนแต่เป็นเจ้าทฤษฎี พวกเขาไม่เคยนำความรู้ของตนมาประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริงมาก่อน หลังจากรับภารกิจมาแล้ว พวกเขาก็เริ่มแบ่งหน้าที่ให้กับสมาชิกทุกคนในกลุ่มทันที
ในทางทฤษฎีนั้น แผนนารีพิฆาตของพวกเขาฟังดูเข้าท่าทีเดียว
ความงดงามชวนให้ตกตะลึงของอวิ๋นปี้ลั่วน่าจะสามารถดึงดูดความสนใจของมู่หรงหงตู๋ได้
แต่พวกเขากลับจัดเอาเฮ่อเหลียนเวยเวยที่มีความสามารถสูงที่สุดในเวลานี้ให้ไปอยู่ในบทบาทที่ด้อยที่สุด นางได้รับหน้าที่เป็นคนดูลาดเลาและคอยส่งสัญญาณให้กับพวกเขา
หยวนหมิงเยาะเย้ย ”เจ้าพวกนี้คงจงใจทำเช่นนี้แน่ ในเมื่อเจ้าชนะไปแล้วถึงสองครั้งติดกัน พวกเขาจึงไม่คิดจะเปิดโอกาสให้เจ้าได้พิสูจน์ฝีมือในการทดสอบนี้ อุบายชั่วช้าพรรค์นี้ช่างน่ารังเกียจนัก เจ้าไม่คิดเช่นนั้นหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยจัดชุดสาวใช้หน้าตาธรรมดาๆ ของตัวเอง นางตอบด้วยสีหน้าเยือกเย็นว่า ”มันคงไม่เป็นไปตามที่พวกเขาคิดแน่ ข้าสงสัยนักว่าแผนนารีพิฆาตของพวกเขาจะใช้กับมู่หรงหงตู๋ได้มากขนาดไหนกันเชียว”
“เมื่อครู่นี้ข้าเห็นเจ้าพยักหน้า ข้าก็เลยคิดว่าเจ้าเห็นด้วยกับแผนการของพวกเขาเสียอีก” เสี่ยวไป๋พูดขึ้น น้ำเสียงของมันยังหยิ่งผยองเหมือนเช่นเคย
เฮ่อเหลียนเวยเวยยืนตัวตรง ”ข้าเห็นด้วยกับพวกเขา แต่พวกเราก็ควรเตรียมแผนสำรองเอาไว้ด้วย”
การจะเอาข้อมูลที่ตนต้องการมาจากใครสักคนให้สำเร็จนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการหาว่าคนคนนั้นสนใจเรื่องอะไร มีแต่เพียงการทำเช่นนั้นเท่านั้นเราถึงจะมีโอกาสเข้าใกล้เขา
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดว่าขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด
แต่คนเหล่านี้กลับมองข้ามขั้นตอนนี้ไป
คุณชายสองคนนั้นกับอวิ๋นปี้ลั่วที่เป็นมือสังหารย่อมเข้าใจถึงลักษณะนิสัยของมู่หรงหงตู๋ได้ในระดับหนึ่ง ดังนั้นอย่างน้อยพวกเขาก็ถือว่าได้เปรียบมากเมื่อเทียบกับหานอวี้และเจ้าเจ็ด
งานประมูลนี้จัดขึ้นโดยเจ้าเมืองอู่ซิว ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่หานอวี้จะได้รับมอบหมายให้แต่งเรื่องขึ้นมาเพื่อหาช่องทางเข้าสถานที่จัดประมูลโดยไม่ให้ใครจับสังเกตได้
ความจริงแล้วเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าไปปะปนกับบรรดาคนใช้เลยด้วยซ้ำ บทบาทนี้เป็นบทบาทที่ไม่มีความจำเป็นแม้แต่นิดเดียวที่นี่ เพราะหานอวี้สามารถรู้ถึงตำแหน่งของมู่หรงหงตู๋ได้ง่ายๆ เพียงเอ่ยถามแค่ไม่กี่คำโดยไม่ต้องเอาพวกเขาเข้าไปเสี่ยงให้ถูกจับพิรุธได้เลย
ดังนั้นนี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้หยวนหมิงบอกว่าคนอื่นๆ จงใจวางแผนการนี้ขึ้นมาเพื่อขัดขวางไม่ให้เฮ่อเหลียนเวยเวยมีโอกาสลงมือนั่นเอง