องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 343 องค์ชายสามอยู่ที่นี่
เฮ่อเหลียนเวยเวยก้มหน้าฟังคำพูดนั้น นางกำลังคิดหาหนทางในการหนีออกไปจากที่นี่ในภายหลังอยู่
อย่างไรในห้องนี้ก็มีคนอยู่เพียงแค่ไม่กี่คน
บรรดาคนที่โหยหาความเยาว์วัยอันเป็นนิรันดร์ต่างก็เกาะกลุ่มกันอยู่รอบสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ และดื่มเลือดจากกะโหลกที่ถูกผ่าออกมาของมัน สีหน้าของพวกเขาเหมือนกับคนติดยา สูญเสียซึ่งสติสัมปชัญญะ แต่ในเวลาเดียวกันก็ตื่นเต้นกระปรี้กระเปร่า
เฮ่อเหลียนเวยเวยเริ่มขยับตัวเช่นเดียวกัน นางรู้ว่านางจำเป็นต้องทำเช่นนั้น ถ้านางปฏิเสธออกไปตรงๆ มู่หรงหงตู๋จะต้องฆ่านางเหมือนที่เขาเพิ่งทำกับพ่อค้าคนนั้นแน่ๆ
แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ใช่คู่มือสำหรับนาง
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยยังไม่ลืมภารกิจของนางในวันนี้
ตู๋ซูเฟิงส่งพวกนางมาที่นี่เพื่อสืบข้อมูลของมู่หรงหงตู๋ในระยะหลังนี้อย่างเป็นความลับ และเขาไม่ต้องการแหวกหญ้าให้งูตื่น
ดังนั้นนางจึงสู้กับพวกเขาไม่ได้
“ทำไมเจ้าไม่ดื่มล่ะ” หญิงสูงวัยแต่งกายในชุดผ้าปักที่ยืนอยู่ข้างเฮ่อเหลียนเวยเวยมองนางอย่างฉงนใจ
แต่ก่อนที่เฮ่อเหลียนเวยเวยจะทันได้อ้าปากพูด ดวงตาดำทะมึนของมู่หรงหงตู๋ก็ตวัดมาทางนางอย่างรวดเร็ว
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม แล้วบอกว่า ”ก่อนอื่นข้าอยากจะรู้ว่ามันมีรสชาติอย่างไร อีกอย่างหนึ่ง ข้าคิดว่าของดีที่หายากเช่นนี้ควรจะค่อยๆ จิบลิ้มรส เพื่อให้รู้ว่ารสชาติที่แท้จริงของมันนั้นเป็นเช่นไร”
ทันทีที่พูดจบ นางก็เงยหน้าขึ้น แล้วมองไปทางทหารที่อยู่ใกล้ๆ ”เอาจอกเหล้ามาให้ข้า”
“น้องชาย เจ้ารู้ดีทีเดียวว่าจะดื่มด่ำกับมันได้อย่างไร” มู่หรงหงตู๋หัวเราะ แล้วบอกว่า ”เอาจอกมาให้ข้าด้วย”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม นางเติมเลือดใส่จอกจนเต็ม จากนั้นจึงสะบัดแขนเสื้อของตนขึ้น ”ข้าจะดื่มก่อนเพื่อแสดงความเคารพต่อท่าน”
มู่หรงหงตู๋จ้องนางตาไม่กะพริบ เมื่อเขาเห็นว่าแก้วของนางว่างเปล่า และที่มุมปากของนางมีคราบเลือดติดอยู่ เขาก็ละสายตาไปอีกทาง แล้วหันไปรับรองแขกคนอื่นๆ แทน ”มาๆ ชนแก้ว!”
ทั่วทั้งห้องเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง ทุกคนแย้มยิ้มราวกับตกอยู่ในอาการประสาทหลอน
เสี่ยวไป๋ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกเป็นห่วง หน้าผากของมันย่นเข้าหากัน ”แม่นาง เจ้าคงไม่ได้ดื่มมันเข้าไปจริงๆ ใช่ไหม”
“ทำไมต้องดื่มล่ะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยยกแขนเสื้อยาวของนางขึ้นปิดปาก และไอออกมาเล็กน้อย นางยังคงสัมผัสถึงรสขมจากเลือดที่อยู่ในลำคอได้
หยวนหมิงหัวเราะ ”แม่นาง เจ้าก็โหดร้ายกับตัวเองใช่เล่นนะ” คนที่จะใช้กำลังภายในฉีกกระชากเส้นเลือดของตัวเองเพื่อให้มีเลือดเลอะปากได้ก็คงมีแค่นางคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยเผยรอยยิ้มอันสง่างามออกมาพลางลดมือข้างซ้ายลง นางพูดคุยกับคนข้างๆ พร้อมกับปรับลมหายใจตัวเองไปด้วย
แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆ หญิงสูงวัยนางหนึ่งก็เกิดอาการคล้ายกับคนเสียสติขึ้นมา นางเที่ยวดมกลิ่นไปทั่วห้อง ลิ้นเปื้อนเลือดของนางแลบเลียริมฝีปาก ท่าทางของนางดูน่าสยดสยองราวกับปีศาจร้าย ”กลิ่นอะไรติดอยู่บนตัวเจ้าหรือ ทำไมมันจึงได้หอมถึงเพียงนี้”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหยุดหายใจไปชั่วขณะ จากนั้นนางจึงยิ้มออกมา ”บนตัวข้าจะมีอะไรได้หรือ ห้องนี้เต็มไปด้วยกลิ่นเลือด ข้าคิดว่าท่านคงเข้าใจผิดแล้ว”
“อย่างนั้นหรือ…” ใบหน้าของหญิงสูงวัยผู้นั้นเต็มไปด้วยความสงสัย นางก้มหน้าลงแล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเรียกคนที่พิงอยู่บนเก้าอี้ไม้ข้างๆ นางมา ”เจ้าลองดมนางดูสิ ข้ารู้สึกว่าตัวนางมีกลิ่นหอมยิ่งนัก”
เมื่อได้ยินดังนั้น คนคนนั้นก็หันมามองทางเฮ่อเหลียนเวยเวย
เสี่ยวไป๋ก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว มันกลัวว่าคนเหล่านี้จะสังเกตเห็นตัวตนของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ได้หลังจากดื่มเลือดของพวกมันเข้าไปเป็นครั้งแรก
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าพวกเขาคงจะหมายถึงกลิ่นเลือดที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อของนาง
“กลิ่นของนางหอมมาก หอมจริงๆ” คนคนนั้นดูติดใจกลิ่นนั้นยิ่งกว่าหญิงสูงวัยคนนั้นเสียอีก เขาโน้มตัวเข้ามาหานางอย่างช้าๆ
เฮ่อเหลียนเวยเวยเกร็งนิ้ว แต่สายตาของนางกลับยังสงบเช่นเคย
คนทั้งสองมองหน้ากัน จากนั้นพวกเขาจึงเริ่มเดินเข้าไปหาเฮ่อเหลียนเวยเวยทีละก้าว…
“ข้าก็ได้กลิ่น” มู่หรงหงตู๋เหยียดยิ้มกว้าง ที่มุมปากของเขามีคราบเลือดติดอยู่ จากนั้นเขาก็มองไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวย
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ขยับตัว แต่นางรู้ดีว่าเวลานี้นางตกอยู่ในสถานการณ์เช่นใด เมื่อเผชิญกับสายตาหิวกระหายที่จับจ้องมาที่ตัวเองแล้ว นางก็รู้สึกราวกับว่าพวกเขาไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นผีดิบที่สูญเสียประสาทสัมผัสทุกด้านไปแล้ว จะเหลือก็แต่เพียงประสาทสัมผัสด้านการได้กลิ่นเท่านั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตา นางรวบรวมพลังที่ฝ่ามือ แต่ใบหน้าของนางไม่ได้แสดงออกถึงอาการแตกตื่นแม้แต่น้อย
ภาพนี้ทำให้ทุกคนคิดว่าไม่มีสิ่งผิดปกติอันใดเกิดขึ้นกับนาง
“พวกท่านทุกคนจมูกดีกันจริงๆ” มู่หรงหงตู๋ยิ้มอีกครั้ง เขาเดินผ่านเฮ่อเหลียนเวยเวยไป แล้ววางมือของตนลงบนเชือกเส้นหนึ่งที่ห้อยลงมาจากเสา ”อันที่จริงกลิ่นนั้นคงมาจากชายผู้นี้ เขาคงจะทำพันธสัญญากับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงกระมัง เพราะอย่างนั้นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขามีกลิ่นหอมถึงเพียงนี้”
หลังจากที่มู่หรงหงตู๋พูดจบ เขาก็ออกแรงกระตุกเชือกเล็กน้อย เกิดเสียงดังฟิ้วก้องไปทั่วบริเวณ!
ชายในชุดเสื้อคลุมสีขาวสลับเขียวร่วงลงมา ชายคนนั้นถูกล่ามด้วยโซ่ที่เคยใช้สำหรับล่ามสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ โซ่พวกนั้นล้วนแต่มีน้ำหนักมากเกินพอที่จะใช้กับมนุษย์ด้วยกันได้
ศีรษะของชายคนนั้นห้อยลงมาครึ่งหนึ่ง มือทั้งสองข้างของเขาถูกมัดเข้ากับตัวเสา เส้นผมสีดำระอยู่เหนือตา ปิดบังดวงตาอันลึกล้ำและนิ่งสงบราวกับบ่อน้ำโบราณของเขาเอาไว้
จะมีก็แต่ปลายคางแหลมและจมูกโด่งเป็นสันของเขาเท่านั้นที่โผล่มาให้เห็น
ทันทีที่เขาถูกนำร่างลงมา เขาก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นด้วยท่าทางยโสโอหัง แม้เขาจะอยู่ในสภาพนี้ แต่เขาก็ยังดูหล่อเหลาจนน่าตื่นตะลึง!
เป็นเขานั่นเอง!
เฮ่อเหลียนเวยเวยถึงกับตกตะลึงเมื่อนางเห็นชายหนุ่มผู้เย็นชาแต่ทรงเสน่ห์ผู้นั้นถูกมัดอยู่ คิ้วของนางขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะอยู่นอกเหนือจากการควบคุมของนางไปเสียแล้ว
นางคิดว่าเขายังอยู่ที่สำนักตอนที่นางออกมา
จู่ๆ เขาถูกลักพาตัวมาเช่นนี้ได้อย่างไร…
ขณะที่เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังคิดเรื่องนี้อยู่ในหัว นางก็สังเกตเห็นว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกำลังสบตากับนางอยู่ ริมฝีปากบางอันแสนเย้ายวนของเขากระตุกขึ้นเล็กน้อย ดูมีเสน่ห์มากกว่าตัวเขาในยามปกติเสียอีก นั่นเป็นเพราะกลิ่นเลือดหอมหวานที่ติดอยู่ที่ปลายจมูกของนาง
หลังขึ้นมาจากหน้าผา ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็เริ่มลงมือตรวจสอบเรื่องของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ แต่ในเวลานั้นเขาไม่ได้กระตือรือร้นกับมันมากนัก
หากไม่ใช่เพราะสัตว์อสูรที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในสำนักไท่ไป๋ เขาก็คงไม่มาที่นี่ด้วยตัวเอง เขาสังเกตเห็นมาตั้งแต่แรกแล้วว่ามู่หรงหงตู๋นั้นดูมีพิรุธ แต่เขาไม่ชอบกำจัดศัตรูด้วยการลงมือเพียงครั้งเดียว เขาชอบที่จะลงมืออย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะการทำเช่นนั้นย่อมน่าสนใจมากกว่า
แต่… มู่หรงหงตู๋เป็นคนแรกที่กล้าลักพาตัวเขา
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหรี่ดวงตาคู่สวยลง สายตาของเขาหยุดอยู่ที่เฮ่อเหลียนเวยเวยอีกครั้งพร้อมกับขมวดคิ้ว
“นั่นผู้ชายของเจ้ามิใช่หรือ” น้ำเสียงของหยวนหมิงฟังดูชั่วร้ายยิ่งกว่าเดิม ”เขาถูกลักพาตัวมาได้อย่างไรกัน”
เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบหยวนหมิงด้วยคำตอบอันสุดแสนจะธรรมดาว่า ”เขาชอบเล่นปลอมตัวเป็นคนอื่นน่ะ”
จากที่นางรู้จักไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมา เขาจะต้องจงใจยอมให้อีกฝ่ายลักพาตัวมาอย่างแน่นอน… ช่างเป็นงานอดิเรกที่น่ารังเกียจชะมัด…
เฮ่อเหลียนเวยเวยส่ายหน้าอยู่ในใจ
มู่หรงหงตู๋หัวเราะเยาะ แล้วเอ่ยว่า ”ผู้ชายคนนี้เดินด้อมๆ มองๆ อยู่นอกห้อง และเขาคงคิดว่าตัวเองสามารถซ่อนตัวจากข้าได้ หึ อ่อนหัดนัก” ทันทีที่พูดจบ เขาก็หยิบมีดอันแหลมคมเล่มหนึ่งขึ้นมาพร้อมกับยกยิ้ม ”หากมีฝีมือดีถึงเพียงนั้น เลือดของเขาก็คงจะมีรสชาติดีไม่แพ้กัน เลือดนั่นคงจะเป็นตัวกระตุ้นชั้นดีสำหรับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าเหมือนกันล่ะสิ”