องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 344 องค์ชายเท่บาดใจ
“หึ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองมู่หรงหงตู๋ และทันใดนั้นเขาก็หัวเราะออกมาเสียงเบา คางของเขาเชิดขึ้นเล็กน้อยเผยให้เห็นโครงหน้าอันงดงาม แม้เขาจะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ แต่ความสง่างามที่เขามีมาแต่กำเนิดนี้กลับทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนเขาดูถูกอยู่ก็ไม่ปาน
เมื่อมู่หรงหงตู๋เห็นท่าทางของเขา ใบหน้าของเขาก็ยิ่งบิดเบี้ยวมากขึ้น ”ช่างเป็นชายหนุ่มที่กล้าหาญเสียจริง เจ้ารู้หรือเปล่าว่าสิ่งที่มัดเจ้าไว้คืออะไร มันคือโซ่เหล็กน้ำแข็งทมิฬที่มีเพียงแค่สองเส้นในใต้หล้า และโซ่เส้นนี้ก็คือหนึ่งในนั้น ตราบใดที่ข้าสะกิดมันเบาๆ เจ้าก็จะ…”
มู่หรงหงตู๋ยังไม่ทันมีโอกาสได้พูดจบ เขาก็เห็นชายตรงหน้ายกมือซ้ายขึ้นมา มีเสียงดังเคร้งดังขึ้นตามการขยับนั้น
เคร้ง!
โซ่เหล็กน้ำแข็งทมิฬขาดออกจากกัน!
ขาดหรือ…?!
เป็นไปได้อย่างไร
ดวงตาของมู่หรงหงตู๋เบิกกว้าง เขายืนนิ่งไม่ไหวติง
กลับกัน ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับหมุนข้อมือข้างซ้ายของตนด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ขาทั้งสองข้างของเขาทั้งเรียวและยาว ส่วนเอวคอด กับช่วงอกกว้างนั้นประกอบเข้ากันเป็นรูปสามเหลี่ยมคว่ำ
เขาใช้มือปัดฝุ่นที่ไม่มีอยู่จริงออกจากชุด จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ อากาศเริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง โซ่ที่พันอยู่รอบตัวเขาขาดออกจากกันเพราะแรงสั่นสะเทือนนั้น
ในเวลานี้มู่หรงหงตู๋ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้แม้แต่คำเดียว
“ข้าก็จะอะไรหรือ ทำไมเจ้าไม่พูดต่อล่ะ หืม” ผมสีดำราวกับน้ำหมึกของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยาวจนระไปกับพื้น แสงสว่างสุกใสดูประหลาดตาที่เป็นประกายอยู่ในนัยน์ตาสีดำคู่นั้นแผ่รัศมีแห่งความสง่างามอันยากจะมองข้ามออกมา เขาค่อยๆ ขยับเข้าไปหามู่หรงหงตู๋ และสวมเสื้อคลุมสีดำทับลงบนร่างเพรียวได้รูปของตนพร้อมกับปลดปล่อยไอสังหารที่อยู่ในร่างออกมา
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเมื่อเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้ามู่หรงหงตู๋ ใบหน้าของเขายังคงหล่อเหลาและทรงเสน่ห์ แต่สีหน้านั้นกลับชั่วร้ายและบึ้งตึง สายตาของเขาทั้งเย็นชาและโหดเหี้ยม
มู่หรงหงตู๋หรี่ตาลง แล้วขว้างมีดทั้งสามเล่มในมือใส่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ย!
ร่างของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหลบการโจมตีนั้นได้อย่างรวดเร็วจนไม่มีใครมองทัน กว่าที่มู่หรงหงตู๋จะตั้งตัวทัน มีดทั้งสามเล่มนั้นก็เข้าไปอยู่ในมือของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเสียแล้ว เขาโยนมันทิ้งลงกับพื้น ทำราวกับว่าพวกมันเป็นเพียงเศษเหล็ก
มีดพวกนั้นไม่ใช่มีดธรรมดา!
มีดพวกนั้นไม่เพียงแต่มีพลังปราณอัดแน่นอยู่ภายในเท่านั้น คนที่สร้างพวกมันขึ้นมาก็คือนายท่านของมู่หรงหงตู๋ พวกมันสามารถสังหารได้แม้กระทั่งมังกรทะเลเลยด้วยซ้ำ
เขาหลบอาวุธพวกนี้ด้วยกระบวนท่าเดียวได้อย่างไร
“เจ้า เจ้าเป็นใครกันแน่…” มู่หรงหงตู๋ตัวสั่น นิ้วทุกนิ้วของเขากำเข้าหากัน เขารู้สึกอยากหนีไปจากที่นี่โดยสัญชาตญาณ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยกยิ้มเย็นชา แล้วยื่นมือออกไปอย่างช้าๆ มู่หรงหงตู๋ถูกอัดเข้ากับผนังพร้อมกับเสียงดังตุ้บ ฝุ่นจำนวนนับไม่ถ้วนลอยคลุ้ง ร่างของเขาเกร็งแน่น คอของเขาเอียงไปข้างหนึ่ง และที่มุมปากของเขาก็มีเลือดซึมออกมา
ทันใดนั้นทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ
นอกจากเฮ่อเหลียนเวยเวยแล้ว ก็ไม่มีใครกล้าอ้าปากหรือขยับตัวแม้แต่คนเดียว
ตอนนั้นนั่นเองพวกเขาจึงเพิ่งตระหนักได้ว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยสร้างเขตอาคมขนาดใหญ่เอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
ทุกคนที่ตกอยู่ภายใต้เขตอาคมนี้ไม่มีทางหนีออกไปได้
“กิเลนอัคคี สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่เจ้าทำพันธสัญญาด้วยคือกิเลนอัคคีนี่เอง!” มู่หรงหงตู๋มองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏร่างให้เห็นรางๆ อยู่ที่ด้านหลังของเขา เขารู้สึกเสียใจในการกระทำของตัวเองขึ้นมาทันที เขาคิดไม่ถึงเลยว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เจ้าของกลิ่นอันหอมหวานนั้นแท้จริงแล้วจะเป็นกิเลนอัคคี!
แต่มันก็น่าแปลกทีเดียว ถ้ามันเป็นกิเลนอัคคี เช่นนั้นเขาก็น่าจะรับรู้ถึงอันตรายร้ายกาจที่อีกฝ่ายมีได้ตั้งแต่แรกสิ!
กิเลนอัคคีแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย ”ชิๆๆ ข้าเพียงแค่กลบกลิ่นอายของตัวเองเอาไว้เท่านั้น เพียงแค่นั้นเจ้าก็คิดว่าข้าเป็นกระต่ายไร้พิษสงเสียแล้ว”
ในตอนนั้นนั่นเอง มู่หรงหงตู๋จึงตระหนักได้ว่าทั้งหมดนี้เป็นกับดัก!
มันเป็นกับดักที่รอให้เขากระโดดลงไป!
อย่างไรเสียบรรดามนุษย์พวกนี้ก็โง่เขลาเบาปัญญานัก
คิดจริงๆ หรือว่าจะสามารถกำราบมันได้ง่ายๆ เช่นนี้
ฮ่าๆๆ ช่างน่าหัวเราะสิ้นดี!
มู่หรงหงตู๋เหลือบมองทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ย จากนั้นจึงแลบลิ้นเลียริมฝีปากบางของตนอย่างน่าสะพรึงขวัญ พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงแหลมเล็กราวกับเด็กทารก ”กิเลนอัคคีสามารถสู้กับข้าตอนกลายเป็นปีศาจได้ก็แค่ตอนที่มันอยู่กับชายคนนั้นเท่านั้น แต่ตอนนี้น่ะหรือ หึ มันก็เป็นแค่สัตว์ป่าที่ถูกมนุษย์ฝึกจนเชื่องตัวหนึ่งแค่นั้น ก็สมควรแล้ว สวรรค์มีเจ้าไม่ไป แต่กลับแส่ลงนรกด้วยตัวเอง!”
กลายเป็นปีศาจหรือ เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้ว ทันทีที่นางเงยหน้าขึ้น นางก็เห็นร่างโปร่งแสงร่างหนึ่งบินออกมาจากศีรษะของมู่หรงหงตู๋ ร่างเงานั้นดูบิดเบี้ยวราวกับศพของทารกที่ตายแล้ว ปลายเล็บสีดำของมันฝังอยู่ในกลุ่มผมของมู่หรงหงตู๋ ดูน่ากลัวทีเดียว
“แม่นาง ระวังตัวด้วย มู่หรงหงตู๋ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว!” หยวนหมิงพูดขึ้นทันที
นับว่าหายากนักที่จะได้เห็นเขาเคร่งเครียดถึงเพียงนี้
เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตาลง นางไม่มีเวลาให้ถามเรื่องสภาพปัจจุบันของมู่หรงหงตู๋นัก
เพราะนางรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงจากบรรยากาศรอบตัวได้อย่างชัดเจน
เมื่อนางหันกลับไป ในที่สุดนางก็เข้าใจว่าทำไมบรรยากาศถึงเปลี่ยนไป
ในตอนนี้พวกคนที่เคยเที่ยวดมกลิ่นนางอยู่เมื่อครู่นี้ต่างเสียสติไปอย่างสมบูรณ์ สีหน้าของพวกเขาเหม่อลอย และกำลังพากันเดินตรงเข้ามาหาไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกับนาง
คนพวกนั้นล้วนแต่เป็นคนที่นางเคยบอกว่าดูเหมือนกับผีดิบนั่นเอง
แต่ตอนนี้พวกเขากลับกลายเป็นผีจริงๆ ไปเสียแล้ว เมื่อเห็นดวงตาที่แดงก่ำของพวกเขา นางก็รู้ว่าสาเหตุมาจากการที่พวกเขาดื่มเลือดสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เข้าไป!
“แม่นาง อย่าให้พวกเขากัดเจ้าได้ล่ะ!” ทันใดนั้นหยวนหมิงก็ปรากฏตัวขึ้น!
คนกลุ่มนั้นชะงักไป พวกเขาแยกเขี้ยวพร้อมกับคำรามราวกับหวาดกลัวหยวนหมิง ในเมื่อพวกเขาไม่กล้าที่จะเข้าใกล้หยวนหมิง ดังนั้นพวกเขาจึงเบนสายตาอันหิวกระหายนั้นไปทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแทน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยืนอยู่ต่อหน้ามู่หรงหงตู๋ด้วยจิตสังหาร ร่างของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชาและโหดเหี้ยมอย่างรุนแรง เขากำลังทอดสายตามองดูภาพตรงหน้าอย่างใจเย็น พร้อมกับขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย
“แม่นาง รีบคิดหาวิธีเร็วเข้า พลังของข้ายังฟื้นกลับมาไม่เต็มที่ ดังนั้นพวกมันจะกลัวข้าก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น หลังจากนี้อีกไม่นานข้าก็ต้องกลับเข้าไปอยู่ในมิติสวรรค์ตามเดิมแล้ว” หยวนหมิงบอก บนหน้าผากของเขาเริ่มมีเหงื่อซึมชื้น ”ดังนั้น รีบๆ เข้าเถอะ!”
“ยังมีอีกตัวหนึ่งหรือ” มู่หรงหงตู๋หัวเราะอย่างน่าขนหัวลุก ดวงตาสีแดงของเขามองตรงมาทางเฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วกล่าวว่า ”ข้าคิดว่าเจ้าดื่มเลือดไปแล้วเสียอีก ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการเป็นฝ่ายดื่มเลือด เช่นนั้นก็จงรอให้คนอื่นดื่มเลือดจนแห้งตายไปแทนแล้วกัน! ปีศาจรับใช้ที่อยู่ด้านหลังเจ้าคงยื้อเวลาได้อีกไม่นานนัก ยิ่งกว่านั้นพลังอันอ่อนแอนั่นก็ทำอะไรข้าไม่ได้เช่นกัน เป็นอย่างที่นายท่านว่าเอาไว้ไม่มีผิด มนุษย์มักจะทำราวกับว่าตัวเองรู้ดีไปเสียทุกเรื่อง แต่แท้จริงนั้นกลับโง่เขลายิ่งนัก เจ้าเชื่อเรื่องความเยาว์วัยอันเป็นนิรันดร์กันลงได้อย่างไร ฮ่าๆๆ”
นายท่านหรือ หมายความว่ายังมีคนร้ายคนอื่นอยู่เบื้องหลังมู่หรงหงตู๋อีกหรือ
ในที่สุดเฮ่อเหลียนเวยเวยก็เข้าใจ นางเลิกคิ้วขึ้นแล้วพยายามยั่วโมโหเขา ”ถ้านายท่านของเจ้าเก่งกาจถึงเพียงนั้น ทำไมเขาถึงไม่กล้าแสดงตัวออกมาล่ะ เขามันก็แค่คนขี้ขลาดชัดๆ”
“เจ้าอย่าได้บังอาจมาลบหลู่นายท่านของข้าเชียว!” ทารกคนที่อยู่บนศีรษะของมู่หรงหงตู๋แผดเสียงขึ้น เสียงแหลมๆ ที่ออกมาจากปากของมันเหมือนกับเสียงแมวร้องตอนกลางคืนไม่มีผิด ”นายท่านเป็นคนที่อ่อนโยนและชาญฉลาดที่สุดในใต้หล้า วิญญาณของเขาบริสุทธิ์ราวกับหยกชนิดที่มนุษย์ชั้นต่ำสกปรกอย่างเจ้าไม่มีวันเทียบกับเขาได้ด้วยซ้ำ!”