องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 347 นางควรมองแค่เขาคนเดียว
“หึ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหยุดสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ แล้วปรายตามองนางอย่างมีเลศนัย จากนั้นเขาก็กระชับตัวนางเข้าสู่อ้อมแขน ปลายนิ้วของเขาไล้ผ่านขายาวทั้งสองข้างของนางที่โอบอยู่รอบเอวเขา แล้วบดเบียดริมฝีปากของตนเข้ากับริมฝีปากของนาง เสียงของเขาแหบพร่าและติดจะซุกซน ”ห้องแบบนี้ถูกใจเจ้ามากกว่ามิใช่หรือ”
น้ำเสียงของเขาฟังดูขัดกับการกระทำ ชายหนุ่มทำตัวเหมือนแมวหยอกหนู เขาไม่ได้รีบร้อนฆ่าเหยื่อของตัวเองให้ตาย แต่กลับค่อยๆ ละเลียดเล็มนางทีละน้อย พร้อมกับหาตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุดในการลงมือ
แต่สำหรับเฮ่อเหลียนเวยเวยแล้ว การเมินเฉยต่อความอุ่นร้อนที่ทาบทับอยู่เหนือร่างของตนนั้นช่างเป็นเรื่องที่ทำได้ยากนัก
ระหว่างพวกนางมีเพียงแค่เสื้อผ้าขวางกั้นเอาไว้ นิ้วของเขาลูบไล้ไปตามความอ่อนนุ่มบริเวณต้นขาของนาง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเสน่ห์อันเย้ายวน
เฮ่อเหลียนเวยเวยกัดริมฝีปากบางของตน นางอยากปัดมือของเขาออก แต่ความอบอุ่นจากร่างของเขากลับกำลังทำให้นางรู้สึกไวต่อการสัมผัสยิ่งขึ้น
“อ้าปาก” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย น้ำเสียงของเขาทั้งเผด็จการและเย็นชา เขาคงไม่รู้ว่าน้ำเสียงทุ้มต่ำอันแสนไพเราะและมีเสน่ห์ดึงดูดของตนนั้นสามารถทำให้บรรดาเด็กสาวหลงทางได้เลยทีเดียว แต่อย่างไรเสียเขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องนั้นอยู่แล้ว
นางรู้สึกว่าหูของนางกำลังชา เฮ่อเหลียนเวยเวยนิ่งไป แต่ก่อนที่นางจะทันได้ตั้งตัว คางของนางก็ถูกจับให้เชิดขึ้น และริมฝีปากของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็เข้ามาครอบครองริมฝีปากของนางอีกครั้ง
น้ำหนักบนริมฝีปากของนางไม่ได้เบาหรือหนักจนเกินไป มันเป็นความอบอุ่นที่พรั่งพรูเข้ามาพร้อมกับลมหายใจถี่กระชั้น ทุกลมหายใจนั้นล้วนแต่เต็มไปด้วยกลิ่นของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย กลิ่นเลือดจางๆ กับกลิ่นหอมของไม้จันทน์ผสานเข้าด้วยกันกลายเป็นกลิ่นเย็นๆ แต่ก็รุนแรงยิ่งนัก
การถูกไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกอดเอาไว้เช่นนี้ทำให้ทัศนวิสัยของเฮ่อเหลียนเวยเวยมืดสนิท หัวใจของนางเต้นตึกตัก และนางรู้สึกว่าตนเองกำลังจะทนไม่ไหว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองไม่เห็นสีหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวย แต่เขารู้สึกถึงอาการตัวสั่นและลมหายใจอันไม่สม่ำเสมอของนางได้…
เขารู้สึกว่าในเวลานี้เขาสามารถควบคุมนางเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ นางไม่สามารถหนีได้ และการขัดขืนอันอ่อนแอของนางก็ใช้ไม่ได้ผลกับเขา
นี่คือสิ่งที่ควรจะเป็น
ริมฝีปากของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกระตุกขึ้นเล็กน้อย เขาเคยคิดว่าทันทีที่เขาได้สิ่งที่ตนต้องการมา แล้วสุดท้ายเขาจะเลิกสนใจมันไปเสียอีก
แต่ไม่รู้ว่าทำไม มันกลับทำให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าและตื่นเต้นได้ถึงเพียงนี้
มันแตกต่างจากทุกอย่างที่เขาเคยทำมา
เขาพยายามกัดนางแรงขึ้น
“อื้อ…!” เฮ่อเหลียนเวยเวยส่งเสียงออกมาอย่างกลั้นไม่ไหว!
ร่างกายของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกระตุกเกร็งราวกับมีไฟฟ้าแล่นปราดไปทั่วร่าง สายตาของเขาเริ่มตกอยู่ในภวังค์ และเลือดของเขาก็เริ่มพลุ่งพล่าน
ความรู้สึกนี้ทำให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนึกอยากเลียนางจนสะอาด เพราะก่อนหน้านี้เขาเห็นว่าเหยื่อของตนเนื้อตัวสกปรกมอมแมม แต่ในเวลานี้ เขาเพียงแค่ต้องการให้กลิ่นของตัวเองปกคลุมทั่วร่างของหญิงสาวจอมพยศคนนี้ หรือไม่ก็ทิ้งร่องรอยเอาไว้บนคอของนาง…
ประสาทสัมผัสของเฮ่อเหลียนเวยเวยรวมกันอยู่ที่บริเวณคอของนาง การขบเม้มนั้นยังคงดำเนินต่อไป และปลุกปั่นอารมณ์ของนาง ทำให้นางรู้สึกร้อนรุ่มไปทั้งตัว
“ปฏิกิริยาน่ารักทีเดียว” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจับสะโพกของเฮ่อเหลียนเวยเวย ดวงตาดำทะมึนที่เผยความมืดมิดของเขาปรากฏแสงสว่างอยู่ภายใน
นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกถึงความตื่นเต้นได้จากการได้เป็นผู้ควบคุมโดยสมบูรณ์เช่นนี้ มันทำให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแทบจะคุมตัวเองเอาไว้ไม่อยู่และเผลอทำลายนางเข้า
ใช่ เขาอยากทำให้นางเจ็บ สร้างบาดแผลให้กับนาง อยากทำให้นางร้องไห้ออกมาด้วยซ้ำ…
แต่เพราะความคิดพวกนี้ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจึงหยุดการกระทำของตนได้ทันเวลา เขาผลักเฮ่อเหลียนเวยเวยออกไป
เขาหลับตาลง แล้วพยายามข่มความกระหายเลือดที่ออกมาจากความคิดเหล่านั้น
ความต้องการฉีกกระชากบางอย่างออกจากกันปะทุขึ้นจากในร่างของเขา
กิเลนอัคคีที่อยู่ในมิติสวรรค์พยายามปรับตัวให้เข้ากับผลกระทบจากพลังหยินด้านลบที่ถูกปลดปล่อยออกมาเมื่อครู่ เขารู้สึกได้ถึงเส้นทางการไหลเวียนพลังปราณที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหันภายในร่างของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ดังนั้นมันจึงปรากฏตัวขึ้น แล้วเอ่ยเรียกเขาอย่างเป็นห่วง ”นายท่านขอรับ”
สายตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั้นสงบนิ่ง แต่กลับดูชั่วร้ายเล็กน้อย
กรงเล็บของกิเลนอัคคีชะงักไป แล้วเขาก็คิดขึ้นมาอย่างเผลอไผลว่าบางทีสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายสำหรับผู้เป็นนายก็ได้กระมัง…
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกได้เช่นกันว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดูมีบางอย่างแปลกไป เขาเป็นคนอ่านยาก ใบหน้าของเขายังคงเย็นชาระหว่างที่สวมเสื้อคลุมสีงาช้างนั้นลงบนตัว เขาดูน่าหลงใหลแต่ก็เป็นประกายยิ่งนัก
เป็นไปได้หรือเปล่าว่าเขาจะได้รับผลกระทบจากพลังด้านลบเมื่อครู่นั่น
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่อยู่เฉย นางยื่นมือออกไปยกแขนของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขึ้น เมื่อเห็นเลือดที่เปื้อนอยู่บนนั้น นางก็ขมวดคิ้วแล้วเด็ดเอาสตรอว์เบอร์รีที่เติบโตขึ้นจากพลังเวทออกมาจากมิติสวรรค์ นางขยำมันแล้วนำไปทาบนมือของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ”แผลไม่ลึกนัก น่าจะไม่ติดเชื้อ”
“อืม” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบเบาๆ เขาคว้าเอวของนางเอาไว้ แม้จะไม่มีใครสามารถมองเห็นเขาได้ท่ามกลางความมืดมิด แต่เขากำลังยิ้มอยู่ มันเป็นรอยยิ้มที่แทบจะมองไม่เห็น แล้วก็ยังเป็นรอยยิ้มที่แตกต่างจากตอนที่เขากำลังเข่นฆ่าผู้คนเมื่อครู่นี้
รอยฟกช้ำบนแขนของเขานั้นสามารถลบเลือนไปได้อย่างง่ายดายด้วยการใช้พลังปราณเพียงแค่นิดเดียว
แต่เขากลับพบว่าเขาชอบให้นางเป็นห่วงเขาเช่นนี้
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจว่าจะปล่อยรอยช้ำนั้นเอาไว้
เมื่อเขาเห็นปฏิกิริยาของเฮ่อเหลียนเวยเวยตอนที่นางเห็นบาดแผลของเขา เห็นความร้อนใจและความโกรธที่อยู่บนใบหน้าของนาง เห็นความเป็นห่วงและความตื่นตระหนกนั้น… ความรู้สึกอันยากจะอธิบายก็พลันก่อตัวขึ้นในหัวใจของเขา มันเป็นความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับการยืนอยู่ใต้แสงอาทิตย์ มันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าดวงอาทิตย์กำลังสาดแสงลงมาเหนือร่างของเขา ลงมาถึงก้นบึ้งของหัวใจ และทำให้กับร่างกายทุกส่วนของเขาที่เคยเป็นอัมพาตกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง มันทำให้เขายิ้มออกมาอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้
ความคิดที่อยากจะฉีกกระชากนางให้เป็นชิ้นๆ เช่นนั้น
เขาควรข่มมันเอาไว้ให้นานกว่านี้อีกหน่อย
ชีวิตมนุษย์นั้นก็ไม่ต่างอะไรไปจากของเล่นสำหรับเขา เขาไม่แยแสต่อความเป็นตายของใครทั้งสิ้น
แต่กับเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาแค่อยากขังนางเอาไว้ เพื่อให้สายตาของนางมีแต่เขาเพียงคนเดียว
แต่แค่นั้นมันยังไม่พอ…
อาหารรสเลิศเช่นนี้ ถ้าเขาไม่ได้เป็นเจ้าของมันแต่เพียงผู้เดียวละก็…
เขารู้สึกไม่พอใจขึ้นมา
ความหิวโหยอันไม่รู้จักพอนี้ เขานึกสงสัยนักว่ามันเริ่มขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด
จริงสิ
มันเริ่มขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่นางเชยคางของเขา แล้วหัวเราะใส่เขา
เขาอยากเอาชนะนาง และทำตามสิ่งที่เขาปรารถนา…
แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะอย่างไรสิ่งเดียวที่เขามีล้นเหลือก็คือเวลา
เขาไม่ปล่อยให้ปฏิกิริยาที่ร่างกายของนางก่อขึ้นเล็ดลอดสายตาไปได้แม้แต่นิดเดียว นางไม่มีทางหนี วันที่เขาจะได้ยินนางร้องขอความเมตตาอยู่ใต้ร่างของเขาจะต้องมาถึงอย่างแน่นอน…
ยิ่งไป๋หลี่เจียเจวี๋ยคิด ส่วนหนึ่งของร่างกายของเขาก็ยิ่งขยายใหญ่ขึ้น แม้กระทั่งลมหายใจของเขาก็ยังเริ่มร้อนระอุ แต่ร่างกายของเขากลับยังคงไม่เคลื่อนไหว
มีแค่เพียงดวงตาที่บ่งบอกถึงความทรมานคู่นั้นเท่านั้นที่ยังคงจ้องมองดูเฮ่อเหลียนเวยเวยตาไม่กะพริบ สายตานั้นเริ่มจากสีแดงบนคอของนาง จนกระทั่งมาถึงหน้าอกที่ขยับขึ้นลงนั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกเพียงแค่ว่าสายตาของเขาทำให้นางรู้สึกหมดสิ้นกำลังและชาวาบไปทั้งกระดูกสันหลัง หากไม่ใช่เพราะพลังใจที่แข็งแกร่งเกินคนปกติของนาง นางก็คงติดกับเขา และยอมจำนนต่ออ้อมกอดของเขาแล้ว
แม้กระทั่งนิ้วที่นางกำลังทำแผลให้เขาอยู่ก็ยังสั่นไม่หยุด นางไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่นางก็โทษว่ามันเป็นความผิดจากสายตาอันเร่าร้อนขององค์ชาย สายตานั้นเหมือนกำลังทำอะไรสักอย่างกับนางอยู่..