องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 348 ช่วยองค์ชายอาบน้ำ
“เรียบร้อยแล้ว” เฮ่อเหลียนเวยเวยละมือของนางออก แล้วขยับตัวถอยห่างจากไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเล็กน้อย
ในสายตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแล้ว ปฏิกิริยาของนางนั้นชวนให้ครุ่นคิดทีเดียว
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังไม่ลืมว่านางยังมีงานต้องไปจัดการอยู่ ดังนั้นนางจึงเรียกเงาทมิฬที่อยู่หน้าประตูเข้ามา ”องค์ชายได้รับบาดเจ็บ บาดแผลของเขาจำเป็นต้องได้รับการฆ่าเชื้อ ช่วยจับตาดูเขาให้ดีด้วยล่ะ อย่าให้เขาอาบน้ำในคืนนี้”
ในตอนแรกนั้นเงาทมิฬทำเพียงแค่รับฟังคำสั่งนั้นอย่างเงียบๆ แต่ทันทีที่เขาได้ยินประโยคสุดท้าย สีหน้าของเขาก็เริ่มกระอักกระอ่วนขึ้นเล็กน้อย
ไม่ให้นายท่านอาบน้ำ…
คงจะเป็นไปไม่ได้
เจ้านายของเขาเป็นคนที่ต้องอาบน้ำวันละสามครั้ง เพราะเขาทนต่อความเหนียวตัวไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว
เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นว่าเงาทมิฬลำบากใจเพียงใด นางก็เปลี่ยนใจ แล้วพูดว่า ”ถ้าเขายืนกรานว่าจะอาบ เช่นนั้นก็หาคนมาช่วยเขาอาบก็แล้วกัน”
ถ้าอย่างนั้น พวกเขาควรห้ามไม่ให้ฝ่าบาทอาบน้ำเสียยังดีกว่า!
จะมีใครหน้าไหนกล้าแตะต้องฝ่าบาทด้วยหรือ พวกเขาได้มือขาดกันแน่ๆ!
ครั้งที่แล้ว องครักษ์เงาจำนวนกว่าครึ่งจำเป็นต้องหันหน้าเข้าหาผนังเป็นเวลากว่าสามวันเป็นการลงโทษกับเหตุการณ์ของแม่นางอวิ๋นเมื่อครั้งก่อน
มาครั้งนี้ ถ้าเขาตกลงช่วยฝ่าบาทชำระล้างร่างกายอีกละก็ หัวเขาคงได้หลุดจากบ่าแน่!
แต่เงาทมิฬกลับนึกไม่ถึงว่าในเวลานั้นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะเอ่ยปากขึ้นอย่างไม่รีบร้อนว่า ”เจ้ากลับมาแล้วค่อยช่วยข้าอาบน้ำก็ได้ เราเอาแต่รบกวนเงาทมิฬตลอดเวลาเช่นนี้ก็คงไม่ดีเท่าใดนักมิใช่หรือ”
เงาทมิฬคิดว่าตัวเองหูฝาด… รบกวนหรือ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคำพูดเช่นนี้จากปากของฝ่าบาท ตอนที่ฝ่าบาทขอความช่วยเหลือจากอดีตฮ่องเต้ เขาไม่เคยคิดว่ามันเป็นการรบกวน เขามักจะออกคำสั่งอย่างเย็นชาเสียจนอดีตฮ่องเต้อยากต่อยผนังขึ้นมาเสียด้วยซ้ำ อดีตฮ่องเต้มักจะสบถอยู่เสมอว่าองค์ชายเป็นหลานอกตัญญู
แต่ตอนนี้…
เงาทมิฬไม่รู้ว่าเขาควรจะแปลกใจดีหรือไม่ที่จู่ๆ ฝ่าบาทก็ทำตัว ’อ่อนน้อมถ่อมตน’ ขึ้นมา หรือจะตกใจที่เขายอมให้คนอื่นช่วยอาบน้ำให้เขากันแน่!
แต่กิเลนอัคคีนั้นกลับเข้าใจจุดประสงค์ของผู้เป็นนายดี เขาเลียกรงเล็บอันงดงามของตนอยู่ในมิติสวรรค์ และยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย ”นายท่าน ท่านนี่ทำตัวซุกซนขึ้นทุกวันเลยนะขอรับ ตอนนั้นท่านสามารถขี่ม้ากลับไปที่สำนักไท่ไป๋ได้ แต่ท่านกลับยืนกรานที่จะนั่งรถม้าแทน เห็นได้ชัดว่าท่านต้องการที่จะกลั่นแกล้งใครบางคน แล้วมาครั้งนี้ก็… หึๆ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้ปฏิเสธเรื่องจุดประสงค์ของตัวเอง เขากระตุกริมฝีปากบางขึ้น แล้วชำเลืองมองกิเลนอัคคี ”ถ้าบรรดาสัตว์อสูรตัวเล็กๆ นั่นรู้ถึงความคิดสกปรกในหัวพี่ใหญ่ของมันได้ละก็ เจ้าคงได้เสียสถานะของตัวเองไปแน่”
กิเลนอัคคี : เดี๋ยวก่อนสิ ใครกันแน่ที่คิดสกปรก!
เขาเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลที่มีความสามารถมากพอในการอ่านความคิดของผู้เป็นนายต่างหาก!
หากดูจากรสนิยมอันชั่วร้ายของผู้เป็นนายแล้ว เขาจะต้องคิดทำเรื่องอย่างว่าในเวลาอาบน้ำคืนนี้อย่างแน่นอน!
แต่เมื่อใดก็ตามที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยใช้เสียงต่ำในการออกคำสั่ง เขาจะสามารถทำให้อีกฝ่ายรู้สึกผิด ถ้าไม่อาจทำตามความปรารถนาของเขาได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยชะงัก อย่างไรไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ได้รับบาดเจ็บเพราะนาง
พอมาคิดดูแล้ว นางก็ไม่รู้ว่าทำไมทุกครั้งที่องค์ชายอยู่กับนาง เขาดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บอยู่บ่อยๆ
แต่ก็ต้องขอบคุณการที่เขาเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ละครฉากสุดท้ายในงานของนางจึงสามารถปิดม่านลงได้อย่างราบรื่น
เมื่อคิดได้ดังนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็เงยหน้าขึ้น แล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย ”เอาล่ะ ข้าจะช่วยท่านอาบน้ำก็แล้วกัน แล้วเจอกันที่สำนักไท่ไป๋”
เมื่อพูดจบ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็เดินออกไปจากห้อง
ทันทีที่ห้องเข้าสู่ความเงียบ กิเลนอัคคีก็เลิกทำเป็นเล่นเช่นกัน มันลดเสียงลงพร้อมกับเอ่ยว่า ”นายท่าน ท่านก็เห็นเหมือนกันนี่ขอรับ ยันต์แปดเหลี่ยมปราบปีศาจนั่น”
“อืม” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยืนขึ้น และยืนหันข้างพร้อมกับจัดคอเสื้อของตัวเองไปด้วย ท่วงท่าอันสง่างามนั้นเผยเสน่ห์อันชั่วร้ายของเขาออกมา
กิเลนอัคคีหลุบตาลง หากว่ากันตามเหตุผลแล้ว ตระกูลของผู้ขับไล่วิญญาณน่าจะถูกกวาดล้างไปจนหมดสิ้นแล้ว ตอนที่วิญญาณของนายท่านยังคงมีดวงเดียวนั้น บรรดาผู้ขับไล่วิญญาณเหล่านั้นเคยทุ่มความพยายามอย่างมาก เพื่อผนึกนายท่านไว้ในนรกมาก่อน
แต่นายท่านก็ไม่เคยคิดว่าพวกเขาเป็นภัยคุกคามแต่อย่างใด
ตอนนี้เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับสามารถใช้วิชาปราบปีศาจได้
“หากวันหนึ่งนางรู้เรื่องตัวตนที่แท้จริงของนายท่านขึ้นมาละก็…”
เมื่อได้ยินดังนั้น มือของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่อยู่บนเสื้อคลุมก็ชะงักไป เขากระตุกริมฝีปากขึ้นครึ่งหนึ่ง แต่ดวงตาของเขากลับเย็นชา ”เช่นนั้น ก็อย่าให้นางรู้”
กิเลนอัคคีอ้าปาก แต่ท้ายที่สุดมันก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ มันค้อมศีรษะให้กับเขาอย่างเงียบๆ แล้วพูดว่า ”ขอรับนายท่าน”
แต่มันกลับซ่อนความกังวลอันไม่อาจเอื้อนเอ่ยเป็นคำพูดได้นั้นเอาไว้อยู่ในใจ…
ในเวลานั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยมาถึงหน้าทางเข้างานประมูลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากมองไปรอบๆ นางก็เห็นจุดที่องค์ชายเจ็ดตัวน้อยอยู่
เด็กชายกำลังกินซาลาเปาหมูอย่างเอร็ดอร่อย หากไม่ใช่เพราะสัตว์อสูรขนสีเขียว ตาสีแดงที่อยู่ใต้เท้าของเขา ก็คงไม่มีใครสังเกตเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น
ในเมื่อตำแหน่งที่เขายืนอยู่นั้นเป็นที่ลับตา และงานประมูลก็พลุกพล่านไปด้วยผู้คน จึงไม่มีใครสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นที่นี่
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว แล้วมองดูสัตว์อสูรที่ถูกเด็กชายจัดการจนหมดแรงอยู่ตรงนั้น ”เจ้าตัวนี้มาจากไหนล่ะ”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันขอรับ” เด็กชายโมโหมากระหว่างที่เล่าเหตุการณ์ให้นางฟัง ”สิ่งเดียวที่ข้ามั่นใจก็คือมันมาแย่งซาลาเปาของข้าขอรับ! ข้าเพิ่งจะกัดได้ไม่ทันไร เขาก็กระโจนเข้ามาหาข้าจากด้านหลังเสียแล้ว! ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าต่อให้ถามคนเห็นแก่กินเช่นเขาไปก็ไร้ประโยชน์ ทักษะในการต่อสู้ของเจ้าเจ็ดนั้นเรียกได้ว่ายอดเยี่ยมยากจะหาคนมาเทียบได้ นางมองสัตว์อสูรที่อยู่บนพื้นอีกครั้ง แล้วยิ้มขึ้น ”พี่สามของเจ้าอยู่ข้างบน ภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว ไปหาเขาสิ แต่อย่าบอกใครนะว่ามีสัตว์อสูรตัวนี้ปรากฏตัวออกมา”
“ข้ารู้แล้วขอรับ” เด็กชายยังคงมีสีหน้าเด็ดเดี่ยวและเคร่งขรึม ”คนพวกนั้นคิดว่าพี่สะใภ้สามของข้าจะต้องแพ้อย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเขาถึงได้ติดตามคนที่ชื่ออวิ๋นอะไรนั่นไป พวกเขาไม่ได้สังเกตเห็นเลยด้วยซ้ำว่ามีสัตว์อสูรปรากฏตัวขึ้น ช่างโง่เง่าเสียจริง”
เฮ่อเหลียนเวยเวยลูบศีรษะของเขา ”น้องชายของพวกข้าเป็นคนกินเก่ง แต่ก็เป็นคนกินเก่งที่ฉลาดยิ่งนัก”
สีหน้าเย็นชาของเด็กชายหัวโล้นเปลี่ยนเป็นเขินอาย เขากระแอมออกมาเบาๆ แล้วแสร้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่ ”พี่สะใภ้สาม ท่านควรเก็บความคิดเช่นนั้นไว้กับตัวนะขอรับ อย่าให้ใครรู้ความลับของข้าได้ ข้ากลัวว่าจะมีคนมาหลงใหลได้ปลื้มข้ามากไปกว่านี้ขอรับ”
ริมฝีปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยถึงกับกระตุก… เจ้าเจ็ด เจ้ายังเด็กเกินกว่าจะนึกถึงเรื่องคนที่จะมาหลงใหลเจ้านะ
“พี่สะใภ้สามไปเถอะขอรับ” เด็กชายหัวโล้นเลียนิ้ว เขาทำสีหน้าจริงจัง ”ข้าจะไปหาพี่สาม ข้าจะถามเขาว่าหลังจากนี้พวกเราจะกินอะไรกันดี”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเด็กชายที่ยังเดินได้ไม่คล่องเท่าใดนัก ขาเล็กๆ ทั้งสองข้างของเขาแกว่งไปข้างหน้าทีข้างหลังทีระหว่างที่เขาบ่นเรื่องของกินไม่หยุด นางยกมือขึ้นแนบหน้าผากแล้วหัวเราะออกมา ช่างเป็นคนที่เห็นแก่กินจริงๆ
แต่มู่หรงหงตู๋ผู้นี้ดูเหมือนจะมีเงื่อนงำซับซ้อนกว่าที่พวกเขาคิด
หน่วยพิฆาตวิญญาณอาจยังไม่รู้ แต่มู่หรงหงตู๋กลายเป็นปีศาจไปเสียแล้ว
อีกอย่างหนึ่ง… เรื่องที่สำคัญที่สุดนั้นคือการหาเหตุผลมาอธิบายว่าทำไมเขาถึงต้องการที่จะทำลายพลังปราณอันสงบสุขของที่แห่งนี้
หลังจากดูแลเจ้าเจ็ดเสร็จเป็นที่เรียบร้อย เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ไม่อยู่เฉย นางมุ่งหน้ากลับไปที่พระราชวังใต้ดินเพื่อจะรายงานเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่นางจะทำได้
แต่เสี่ยวไป๋กับหยวนหมิงดูเหมือนจะเงียบเชียบกว่าปกติ…