องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 349 เวยเวยชนะแล้ว
หรือว่าพวกเขายังได้รับผลกระทบจากพลังงานด้านลบเมื่อครู่นี้อยู่
เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยคิดได้ดังนี้ ก็ร้องเรียกขึ้น ”หยวนเสี่ยวหมิง”
“ข้าอยู่นี่” น้ำเสียงทุ้มต่ำของหยวนหมิงดังขึ้น มันฟังดูลึกล้ำกว่าน้ำเสียงอันซุกซนในยามปกติของเขา
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว ”เจ้ายังรู้สึกไม่สบายอยู่หรือ”
“เปล่า” มุมปากของหยวนหมิงกระตุกขึ้น พร้อมกับปรากฏตัวขึ้นรางๆ ”แม่นาง เจ้าไปเรียนวิชาที่เจ้าใช้ตอนอยู่ในงานประมูลนั่นมาจากไหนหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยชะงักฝีเท้า แล้วหันกลับไปมองเขา ”ถ้าข้าบอกว่าข้าแค่คิดว่าเคยเห็นวิชาคล้ายๆ แบบนั้นมาก่อนจากที่ไหนสักแห่ง เจ้าจะเชื่อข้าหรือเปล่า”
หยวนหมิงมองนางอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหัวเราะอย่างชั่วร้าย ”ข้าเชื่อเจ้า ข้าเพียงแต่ไม่เชื่อเท่านั้นว่าตัวเองจะทำสัญญากับผู้ขับไล่วิญญาณ ไม่แปลกใจเลยที่บรรดาผู้อาวุโสพวกนั้นเรียกเจ้าว่าพระชายาที่กลับชาติมาเกิด”
“คนที่พวกเขาเรียกว่าพระชายากลับชาติมาเกิดไม่ใช่ข้า แต่เป็นเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ต่างหาก” เฮ่อเหลียนเวยเวยยักไหล่
ริมฝีปากบางของหยวนหมิงคลี่เป็นรอยยิ้มกว้าง ”แม่นาง เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าหมายถึงสติปัญญาอันชาญฉลาดของบรรดาผู้ขับไล่วิญญาณเหล่านั้นต่างหาก เพื่อเป็นหลักประกันว่านางจะได้มาเกิดใหม่ พวกเขาจึงทำให้มนุษย์เชื่อคำเล่าลือที่ว่าพระชายาจะปกครองแผ่นดินนี้ แต่ความจริงแล้วพระชายาคนที่ว่าก็คือเลือดเนื้อเชื้อไขของเหล่าผู้ขับไล่วิญญาณนี่เอง”
“ตามที่คำทำนายในหนังสือโบราณเล่มนั้นว่าไว้ ทายาทของผู้ขับไล่วิญญาณจะไม่ได้มาเกิดใหม่ง่ายๆ หากแผ่นดินไม่ถึงการโกลาหล หรือถูกปีศาจรุกราน” เสี่ยวไป๋เอ่ยขึ้นเช่นกัน สายตาของเขาเย็นชา ”เวลานี้ยันต์แปดเหลี่ยมปราบปีศาจได้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้งแล้ว ย่อมหมายความว่ามีใครบางคนพยายามทำลายผนึกไท่จี๋ที่ผนึกบรรดาปีศาจอยู่ มีใครบางคนมุ่งที่จะปลดปล่อยบรรดาภูตผีปีศาจที่ถูกจองจำไว้ในนรกออกมา ตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา ผนึกไท่จี๋นั้นเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์สามารถใช้ชีวิตอยู่กันได้อย่างสงบสุข หากตัวผนึกได้รับความเสียหาย มันก็คงไม่ต่างอะไรไปจากการสะเดาะกุญแจเปิดประตูให้ความมืดย่างกรายเข้ามา ปีศาจพวกนั้นสามารถฆ่าคนได้อย่างไม่ปรานี เพราะสำหรับพวกมันแล้ว มนุษย์ถือเป็นอาหารอันเลิศรส…”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเข้าใจหัวใจของเรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็ว ”เจ้าหมายความว่าทุกอย่างที่ศัตรูของเรากำลังทำอยู่ รวมถึงการที่มู่หรงหงตู๋มีเจตนาจะทำลายพลังปราณอันสงบสุขนี้ ทั้งหมดก็เพื่อทำลายผนึกไท่จี๋หรือ”
“มีความเป็นไปได้มากทีเดียว” เสี่ยวไป๋พยักหน้า
เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตาลง ”ดูเหมือนว่าเราคงต้องไปหาท่านเจ้าสำนัก แล้วเล่าทุกอย่างที่เรารู้ให้เขาฟังเสียแล้ว”
“อือ” เสี่ยวไป๋กลับไปซ่อนตัว
เฮ่อเหลียนเวยเวยจมอยู่ในภวังค์ระหว่างก้าวไปข้างหน้า แสงสว่างจวนเจียนจะหมดลงทันทีที่นางเข้ามาถึงชั้นใต้ดิน ดูเหมือนจะมีใครบางคนจุดตะเกียงน้ำมันเอาไว้ เปลวไฟริบหรี่จากแสงอันเลือนรางท่ามกลางอุโมงค์ลึกนี้ทำให้บรรยากาศดูน่าขนลุกและน่าสะพรึงกลัวขึ้นไปอีก
เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้ว เสียงฝีเท้าอันแผ่วเบาของนาง มาตอนนี้กลับดังไปทั่วอุโมงค์ที่ทั้งแคบและคดเคี้ยว มันทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจอย่างไรชอบกล เพราะเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างกำลังจับตามองนางอยู่
แต่นี่เป็นเส้นทางเดียวที่จะนำไปสู่พระราชวังใต้ดิน โชคดีที่อุโมงค์นี้ไม่ได้ยาวมากนัก เพียงชั่วพริบตาเฮ่อเหลียนเวยเวยก็มาถึงจุดนัดพบก่อนหน้านี้
เห็นได้ชัดว่าอวิ๋นปี้ลั่วและคนอื่นๆ ยังไม่กลับมา
และตู๋ซูเฟิงเองก็ไม่อยู่ที่นี่เหมือนกัน
แปลก พวกนางตกลงกันว่าจะมาเจอกันที่นี่หลังจบการทดสอบมิใช่หรือ
“ข้านึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะเป็นคนแรกที่กลับมา” น้ำเสียงค่อนข้างหนาดังขึ้นจากด้านหลังของนาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยหันกลับไป และเห็นผู้ชี้แนะคนหนึ่งกำลังสาวเท้าเข้ามาหานางพร้อมกับม้วนกระดาษในมือ เขาหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไม้จันทน์เหมือนอย่างที่ตู๋ซูเฟิงเคยทำ และรินน้ำชาให้สองถ้วย ”นั่งสิ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยนั่งลง นางรู้ว่าการกระทำนี้สื่อถึงบทสนทนาอันยาวนาน
“แล้วคนอื่นๆ ล่ะ” คนคนนั้นเลิกคิ้วถาม
“พวกเขาคงอยู่ระหว่างสืบหาข้อมูลกระมัง” น้ำเสียงของเฮ่อเหลียนเวยเวยเบาอย่างมาก
ผู้ชี้แนะคนนั้นลอบมองนาง และดูเหมือนกำลังใช้พู่กันเขียนอะไรบางอย่างอยู่ ”เจ้ายังขาดความตระหนักรู้ในด้านการทำงานร่วมกับผู้อื่นอยู่”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ตัว แต่ถึงนางอยากจะให้ความร่วมมือ นางก็ไม่สามารถฝืนตัวเองให้ทำเช่นนั้นได้
“เจ้าได้เรื่องอะไรมาล่ะ” ผู้ชี้แนะคนนั้นถามอีกครั้ง เขากำลังให้คะแนนนางพร้อมกับถามคำถามไปด้วย
เฮ่อเหลียนเวยเวยสังเกตเห็นจุดสีดำหลายจุดบนคอของเขา สายตาของนางชะงักไป แต่นางก็จัดเรียงความคิดของตนได้อย่างรวดเร็ว นางยังคงรักษาท่าทางผ่อนคลายได้ดังเดิมระหว่างที่สาธยายสิ่งที่เกิดขึ้นในงานประมูลให้อีกฝ่ายฟัง แต่แน่นอนว่านางจงใจข้ามรายละเอียดบางประการไปเหมือนอย่างเคย นางไม่ได้เปิดเผยเรื่องพลังของนาง หรือสิ่งที่เสี่ยวไป๋เล่าให้นางฟังเมื่อครู่ออกมา
แต่เพียงแค่นั้นมันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้สีหน้าของผู้ชี้แนะคนนี้เปลี่ยนแปลงไป ”พวกข้ารู้เพียงแค่ว่ามู่หรงหงตู๋อาจจะทำการล่าสัตว์ในป่าวิญญาณอย่างผิดกฎหมาย แต่ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะทำถึงขั้น…”
“เรื่องนี้นับว่าน่าตกใจจริงๆ” แขนเสื้อยาวของเฮ่อเหลียนเวยเวยวาดลงบนโต๊ะ พร้อมกันนั้นนิ้วมือของนางก็หยุดลงที่ขอบถ้วยชา
มือของผู้ชี้แนะหยุดเคลื่อนไหว แล้วจากนั้นเขาก็หยิบถ้วยชาที่อยู่ข้างตัวขึ้นมาดื่ม เขายังคงพยายามทำความเข้าใจกับข่าวที่เฮ่อเหลียนเวยเวยนำมาอยู่
“เจ้าเห็นกับตาหรือเปล่าว่าเขากลายเป็นปีศาจได้อย่างไร” เหมือนจะเพิ่งนึกอะไรได้ เขาเงยหน้าขึ้นมาในทันที
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงดื่มด่ำกับชาของตัวเองอยู่ ทันทีที่นางได้ยินคำถามนั้น นางก็พยักหน้า ”แต่ข้าคิดว่าคำว่า ’กลายเป็นปีศาจ’ อาจดูไม่เหมาะสมนัก มู่หรงหงตู๋ต้องถูกยึดครองวิญญาณอย่างแน่นอน”
ท่าทีของคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามนางแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันทีที่เขาได้ยินเช่นนั้น จากนั้นเขาจึงหันมาจ้องหน้านางด้วยสายตาดุร้าย ”ถูกยึดครองวิญญาณหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งที่เจ้ากำลังพูดถึงอยู่คืออะไร ในฐานะสมาชิกใหม่ของหน่วยพิฆาตวิญญาณ เจ้าไม่ควรกล่าวถึงสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้เช่นนั้น เจ้าคิดว่าข้าจะรายงานเรื่องนี้ออกไปได้อย่างไรกัน”
“แต่มันเป็นความจริง” เฮ่อเหลียนเวยเวยยกขาขึ้นไขว่ห้างอย่างใจเย็นพลางพยายามหาคำพูดอธิบายที่ถูกต้องหมาะสมให้กับเขา ”ว่ากันตามตรงแล้ว ข้าเองก็ไม่เคยเชื่อเรื่องการยึดครองวิญญาณมาก่อนเหมือนกัน แต่หลังจากที่ข้าได้เห็นเงาสีดำที่โผล่ออกมาจากศีรษะของมู่หรงหงตู๋ ข้าถึงได้เชื่อว่า เขาจะต้องถูกอะไรบางอย่างควบคุมเอาไว้อย่างแน่นอน ท่านลองคิดดูสิ ถ้าท่านเชื่อเรื่องการยึดครองบางสิ่งบางอย่าง แล้วทำไมท่านถึงจะยอมรับเรื่องการยึดครองวิญญาณไม่ได้เล่า”
ผู้ชี้แนะหรี่ตาพร้อมกับคิดตามคำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวย ”หากเป็นไปตามที่เจ้าว่า เช่นนั้นเขาก็ไม่ใช่มู่หรงหงตู๋มาตั้งแต่แรกแล้ว ถูกไหม”
“มีความเป็นไปได้สูงทีเดียว” นิ้วของเฮ่อเหลียนเวยเวยเลื่อนผ่านถ้วยชา ”ยิ่งกว่านั้น นายท่านที่เขาพูดถึงก็ดูจะมีค่ามากพอให้พวกเราทำการสืบสวนต่อ ในเมื่อครั้งนี้มู่หรงหงตู๋ทำร้ายสัตว์อสูรอย่างผิดกฎหมาย ข้าจึงคิดว่ามีความเป็นไปได้เช่นกันที่ ’นายท่าน’ คนที่ทำในสิ่งเดียวกันกับเขานี้ก็อาจจะถูกวิญญาณยึดครองร่างเอาไว้เหมือนกัน”
ผู้ชี้แนะคนนั้นขมวดคิ้ว ”ทำไมเจ้าถึงคิดอย่างนั้นล่ะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยกถ้วยชาขึ้นมาจิบเล็กน้อย ”ง่ายมาก เพราะนายท่านคนที่ว่านี้จำเป็นต้องใช้ร่างจำนวนมากอย่างไรล่ะ”
เพียงแต่นางยังไม่มั่นใจว่ามู่หรงหงตู๋ถูกยึดร่างได้อย่างไร…
“ไม่คิดว่าเจ้าจะฉลาดขนาดนี้” ผู้ชี้แนะคนนั้นยิ้มแล้วลุกขึ้นยืน เขาให้สัญญาณด้วยถ้วยที่อยู่ในมือ ”ตู๋ซูเฟิงมีตาหายอดฝีมือจริงๆ ตัวเลือกของเขาถูกต้องเสมอ เจ้าเป็นผู้ชนะในบททดสอบนี้”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มน้อยๆ น้อมรับคำชมของเขา นางจิบชาอีกครั้งแล้วตอบว่า ”ขอบคุณ”
แต่นางไม่เห็นสายตาขุ่นมัวอันแปลกประหลาดของผู้ชี้แนะที่จ้องมองมาในตอนที่นางก้มหน้าลงดื่มชา…