องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 353 กองกำลังลับยอมรับนางเป็นนาย
น้ำเสียงของเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้ฟังดูขุ่นเคืองหรือไม่พอใจแม้แต่น้อยตอนที่นางกล่าวเช่นนั้น นางเพียงเชิดปลายคางขึ้นเล็กน้อยด้วยท่าทางเกียจคร้านอย่างเป็นธรรมชาติ
เมื่อต้าสงได้ยินว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยต้องการที่จะประลองฝีมือกับตน เขาก็นึกฉุนจนทำได้แค่ส่งเสียงหัวเราะออกมา ”ในเมื่อเจ้าอยากสู้ เช่นนั้นข้าก็ขอเป็นคนสอนบทเรียนทายาทที่ไม่ได้ความของอดีตแม่ทัพเฮ่อเหลียนแทนเขาก็แล้วกัน!”
เมื่อเทียบกับต้าสงแล้ว เฮ่อเหลียนเวยเวยดูสุภาพมากกว่า นางเพียงกล่าวว่า ”เชิญ”
เป็นอย่างที่คาดไว้ ท่าทางสบายๆ ดูไม่ทุกข์ร้อนของเฮ่อเหลียนเวยเวยนั้นกระตุ้นความไม่พอใจของทุกคนได้เป็นอย่างดี ”หัวหน้าอย่าได้ออมมือให้กับนางเชียว ท่านต้องสอนบทเรียนให้นางโดยไร้ซึ่งความปรานีนะ…”
เมื่อความโกรธของทุกคนปะทุขึ้นจนถึงขีดสุดเช่นนี้แล้ว การให้ผู้อาวุโสเฮยหยุดเขาเอาไว้จึงนับว่าเป็นเรื่องที่สายเกินไปเสียแล้ว เขาชำเลืองมองนายพลหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างตัว แล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจว่า ”นางไม่ใช่เฮ่อเหลียนเวยเวยคนไร้ค่าดังเช่นในอดีตอีกแล้ว ในระหว่างที่พวกเจ้ากำลังพักฟื้นเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ เมืองหลวงก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ชื่อเหยียน ต่อให้พวกเขาไม่รู้ แต่เจ้าก็ควรรู้ว่า อาวุธที่อยู่ในมือของเจ้าก็เป็นสิ่งที่เวยเวยสร้างขึ้นด้วยมือตัวเอง”
“ข้ารู้” ชื่อเหยียนเอ่ยอย่างเย็นชา ”แต่ใช่ว่าความจริงข้อนั้นจะสามารถโน้มน้าวใจทุกคนได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้อาวุโสเฮยก็ขมวดคิ้วขาวของตนเข้าหากัน
ในเวลานี้เฮ่อเหลียนเวยเวยกับต้าสงต่างก็มาถึงสนามประลองเป็นที่เรียบร้อย
หลังจากที่ทั้งสองเข้าประจำที่ ต้าสงก็ชี้ไปยังอาวุธที่ตั้งเรียงรายอยู่บนชั้น แล้วสั่งว่า ”ไปเลือกอาวุธสิ ข้าจะออมมือให้และใช้แค่มือเปล่าสู้กับเจ้า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สะทกสะท้านกับเสียงหัวเราะเยาะเย้ยจากคนที่อยู่รอบๆ นางตอบอย่างไม่แยแสว่า ”ไม่จำเป็น ข้าพกอาวุธของตัวเองมาด้วย เริ่มเลยดีกว่า”
“ในเมื่อเจ้าร้องขอบทเรียนด้วยตัวเองเช่นนี้ ข้าก็จะเติมเต็มความปรารถนาของเจ้าให้เอง!” ต้าสงไม่คิดจะต่อความยาวสาวความยืด เขาโถมตัวเข้าใส่เฮ่อเหลียนเวยเวยในชั่วพริบตา ความคล่องแคล่วรวดเร็วเช่นนั้นดูไม่สอดคล้องกับร่างกายอันเทอะทะของเขาเลยแม้แต่น้อย กำปั้นเหล็กซัดเข้าใส่นางพร้อมกับกระแสลม…
เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นต้าส่งปรี่เข้ามาหา ดวงตาคู่งามของนางก็ค่อยๆ หรี่ลงทีละน้อย แต่ท่าทางของนางนั้นยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง นางทำเพียงแค่ยืนสบายๆ อยู่ตรงนั้น
ตอนที่หมัดขนาดมหึมาของต้าสงเข้าประชิดตัวเฮ่อเหลียนเวยเวย นางก็ทำเพียงแค่ก้มตัวหลบ แล้วตามด้วยการเสยหมัดเข้าที่คางของต้าสงเท่านั้น
ต้าสงประหลาดใจที่ทายาทผู้ไม่ได้ความคนนี้สามารถหลบหนีจากหมัดของตนได้ แต่ก่อนที่เขาจะทันกลับมาตั้งสติได้ เขาก็พลันสัมผัสถึงอันตรายที่มาจากด้านล่างของศีรษะได้เสียก่อน เขาเบี่ยงศีรษะไปอีกด้านอย่างรวดเร็ว เพื่อหลบหมัดของเฮ่อเหลียนเวยเวยที่พุ่งเข้ามาหาได้อย่างหวุดหวิด
เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นว่าหมัดของตัวเองพลาดเป้าไป นางก็ย่อตัวลงแล้วใช้มือข้างหนึ่งยันพื้นเอาไว้ จากนั้นจึงฟาดเท้าขวาเข้าใส่ใบหน้าของต้าสงอย่างจัง
ต้าสงที่เพิ่งหลบหมัดของเฮ่อเหลียนเวยเวยไปได้หมาดๆ เมื่อครู่นี้ยังคงตกใจไม่หาย แต่ยังไม่ทันจะตั้งสติได้ เขาก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่แล่นปราดมาจากกลางกระหม่อม เพราะเฮ่อเหลียนเวยเวยเตะเขาเข้าอย่างแรง
ต้าสงเซถอยหลังไปจากการโจมตีนั้น ในขณะที่เขากำลังมึนงงอยู่นั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็กระโจนขึ้นแล้วคว้าศีรษะของเขาเอาไว้ พร้อมกับใช้ข้อศอกถองใส่เขาอย่างไร้ซึ่งความปรานี
ตึง!
ต้าสงผู้ที่เคยเต็มไปด้วยความมั่นใจในฝีมือตัวเอง ล้มลงไปกองกับพื้นด้วยฝีมือของเฮ่อเหลียนเวยเวย ในหูของเขามีเสียงดังวิ้ง จากนั้นเขาก็หมดสติไปครู่หนึ่ง
ทหารทุกนายล้วนแต่อยู่ในอาการตกตะลึงเมื่อเห็นต้าสงนอนนิ่งอยู่บนพื้นกับตาตัวเอง สีหน้าเหลือเชื่อค่อยๆ ฉายขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา
ต้าสงสะบัดศีรษะสองครั้ง เขาอยากจะลุกขึ้นยืนแล้วสู้ต่อ!
ในตอนนั้นเอง ชื่อเหยียนในชุดเครื่องแบบทหารถูกระเบียบเดินตรงเข้ามา ผมสีดำยาวถึงเอวของเขาปลิวไปตามสายลม ในตอนที่เขายื่นมือออกไปคว้ามือของต้าสงเอาไว้ ใบหน้าเย็นชานั้นก็ยังคงปราศจากซึ่งอารมณ์ใดๆ น้ำเสียงของเขาสงบเยือกเย็น แต่ก็ทรงอำนาจ ”ถ้ายังสู้ต่อเจ้าจะแพ้”
“ใช่ว่าจะเป็นเช่นนั้นเสียเมื่อไหร่ ข้าใช้แรงไปแค่หนึ่งในห้าที่ข้ามีเท่านั้น!” ต้าสงแผดเสียงขึ้นอย่างแค้นเคือง ”ข้าไม่ได้เอาจริงเพราะเห็นว่านางเป็นผู้หญิงต่างหาก!”
ชื่อเหยียนปรายตามองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยสายตาเฉยเมย แล้วพูดขึ้นอีกครั้งว่า ”เจ้ารู้เพียงแค่ว่าเจ้าใช้แรงไปแค่หนึ่งในห้าจากพละกำลังทั้งหมดที่เจ้ามี แต่เจ้าไม่รู้หรือว่านางสวมปลอกแขนถ่วงน้ำหนักเอาไว้ทั้งที่ข้อมือและข้อเท้า”
“ปลอกแขนถ่วงน้ำหนักหรือ” ต้าสงไม่เชื่อ เขากวาดสายตามองเฮ่อเหลียนเวยเวยตั้งแต่หัวจรดเท้า และถึงกับชะงักกับสิ่งที่ตนค้นพบ นางสวมปลอกแขนถ่วงน้ำหนักอยู่จริงๆ หรือ ผู้หญิงคนนี้สวมปลอกแขนถ่วงน้ำหนักเอาไว้ถึงสามชิ้นระหว่างที่ประมือกับเขาอย่างนั้นหรือ! แต่… ความเร็วของนางนั้นกลับรวดเร็วราวกับฟ้าแลบประหนึ่งว่านางไม่ได้สวมปลอกแขนถ่วงน้ำหนักเอาไว้เลยแม้แต่ชิ้นเดียว!
เสียงของชื่อเหยียนเย็นชา แต่กลับดังชัดเจนเป็นอย่างยิ่งในค่ำคืนอันเงียบสงัด ”ไม่ใช่แค่นั้น นางยังไม่ทันได้ใช้พลังปราณเลยด้วยซ้ำ”
ใบหน้าของต้าสงแข็งค้างไปทั้งหน้าตอนที่เขาได้ยินเรื่องนี้
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้พยายามที่จะปิดบังพลังปราณที่นางฝึกฝนเอาไว้ ริมฝีปากบางของนางกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มระหว่างที่แบมือออก แขนเสื้อจากชุดของนางสะบัดอย่างแรง สายลมที่ก่อตัวอยู่บริเวณด้านหลังนั้นราวกับตกอยู่ในการควบคุมของนาง จากนั้นกระแสลมขนาดใหญ่ก็รวมตัวกัน และโอบรอบตัวนางเอาไว้ประหนึ่งว่านางเป็นราชินีที่สามารถควบคุมสายลมทั่วทั้งแผ่นดินได้ ดวงตาที่หรี่ลงครึ่งหนึ่งของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ในขณะเดียวกันใบหน้าดำทะมึนนั้นกลับดูน่าหลงใหลอย่างน่าประหลาดใจ
“นี่มัน เด็กสาวคนนี้มีพลังปราณแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้อย่างไร!”
ไม่เพียงแค่บรรดาทหารที่ยืนอยู่รอบๆ แม้กระทั่งผู้อาวุโสเฮยเองก็ยังตกใจ และรู้สึกตื่นเต้นกับภาพนี้
ดูเหมือนว่าการชุบชีวิตให้กับกองกำลังลับและการทวงคืนคฤหาสน์ผู้พิทักษ์กลับมานั้นคงอยู่อีกไม่ไกลเกินเอื้อม
ต้าสงยืนอยู่ใกล้กับเฮ่อเหลียนเวยเวยที่สุด ดังนั้นเขาจึงสามารถเข้าใจทุกสิ่งได้อย่างแจ่มแจ้ง ถ้านางใช้พลังปราณตั้งแต่เริ่มประลองละก็ อย่าว่าแต่จะเอาชนะนางเลย เขาคงไม่มีแม้กระทั่งโอกาสที่จะโจมตีนางเลยด้วยซ้ำ
หลังจากความชุลมุนวุ่นวายนั้นจบลง ทั่วทั้งลานก็ตกอยู่ในความเงียบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองบรรดาทหารที่อยู่ตรงหน้านางด้วยสายตาสงบ ”ข้ารู้ว่าเจ้าผิดหวังกับสิ่งที่ข้าเคยทำลงไปในอดีต แต่ทุกอย่างนั้นล้วนแต่ไม่ใช่เจตนาที่แท้จริงของข้า ข้าถูกใส่ร้ายป้ายสี เส้นลมปราณของข้าถูกสะกดเอาไว้ และข้าก็สูญเสียพลังปราณของตัวเองไป ข้าอ่อนต่อโลกและคิดว่าข้าได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี แต่ทั้งหมดนั้นก็ล้วนแต่เป็นภาพมายาที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อสังหารข้าทั้งสิ้น ตอนนี้ข้าเปลี่ยนไปแล้ว ข้าอาจจะไม่ใช่คนที่ใจเย็นที่สุด แต่ข้าก็ไม่ใช่คนไร้หัวคิด สิ่งเดียวที่ข้าต้องการในเวลานี้คือการเอาทุกอย่างที่เป็นของพวกเราตระกูลเฮ่อเหลียนกลับคืนมา รวมถึงความเชื่อใจจากเจ้าเช่นกัน! ข้าจะไม่เรียกร้องขอความจงรักภักดีมิเสื่อมคลายอย่างที่เจ้ามีให้กับท่านตาของข้า แต่ข้าสัญญาว่าหลังจากนี้แม้จะผ่านไปร้อยปี แต่ผู้คนก็จะต้องจดจำกองกำลังลับไร้พ่ายของพวกเราได้อย่างแน่นอน!”
เสียงของนางนั้นแผ่วเบา แต่ข้อความที่อยู่ในนั้นกลับดังฟังชัดสำหรับทุกคน ความจริงใจนั้นซึมลึกเข้าไปในเส้นเลือดของพวกเขา
หลังจากได้ฟังคำอธิบายของนาง และได้เห็นถึงความสามารถของนางแล้ว ความปรารถนาอันร้อนแรงก็พลันระเบิดขึ้นในอกของพวกเขา
ตอนนั้นนั่นเองที่พวกเขาตระหนักได้ว่า พวกเขารอคอยการมาเยือนของลูกหลานที่แท้จริงของตระกูลเฮ่อเหลียนอยู่…
ช่วงเวลาที่พวกเขารอคอยมาโดยตลอดมาถึงแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย!
ทหารเหล่านั้นเงยหน้าขึ้นมองร่างเพรียวบางที่ยืนอยู่ใต้แสงจันทร์ นางไม่ได้สูงมากนัก แต่ท่าทางอันสงบเยือกเย็นของนางกลับสามารถมอบความกล้าหาญราวกับสามารถสยบโลกทั้งใบให้กับพวกเขาได้
ต้าสงอาจจะเป็นคนแรกที่เสียมารยาทต่อเฮ่อเหลียนเวยเวย แต่ในเวลานี้เขาคุกเข่าลงกับพื้นทันทีโดยไม่ลังเล แล้วประกาศก้องว่า ”ข้าซุนต้าสง จะขอติดตามรับใช้นายหญิงน้อยจนกว่าชีวิตจะหาไม่ขอรับ!”
สิ้นคำพูดของเขา บรรดาทหารเหล่านั้นต่างก็ระเบิดเสียงเฮขึ้นด้วยความฮึกเหิมราวกับประกายไฟ เสียงตะโกนของพวกเขาก้องกังวานไปทั่วทั้งหุบเขา ”พวกข้าจะติดตามรับใช้นายหญิงน้อยจนกว่าชีวิตของพวกข้าจะหาไม่เช่นกันขอรับ!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยสูดลมหายใจเข้าลึก พลางมองภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า นางรู้สึกได้กระทั่งรสสัมผัสอันเย็นเฉียบจากอากาศโดยรอบ และแล้วในที่สุดนางก็ได้สิ่งจำเป็นสำหรับการทวงคืนคฤหาสน์ผู้พิทักษ์มาไว้ในมือ!