องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 363 ใช้มือช่วยองค์ชาย
เฮ่อเหลียนเวยเวยหน้าแดงจนสั่นไปทั้งตัว เขาหมายความว่าอย่างไรกันที่บอกว่านางจงใจ ปกติแล้วชิงจ้านจะเป็นคนเอาน้ำเข้ามาช่วยนางล้างตัว แล้วนางจะไปรู้ได้อย่างไรว่าคนที่ผลักประตูเข้ามาจะเป็นเขาแทน
“ข้าอยากทำเช่นนี้มาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว” ลมหายใจของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยรินรดริมฝีปากของนาง เมื่ออาการชาหนึบนั้นเลือนหายไป เขาก็ส่งเสียงแหบพร่าออกมาเบาๆ ว่า “เลือกมา ว่าจะให้ข้าจัดการเจ้า หรือจะใช้มือช่วยข้า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยกัดริมฝีปากบางของตัวเอง “องค์ชาย มีคนเคยบอกท่านหรือเปล่าว่าท่านช่างเป็นคนที่ไร้เหตุผลเสียเหลือเกิน”
“ข้าจะเป็นคนไร้เหตุผลได้อย่างไร ข้าก็ให้โอกาสเจ้าได้เลือกแล้วอย่างไร” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจุมพิตใบหูของนางอีกครั้ง
เฮ่อเหลียนเวยเวยตัดสินใจว่าการใช้มือตัวเองน่าจะดีกว่าการต้องถูกเขาทรมานตลอดทั้งคืน นางจึงเลิกขัดขืนเขา และใช้มือของตนสัมผัสกับส่วนนั้นของเขาขณะที่เขาขยับกายเข้ามาหาช้าบ้างเร็วบ้าง บางครั้งการเคลื่อนไหวนั้นก็อ่อนโยน แต่บางครั้งก็รุนแรง แม้จะมีกางเกงขายาวของเขากั้นเอาไว้ แต่นางก็สามารถสัมผัสถึงความแข็งขืนนั้นได้อย่างชัดเจน มือข้างซ้ายของนางแทบลุกเป็นไฟจากสัมผัสอันร้อนแรงนั้น
แต่เจ้าสิ่งนั้นก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงแต่อย่างใด ซ้ำยังร้อนขึ้นอีกด้วย
เฮ่อเหลียนเวยเวยตวัดสายตามองเขา นางเริ่มรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย “ท่านพอได้แล้ว”
“หืม” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหายใจอย่างหนักหน่วง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยสีหน้ายั่วยวนอันยากจะควบคุม หน้าผากของเขาปกคลุมด้วยเม็ดเหงื่อระยิบระยับ ใบหน้าของเขาขึ้นสีแดงระเรื่อเล็กน้อย หางตาเรียวรีของเขาเผยความโหดเหี้ยมออกมา
ภาพนี้ดูไม่เหมือนตัวเขาในเวลาปกติเอาเสียเลย
เฮ่อเหลียนเวยเวยเผลอกระตุกนิ้วโดยไม่รู้ตัวขณะมองไปยังใบหน้าหล่อเหลาอันยากเกินต้านทานนั้น
การตอบสนองของเขาเป็นไปอย่างรวดเร็ว เขาจ้องเข้าไปในดวงตาของนาง เหงื่อที่อยู่บนหน้าผากไหลไปตามแก้มของเขาก่อนจะหยดลง ทันใดนั้นเขาก็จับนางพลิกตัว แล้วกระแทกนางเข้ากับกระจกสัมฤทธิ์บานนั้น
ตึง!
“อย่าขยับ” เฮ่อเหลียนเวยเวยถูกกักขังเอาไว้ภายใต้ร่างของเขาโดยมีกระจกสัมฤทธิ์อยู่ด้านหลัง ตอนที่เขากัดใบหูของนางนั้นค่อนข้างเจ็บทีเดียว
เฮ่อเหลียนเวยเวยเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยสายตายั่วเย้า แล้วหัวเราะออกมาเสียงเบา “ท่านอยากให้ข้าช่วยมิใช่หรือ ข้านึกไม่ถึงเลยว่าองค์ชายจะมีเวลาเช่นนี้กับเขาเหมือนกัน”
“เจ้าคงภูมิใจกับตัวเองมากล่ะสิ หือ” รอยยิ้มชั่วร้ายวาบขึ้นบนใบหน้าอันสูงส่งและเย็นชาของเขา เขาก้มหน้าลงมองนาง แค่เขาขยับนิ้วเพียงนิ้วเดียวก็สามารถทำให้ใบหน้าของนางขึ้นสีแดงก่ำได้แล้ว
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดไม่ถึงว่าเขาจะยังสามารถคว้ามือของนางไปรูดตรงส่วนนั้นต่อได้ สัมผัสที่ทำให้หายใจไม่ทั่วท้องนั้นทำให้นางต้องหันศีรษะไปอีกด้านเพื่อที่นางจะได้ไม่ต้องเห็นใบหน้าอันหล่อเหลาที่ชวนให้ขาของนางหมดเรี่ยวแรงนั่นอีก
แต่เขาไม่คิดที่จะปล่อยนางไปง่ายๆ เขายื่นมือไปจับใบหน้าของนางให้หันกลับมา ดวงตาของเขาจมลง “อะไร เจ้าไม่อยากเห็นหรือว่าข้าเสพสุขจากมือของเจ้าอย่างไร”
“ท่าน ท่านนี่มัน รีบทำเข้าเถอะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยกัดริมฝีปากบางของตน ในเวลาเดียวกันนั้นนางก็สามารถทำได้เพียงแค่มองเขาพ่นลมหายใจของตนเข้ามาปะทะดวงตาของนางเท่านั้น อุณหภูมิทั้งร่างของนางพุ่งสูงขึ้นมากเสียจนมันรู้สึกร้อนอย่างน่าเหลือเชื่อ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหลุบตาลง เขาคิดว่านางจะเป็นคนแรกที่สูญเสียการควบคุม แต่มันกลับกลายเป็นเขาไปเสียได้
การเคลื่อนไหวอันรวดเร็วและความรู้สึกสุขล้นที่สะเทือนไปถึงสมองทำให้ตอนที่เขากำลังพยายามปรับลมหายใจให้สงบลงนั้น เขานึกอยากจะก้มหน้าลงไปกัดเหยื่อที่อยู่ในอ้อมกอดตัวเองยิ่งนัก
มือของเฮ่อเหลียนเวยเวยเปรอะไปทั้งมือ ทันทีที่อาคมตรึงร่างคลายออก นางก็ยืนขึ้นในทันที แล้วรีบหาอ่างไม้มาล้างมือตัวเองอย่างรวดเร็ว แต่อาการเห่อร้อนที่แก้มทั้งสองข้างของนางก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย
เมื่อเห็นเงาของตัวเองในกระจกสัมฤทธิ์บานนั้น นางก็เห็นว่าชุดนอนของตนนั้นอยู่ในสภาพยับยู่ยี่
แต่เขากลับยังดูเหมือนชายหนุ่มผู้อ่อนน้อมถ่อมตน เขาเพียงแค่จัดการตัวเองเล็กน้อยก็สามารถกลับคืนสู่สภาพเสื้อผ้าเรียบกริบและดูสูงศักดิ์ได้ดังเดิม
เฮ่อเหลียนเวยเวยสูดลมหายใจเข้าลึกด้วยเพราะนางรู้สึกราวกับว่าสัมผัสนั้นยังคงติดอยู่ที่ปลายนิ้ว ในตอนแรกนั้นนางตั้งใจว่าจะมาซื้อเสื้อคอสูงเพื่อซ่อนรอยจูบบนคอ แต่ตอนนี้กลายเป็นว่ารอยนั้นกลับยิ่งเห็นชัดขึ้นเสียอีก
นางถึงกับนึกสงสัยขึ้นมาว่าองค์ชายจงใจกัดต้นคอของนางเลยด้วยซ้ำ
แต่คนธรรมดาย่อมไม่มีทางตามความคิดของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทัน เมื่อเห็นนางล้างมือ เขาก็กระตุกยิ้ม แล้วยกนิ้วขึ้นเล็กน้อย “ลองนี่ดูสิ”
หากเทียบกับชุดนอนตัวนั้นแล้ว ชุดที่เขาถืออยู่ในเวลานี้ดูปกติกว่ามาก อีกทั้งยังเป็นสินค้าที่มีคุณภาพทีเดียว
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะแห้งๆ “ฮ่าๆ ในที่สุดท่านก็จำได้แล้วล่ะสิว่าท่านมาที่นี่เพื่อช่วยข้าเลือกเสื้อผ้า!”
หลังจากรับเสื้อคลุมตัวนั้นมาไว้ในมือ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ขมวดคิ้วเข้าหากันทันทีที่เห็น “คอเสื้อยังสั้นไป”
“เจ้าจะเอาเสื้อคอสูงไปทำอะไร ใส่แล้วไม่ร้อนหรือ” ใบหน้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยนอันเห็นได้ยากขึ้น ระหว่างนั้นเขาก็ใช้แขนซ้ายโอบไหล่ของเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างนุ่มนวลไปด้วย
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ชินกับการโอบของเขา ทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น นางก็ค่อยๆ หันไปหาเขา แล้วจ้องหน้าเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดพร้อมกับตอบว่า “เพราะตำแหน่งที่ท่านกัดมันเห็นชัดเกินไปน่ะสิ เมื่อวานข้าไม่เข้าใจเอาเสียเลยว่าทำไมถึงมีคนสัมผัสคอข้า แต่ข้าก็มารู้สาเหตุเอาทีหลัง”
เมื่อได้ยินเรื่องนี้ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ขมวดคิ้ว สายตาคมกริบอันเย็นชาฉายขึ้นในดวงตาสีดำของเขา ทันใดนั้นบรรยากาศอันน่าเกรงขามยากเกินจะบรรยายก็พลันปกคลุมไปทั่วตัวเขา
มีใครแตะต้องตัวนางหรือ
“เมื่อวานนี้หลังกลับจากงานประมูลแล้วเจ้าไปที่ไหนมา” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับไม่ใส่ใจ
“ข้ามัวแต่ยุ่งๆ ทำธุระส่วนตัวอยู่” เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบพร้อมกับรับเสื้อคลุมมาอย่างไม่ใส่ใจมากนัก จากนั้นนางก็เดินเข้าไปที่ห้องซึ่งอยู่ด้านใน
อันที่จริงนั้นเรื่องนี้น่าจะแก้ไขได้ด้วยการใช้สำลีทำแผลมาปิดทับรอยเอาไว้
ทำไมนางจึงไม่เคยนึกถึงวิธีนี้มาก่อนนะ
ถ้าไม่มีปลาสเตอร์ปิดแผล เช่นนั้นนางก็สามารถใช้แผ่นสำลีสำหรับทำแผลแทนได้นี่นา…
ตรงกันข้ามกับเฮ่อเหลียนเวยเวยที่กำลังอารมณ์ดี ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั้นกลับเย็นชาจนสัมผัสได้ เขาคาดไม่ถึงเลยว่าหลังจากที่เขาทำเครื่องหมายแสดงความเป็นเจ้าของนางไปแล้ว จะยังมีคนโง่เขลาเบาปัญญาคนไหนกล้าเข้าใกล้นางอยู่อีก
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหรี่ตาพร้อมหมุนแหวนสีดำบนนิ้วก้อยไปด้วย ทันใดนั้นนิ้วของเขาก็กระตุก รอยยิ้มของเขาพลันหายวับไป
เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง อารมณ์ทั้งหมดนั้นก็ถูกซุกซ่อนเอาไว้โดยสมบูรณ์แบบ
เขาเดินเข้าไปในห้องที่ด้านหลัง และเห็นว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังใช้แผ่นสำลีติดต้นคอของตนอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ความปรารถนาถูกจุดขึ้นมาในใจของเขาอีกครั้ง
ระหว่างที่เขากำลังมองนางอยู่นั้น สิ่งเดียวที่เขานึกออกก็คือร่างของนางในเสื้อคลุมสีขาวที่เปียกปอนไปทั้งตัว และการใช้โซ่ทองคำที่เขาซ่อนเอาไว้ล่ามมือทั้งสองข้างของนางเข้าหากัน… และทำให้นางครางออกมาด้วยเสียงที่เขาอยากฟังเท่านั้น…
แต่เขาคงต้องจัดการกับแมลงวันพวกนั้นก่อนเป็นอันดับแรก
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเดินออกไป สายลมสดชื่นสายหนึ่งพัดโชยมา เผยให้เห็นดวงตาเรียวยาวของเขา ตาคู่นั้นน่ากลัวเสียจนทำให้เงาทมิฬที่มาหาเขาถึงกับตกใจ
โอ้ สวรรค์ คนพวกนั้นทำให้ฝ่าบาททรงกริ้วโดยไม่รู้ตัวอีกแล้วหรือ
เงาทมิฬคุกเข่าลงกับพื้นด้วยความหวาดหวั่น และไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นไปมองสีหน้าของผู้เป็นนายเลยแม้แต่นิดเดียว
น้ำเสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงราบเรียบ แต่มันกลับหนาวเย็นไปถึงกระดูก “ไปสืบมาว่าเมื่อคืนวานพระชายาไปพบใครมา”
“พ่ะย่ะค่ะ” เงาทมิฬก้มหน้า แล้วออกไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นนั่นเองสายตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจึงได้ดูนุ่มนวลขึ้น เขายืนอยู่ข้างหน้าต่าง สายลมเอื่อยๆ พัดมาสัมผัสกับใบหน้าของเขา ดอกไม้สีขาวหล่นลงมาบนนิ้วของเขา แต่แล้วก็ถูกบดขยี้จนกลายเป็นผุยผงด้วยมือของเขาอย่างช้าๆ …
นั่นคือภาพที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นหลังจากเปลี่ยนเสื้อกลับมา
ตอนนั้นเองที่เจ้าของร้านเดินกลับมา ที่ด้านหลังของนางมีสาวใช้สองคนเดินตามมาด้วย ทั้งสองถือชาและขนมทานเล่นเอาไว้ในมือ
ดูเหมือนเจ้าของร้านจะถือถุงอันงดงามใบหนึ่งมาด้วย
“องค์ชาย นี่คือสิ่งที่ท่านต้องการเพคะ”