องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 37 มีชื่อเสียงจากการประลองครั้งเดียว
หากตั้งใจมองดูให้ดี พวกเขาจะเห็นว่าสายลมเหล่านี้ล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของนาง!
แต่ไม่มีใครสังเกตเห็นความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ นั้นได้ นอกจากยอดฝีมือที่มีวิชาสูงส่งอย่างท่านปรมาจารย์
ไม่สิ อาจจะยังมีอยู่อีกคน
เพียงแต่เขาไม่ได้แสดงสีหน้าออกมาชัดเจนเหมือนท่านปรมาจารย์ เขาทำเพียงหรี่ดวงตาอันลึกล้ำนั้นลง
ส่วนคนอื่นๆ ต่างก็สนใจแค่ว่าลูกแก้วจะส่องแสงออกมาเป็นสีอะไร และจะสว่างเจิดจ้าขนาดไหนเท่านั้น
แต่ทว่าก็ไม่มีแสงใดสว่างขึ้นมาจากลูกแก้ว แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ด้านในของมันกลับปรากฏหมอกจางๆ กลุ่มหนึ่งลอยขึ้นมาแทน
“แม่นาง ข้านึกไม่ถึงว่าเจ้าจะสามารถควบคุมลมได้! สายลมนั้นนับว่าเป็นคุณสมบัติที่ควบคุมยากที่สุดเชียวนะ!”
น้ำเสียงพึงพอใจแต่ก็แฝงไปด้วยความประหลาดใจของหยวนหมิงดังอยู่ข้างหูของนาง จากนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยจึงชักมือกลับ ลูกแก้วนั้นก็กลับไปใสสะอาดไร้มลทินเช่นเดิม
เฮ่อเหลียนเหมยที่ยืนอยู่ข้างๆ หัวเราะออกมาอย่างดูถูก “ข้าหลงคิดว่าเสียงเมื่อครู่จะทำให้เกิดปาฏิหาริย์ขึ้นมาเสียอีก แต่สุดท้ายก็ไม่มีแม้แต่แสงออกมาด้วยซ้ำ!”
ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นผลลัพธ์ที่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ตั้งตารออยู่ แต่ต่อหน้าคนอื่นนั้น นางกลับมองเฮ่อเหลียนเหมยด้วยสายตาตำหนิ “น้องสาม เจ้าพูดจาไร้สาระอีกแล้ว ท่านพี่พยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว เจ้าอย่าได้พูดอะไรอีกเลย”
“พี่รองพูดถูก การทำให้ลูกแก้วเปล่งแสงคงเป็นเรื่องยากจนเกินไปสำหรับพี่ใหญ่จริงๆ เจ้าค่ะ1”
พี่น้องสองคน คนหนึ่งแสดงเป็นตัวละครแต่งหน้าแดง ส่วนอีกคนแสดงเป็นตัวละครแต่งหน้าขาว [1] ผลัดกันเยาะเย้ยเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างละเอียด บรรดาศิษย์ใหม่ด้านล่างของเวทีเองก็พลอยหัวเราะผสมโรงไปด้วย เสียงของพวกเขานั้นดังพอที่คนทั่วทั้งสำนักสามารถได้ยินอย่างชัดเจน
ดวงตาลูกท้อของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองขึ้นไปบนเวทีอย่างเย็นชา ริมฝีปากของเขาโค้งขึ้นอย่างงดงาม “ก็แค่ลูกแก้วทดสอบพลังเท่านั้น น่าแปลกใจยิ่งนักที่ทำให้คนพวกนี้เชื่อมันได้อย่างไร้ข้อกังขา” คำสบประมาทที่ออกมาจากริมฝีปากของเขาดูมีนัยยะแอบแฝง มันฟังดูเหมือนเยาะเย้ย แต่ก็เหมือนกับว่ากำลังพูดเล่นอยู่ในที
เมื่อเห็นส่วนโค้งใบหน้าด้านข้างของผู้เป็นนาย เงาทมิฬก็อดตัวสั่นไม่ได้ ไม่รู้ว่าใครจะเป็นผู้โชคร้ายอีก บางทีอาจจะมีจำนวนมากเลยทีเดียว…
ยิ่งท่านปรมาจารย์ที่นั่งอยู่บนเวทีได้ยินเสียงนั้นมากเท่าไหร่ สีหน้าของเขาก็ยิ่งดูไม่น่ามองมากขึ้นเท่านั้น เขามองเล่ห์เหลี่ยมของสองพี่น้องออกในทันที เกิดความหงุดหงิดขึ้นในใจ
กล้าดีอย่างไรถึงมารังแกลูกศิษย์ของเขา สองคนนั้นเห็นเขาตายไปแล้วหรือ?!
ลูกศิษย์ผู้ความของเขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก นางฉลาดหลักแหลม หาเงินก็เป็น นางรู้กระทั่งวิธีการสร้างอาวุธและนั่นทำให้เขาดีใจมาก เขายังไม่ทันได้สอนอะไรให้กับนางเลยสักอย่าง แต่นางกลับไม่สนใจเรื่องนั้น และปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง
มันก็แค่ลูกแก้วไม่ส่องแสงมิใช่หรือ มีอะไรน่าตกใจนักหนา!
อีกอย่าง คนพวกนี้ยังไม่เข้าใจเลยด้วยซ้ำว่าความสามารถที่สวรรค์ประทานมาให้กับลูกศิษย์ของเขานั้นช่างน่าทึ่งเพียงใด!
ท่านปรมาจารย์โกรธจนตาแทบจะถลนออกมานอกเบ้า เคราสีขาวของเขาม้วนขึ้น กำลังจะก้าวไปข้างหน้า…
แต่แล้วเขาก็เห็นเฮ่อเหลียนเวยเวยยกมือขึ้นพับแขนเสื้อของตน แขนเสื้อกว้างๆ พูกม้วนทบกันจนตึง ดูแล้วไม่น่ามีอะไรสามารถผ่านเข้าไปได้ ร่างอันชวนมองปรากฏขึ้นข้างลูกแก้ว ริมฝีปากของนางยกขึ้นอย่างช้าๆ “การทดสอบจบแล้ว ถือโอกาสที่สายลมยังไม่หยุดพัดนี้มาสู้กันสักตั้งดีไหม”
“สู้หรือ หา นี่ข้าได้ยินว่าคนไร้ค่าเช่นเจ้าต้องการสู้กับข้าหรือ” เฮ่อเหลียนเหมยแคะหูตัวเอง แล้วหัวเราะเยาะเย้ยออกมาดังลั่น “พี่ใหญ่ ข้าขอแนะนำให้ท่านรีบลงจากเวทีให้เร็วที่สุดดีกว่า ท่านจะได้ไม่ถูกข้าอัดจนต้องลงไปคุกเข่าอ้อนวอนขอความเมตตาอยู่บนพื้น!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้แสดงความหงุดหงิดใดๆ ออกมาหลังจากได้ยินคำพูดนั้น แต่กลับเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย แล้วเอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย มุมปากของนางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย “เช่นนั้นก็มาดูกันสิว่าเมื่อถึงตอนจบ ใครกันแน่ที่จะลงไปคุกเข่าขอความเมตตา”
เสียงของเฮ่อเหลียนเวยเวยนั้นค่อนข้างชัดเจนทีเดียว แต่คำพูดนั้นกลับเรียกเสียงหัวเราะเย้ยหยันให้ดังก้องไปทั่วทั้งสำนัก
“ในเมื่อพี่ใหญ่ใจร้อนนัก เช่นนั้นน้องสาวเช่นข้าจะทำตามความต้องการของท่านเอง!”
ทำตามความต้องการที่อยากจะลงนรกของเจ้าอย่างไรล่ะ! เฮ่อเหลียนเหมยหรี่ตาลง ทั่วร่างของนางมีแสงเรืองรองจากชั้นหมอกที่ดูเหมือนน้ำปกคลุมเอาไว้
เมื่อได้เห็นภาพนี้ ก็ยิ่งไม่มีใครเชื่อว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะสามารถเอาชนะนางได้
เพราะทุกคนรู้ว่านี่เป็นการประลองยุทธ์นี้ไม่น่าตื่นเต้นเลยแม้แต่น้อย ต่อให้เฮ่อเหลียนเวยเวยมีพลังปราณ แต่ด้วยความสามารถในปัจจุบันของนาง มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ธาตุน้ำที่มีระดับพลังสูงเช่นนี้ได้ ขนาดลูกแก้วนางก็ยังไม่สามารถทำให้เปล่งแสงได้เลยด้วยซ้ำ แต่นางกลับกล้าท้าทายความสามารถของตนด้วยการเสนอให้สู้กันหรือ
บรรยากาศรอชมการแสดงภายในสำนักเริ่มจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนต่างก็ตั้งตารอดูว่านังคนไร้ค่าผู้นี้จะเจ็บตัวขนาดไหน
แต่เฮ่อเหลียนเหมยกลับโหดร้ายยิ่งกว่านั้น นางหยิบแส้ยาวออกมาในทันที เมื่อปลายแส้ฟาดลงบนพื้น มันก็ส่งเสียงดังสนั่นจนทำให้ทุกคนรู้สึกเจ็บแสบไปด้วย
“ข้าจะใช้แส้เส้นนี้ผ่าท่านเป็นสองซีกแทนของขวัญก็แล้วกัน!”
พอพูดจบ เฮ่อเหลียนเหมยก็สะบัดข้อมือขึ้น แส้เส้นนั้นส่งเสียงแหวกอากาศ ก่อนจะพุ่งไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยความเร็วชนิดที่ไม่มีใครสามารถหลบพ้นได้ ทุกคนต่างก็คิดในใจว่าตอนที่แส้เส้นถูกฟาดลงมา แม้ใบหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยจะรอดไปได้ แต่มันจะต้องทิ้งบาดแผลฉกรรจ์เอาไว้ให้นางแน่นอน
แต่พวกเขากลับคาดไม่ถึงเลยว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะใช้มือข้างหนึ่งยันพื้นด้วยความว่องไว แล้วตีลังกาขึ้นไปกลางอากาศอย่างสวยงาม จากนั้นก็ใช้เท้าของนางเกี่ยวแส้ยาวเส้นนั้นเอาไว้!
เฮ่อเหลียนเหมยหน้าเปลี่ยนสี นางพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา แล้วดึงแส้ยาวเส้นนั้นกลับไปอย่างรวดเร็ว “มีลูกไม้เยอะนักนะ แต่เลิกเล่นกันแค่นี้ล่ะ ไปตายซะ!”
เพี๊ยะ!
แส้เส้นยาวตวัดขึ้นไปในอากาศ สายลมอันเกรี้ยวกราดก่อตัวขึ้น ไอน้ำจำนวนนับไม่ถ้วนโหมกระหน่ำอยู่ในสายลม และมีเพียงเป้าหมายเดียวเท่านั้น นั่นก็คือเฮ่อเหลียนเวยเวย!
เมื่อเห็นภาพนี้ ไม่ใช่แค่ท่านปรมาจารย์เท่านั้นที่ขมวดคิ้วเข้าหากันแม้แต่เจ้าสำนักอย่างตู๋ซูเฟิงที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ไกลๆ ก็ยังส่ายศีรษะอย่างไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
โดยทั่วไปแล้วจะเป็นที่รู้กันว่ายามที่เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอกว่าตนหลายเท่านั้น ไม่ควรรีบเร่งที่จะเอาชนะพวกเขา
แต่ตอนนี้เฮ่อเหลียนเหมยกลับใช้ท่าไม้ตายของตัวเองเพื่อจัดการกับเฮ่อเหลียนเวยเวย
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เรื่องคงไม่จบแค่เฮ่อเหลียนเวยเวยพ่ายแพ้ในการประลองครั้งนี้ แต่อาจถึงขั้นที่นางต้องเสียชีวิตเลยก็ได้!
เฮ่อเหลียนเหมยมองเฮ่อเหลียนเวยเวยที่ถูกหมอกไอน้ำล้อมเอาไว้โดยไร้ทางสู้ด้วยสายตาเยาะเย้ย นางรู้ว่าในมือของนังคนไร้ค่าผู้นี้ไม่มีพลังที่จะใช้ตอบโต้นางได้เลยแม้แต่น้อย ตอนนี้นางแค่ออกแรงเพียงนิดเดียว อีกฝ่ายก็ถึงตายได้ทันที!
เดี๋ยว เดี๋ยวสิ!
นังคนชั้นต่ำนั่นกำลังยิ้มอยู่!
กระทั่งในเวลานี้ นางก็ยังสามารถยิ้มออกมาได้!
“ในที่สุดสายลมก็ก่อตัวเสียที…” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มอยู่จริงๆ มือข้างหนึ่งของนางล้วงกระเป๋า ส่วนมืออีกข้างปัดป่ายความว่างเปล่าในอากาศพลางสัมผัสถึงการเคลื่อนไหวของสายลม ริมฝีปากบางของนางกระตุกขึ้นเล็กน้อย ดูงดงามและชั่วร้ายในเวลาเดียวกัน
“สายลมก่อตัวหรือ สายลมก่อตัวอะไรกัน นังขยะนั่นกลัวจนเสียสติไปแล้วหรือไง” บรรดาศิษย์ใหม่ย่อมไม่เข้าใจในสิ่งที่เฮ่อเหลียนเวยเวยพูด ดังนั้นพวกเขาจึงระเบิดหัวเราะออกมาอีกครั้ง
แต่ในตอนนั้นเอง!
เฮ่อเหลียนเวยเวยก้มตัวลงสัมผัสพื้นในท่าเตรียมพร้อม ก่อนย่นระยะเข้าไปหาอีกฝ่ายราวกับภูติผี พร้อมกับสายลมอันรุนแรงที่ทำให้ลมหายใจของทุกคนถึงกับหยุดชะงัก!
ก่อนที่เฮ่อเหลียนเหมยจะทันได้ตั้งตัว สัมผัสเย็นเยียบดุจน้ำแข็งก็มาจ่อที่ลำคอของนาง ความเย็นนั้นถึงกับทำให้นางตัวสั่นงันงก และทำให้ใบหน้าของเฮ่อเหลียนเหมยเปลี่ยนสีทันที!
เป็นไปได้อย่างไรกัน
นางไม่รู้สึกถึงพลังปราณที่มาจากร่างของคู่ต่อสู้เลยด้วยซ้ำ!
นังคนไร้ค่านี่ทำลายการป้องกันของนางเข้ามาได้อย่างไร!
เฮ่อเหลียนเหมยไม่อยากเชื่อ ดวงตาของนางเบิกกว้างเมื่อมองเฮ่อเหลียนเวยเวยที่คว้าคอของนางไว้ สีสันบนใบหน้าของนางอันตรธานหายไป ใบหน้าของนางซีดจนกลายเป็นสีขาว!
ครั้งแรกที่นางพ่ายแพ้โดยถูกนังคนไร้ค่าคนนี้จัดการจนสิ้นท่า ทุกสิ่งเกิดขึ้นเพราะนางคาดไม่ถึงว่าขยะชั้นต่ำพรรค์นี้จะกล้าสู้กลับ นอกจากนี้ นางต้องการรักษาภาพลักษณ์ของตนเองในเวลานั้น จึงไม่ได้ใช้พลังปราณ
และครั้งนี้ ก็เป็นเพราะเรื่องเกิดขึ้นเร็วเกินไป ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เร็วเสียจนแม้แต่แขนขาของนางก็เหมือนกับจะแข็งทื่อไปแล้ว…
……………………………………………………………………………………………
[1] คนหนึ่งแสดงเป็นตัวละครแต่งหน้าแดง ส่วนอีกคนแสดงเป็นตัวละครแต่งหน้าขาว มาจากสำนวนจีนว่า “一个唱红脸,一个唱白脸” มีที่มาจากการแสดงงิ้ว อุปมาถึงสองคนที่เล่นบทบาทต่างกัน คนที่แต่งหน้าแดง แสดงบทซื่อตรง ส่วนคนที่แต่งหน้าขาว แสดงบทผู้ร้าย