องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 370 ความโกรธขององค์ชาย
ต้าสงงุนงง แต่เขาก็ประทับใจในความใจกล้าของนายหญิงของตนเป็นอย่างมาก
หลี่เมิ่งไม่เคยเจอเฮ่อเหลียนเวยเวยมาก่อน เขาเพียงแค่เคยได้ยินชื่อของนางตอนอยู่ในเมืองหลวงเท่านั้น
ตอนนี้เมื่อเขาได้เห็นนางกับตาตัวเอง เขาก็ยิ่งมั่นใจว่านางไม่สามารถเทียบชั้นกับลูกพี่ลูกน้องผู้งดงามราวกับนางฟ้าของเขาได้ นางมันก็แค่ผู้หญิงตัวดำ อัปลักษณ์ และเห็นแก่ตัว!
เขามองตรงเข้าไปในตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยความมั่นใจ แล้วเอ่ยว่า “พระชายาสาม ได้โปรดอภัยให้ความไร้มารยาทของกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้รับมอบหมายให้มาตรวจสอบเรื่องนี้ กระหม่อมหวังว่าพระชายาสามจะเข้าใจและไม่เข้ามารบกวนการทำงานของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ อาวุธพวกนี้ล้วนแต่เป็นหลักฐานความผิดของพระชายาสามทั้งสิ้น!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยแค่นหัวเราะอย่างรังเกียจอยู่ในใจเงียบๆ นางดึงเจ้าเจ็ดให้มายืนข้างนาง
เมื่อเห็นว่านางไม่พูด หลี่เมิ่งก็คิดว่านางคงยอมรับในความผิดของตัวเอง ดังนั้นเขาจึงเผยสีหน้าเหยียดหยามออกมา เขาโบกมือเป็นสัญญาณเรียกให้ทหารเข้ามาหา “จับคนที่มีส่วนในการก่อกบฏใส่กุญแจมือให้หมด แล้วพาตัวพวกเขากลับไปที่ศาลาว่าการ!”
“ขอรับ!” ทหารสองนายขานรับพร้อมกับก้าวเท้าออกไป เพื่อจะจับกุมเด็กชายร่างเล็ก
เจ้าเจ็ดสะบัดท่อนไม้ในมือด้วยสีหน้าเย็นชา แต่เขาก็ไม่ได้ตั้งใจเล็งไปที่ใคร
แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะสร้างความหวาดกลัวให้กับทหารทั้งสองนายที่กำลังเดินเข้ามาหาพวกเขา ความเจ็บปวดจากการโจมตีนั้นบีบให้พวกเขาจำต้องล่าถอยกลับไป
เพียงเสี้ยววินาที ใบหน้าของพวกเขาก็ซีดจนไร้สีเลือด
พวกเขาลงไปนอนกองอยู่กับพื้นพร้อมกับบิดตัวด้วยความรวดร้าว หน้าผากของพวกเขาชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็นๆ
“ไปพาคนมาอีก! เจ้าพวกไร้ประโยชน์ แค่เด็กคนเดียวก็จัดการไม่ได้!” หลี่เมิ่งพูดอย่างเดือดดาล เขาปฏิเสธที่จะเชื่อว่าเด็กชายที่เกิดในสลัมจะแข็งแกร่งถึงขนาดล้มทหารของเขาได้ เขาตัดสินใจว่าจะสั่งให้ทหารบุกเข้าโจมตีอีกฝ่ายอย่างโหดเหี้ยมเพื่อทดลองเด็กชาย และทำความเข้าใจกับพละกำลังของอีกฝ่ายให้แน่ชัด
ทหารเหล่านั้นจัดหมวกของตนให้เข้าที่แล้วรีบวิ่งเข้ามาพร้อมกับขานรับว่า “ขอรับ”
“ช้าก่อน” คาดไม่ถึงว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะหัวเราะออกมา แต่เสียงหัวเราะของนางกลับเย็นยะเยือก “ไม่จำเป็นต้องเรียกคนมา พวกเราจะตามพวกเจ้าไปที่ศาลาว่าการ”
ในเวลานั้นคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็รู้สึกกังขา และสงสัยในสิ่งที่พวกเขาได้ยิน
อะไรนะ… พระชายากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
ต้าสงเองก็สับสนไม่ต่างจากคนอื่นๆ เช่นกัน เขาอ้าปากค้าง แล้วมองผู้เป็นนายของตนโดนพาตัวออกไปอย่างทำอะไรไม่ถูก เขาคงถูกบรรดาพี่น้องของตนหัวเราะเยาะเอาแน่หากพวกเขารู้เรื่องนี้เข้า
เขามั่นใจว่าเขาสามารถล้มเจ้าคนขี้ขลาดตาขาวนั่นได้ด้วยตัวคนเดียวด้วยซ้ำ!
นี่เขาคิดไปเองหรือ
เขาถามกับตัวเอง ขณะที่คิดว่าวันนี้นายหญิงของเขาทำตัวค่อนข้างแปลกทีเดียว นางเชื่อฟังคำพูดของศัตรูจนน่าสงสัย
ไม่มีใครเข้าใจการตัดสินใจของเฮ่อเหลียนเวยเวย
แต่องค์ชายเจ็ดที่เติบโตมาในวังหลวงกลับเข้าใจจุดประสงค์ของนางได้อย่างง่ายดาย
หากเสด็จปู่ของเขารู้ว่าเขาถูกจับละก็ คนพวกนี้คงไม่สามารถหนีรอดไปได้แม้แต่คนเดียว
เสด็จปู่อาจไม่ร้อนใจนักหากองค์ชายเจ็ดตัวน้อยเพียงแค่ถูกสอบปากคำ
แต่ถ้าหากเรื่องราวใหญ่โตขึ้น… เสด็จปู่ของเขาจะต้องจัดการกับปัญหานี้ด้วยวิธีการที่ต่างออกไปอย่างแน่นอน
ฮึ่ม!
คนพวกนี้กล้าดีจริงเชียวที่มาขัดขวางตอนข้ากำลังฝึกวรยุทธ์ และยังรังแกพี่สะใภ้สามอีก!
ถ้าพี่สามมาถึงที่นี่เมื่อไหร่ เขาจะต้องถลกหนังเจ้าคนพวกนี้ออกอย่างไร้ความเมตตาแน่!
สงสัยจังว่าในคุกมีอาหารให้กินหรือเปล่า หลังจากจัดการกับเจ้าคนพวกนี้ไป ข้าก็ชักหิวขึ้นมาแล้วสิ!
วันนี้ช่างเป็นวันซวยจริงๆ!
เจ้าเจ็ดคิดพร้อมกับเก็บท่อนไม้ด้วยใบหน้าไร้เดียงสาแต่ก็ดุร้ายอยู่ในที เขายืนเงียบอยู่ด้านหลังเฮ่อเหลียนเวยเวย แต่ตอนที่เหล่าทหารใส่กุญแจมือเขา พวกเขากลับตัวสั่นไปตามๆ กันเพราะถูกบรรยากาศกดดันของเด็กชายข่มเอาไว้
เขาดูไม่เหมือนเด็กเลยแม้แต่นิดเดียว! เขาทำเหมือนตัวเองเป็นเสือไม่มีผิด!
เขาทำท่าทางเหมือนพร้อมจะกัดพวกเขาได้ทุกเมื่อที่พวกเขาเผลอ
การที่ใต้เท้าหลี่สั่งให้พวกเขาจับกุมตัวเด็กชายเช่นนี้ช่างเป็นการกระทำที่ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
ทหารเหล่านั้นอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่หลี่เมิ่งไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของเจ้าเจ็ดแม้แต่นิดเดียว เขาคิดว่าเจ้าเจ็ดเป็นเด็กที่โตมาในหมู่บ้านแห่งนี้ และอย่างดีที่สุดเด็กคนนี้ก็คงจะพอรู้วรยุทธ์เบื้องต้นบ้าง เขาไม่คิดว่าเด็กผู้ชายคนนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์แม้แต่นิดเดียว
สถานการณ์กลับตาลปัตรเมื่อพวกเขามาถึงศาลาว่าการ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้รับแจ้งอย่างรวดเร็ว
ณ วังหลวง เงาทมิฬคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นพร้อมกับอธิบายให้เขาฟังว่าองค์ชายเจ็ดตัวน้อยถูกรังแกอย่างไร
หนานกงเลี่ยคลี่ยิ้มออกมาในทันใด “เจ้าเจ็ดนี่น่ะหรือจะถูกรังแก ใครโง่ขนาดไปรังแกเขากัน”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยวางจดหมายที่ได้รับในช่วงหลายวันที่ผ่านมาลง จากนั้นจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาและไม่แยแสว่า “ชายคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม เจ้าเจ็ดก็สามารถเอาชีวิตเขาได้ง่ายๆ อยู่แล้ว”
“ยังมีพระชายาสาม…” เงาทมิฬลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเล่าเรื่องทั้งหมดอย่างไม่ปิดบัง รวมถึงเรื่องที่เฮ่อเหลียนเวยเวยถูกพาตัวไปเช่นกัน
เขาค่อยๆ เงียบเสียงลงทีละนิดเมื่อสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของผู้เป็นนาย ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดูจะนิ่งไปในที่สุด
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงนั่งอยู่ท่าเดิม ท่าทางของเขาดูสบายไม่รีบร้อน แต่ก็ยังสง่างาม ทันใดนั้น บรรยากาศอันน่าขนหัวลุกก็พลันวาบขึ้นในดวงตาราบเรียบและไร้อารมณ์ของเขา
จากนั้นเสียงเหมือนของแตกก็ดังก้องไปทั่วห้อง
รอยแตกลึกปรากฏขึ้นบนไข่มุกเรืองแสงซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะ
เงาทมิฬกลั้นหายใจด้วยความหวาดกลัว
เขารู้ว่าคราวนี้ฝ่าบาททรงกริ้วขึ้นมาจริงๆ เสียแล้ว!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยลุกขึ้นยืนด้วยสายตาเย็นชา ความสง่างามที่เขามีในยามปกติแปรเปลี่ยนเป็นความโหดเหี้ยมอันน่าสะพรึงกลัว เสียงหัวเราะของเขาเย็นชาเสียจนทำให้คนที่ได้ยินเสียวสันหลังวาบ “เริ่มสืบได้เลย พาตัวทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้มาที่นี่โดยไม่มีข้อยกเว้น!”
เงาทมิฬปฏิบัติตามทันทีหลังจากตอบรับสั้นๆ ว่า “พ่ะย่ะค่ะ”
ชายคนที่เสียมารยาทต่อพระชายาไปกระตุกหนวดเสือของฝ่าบาทเข้าให้แล้ว
มิหนำซ้ำเขายังเป็นผู้ชายที่โง่ที่สุดอีกด้วย มีคนในเลือกมากมาย แต่เขากลับเลือกจับพระชายากับองค์ชายเจ็ดตัวน้อยและขังทั้งสองไว้ในคุกเสียได้
ต่อให้องค์ชายสามจะไม่พูดเรื่องนี้ แต่อดีตฮ่องเต้คงจะรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง!
แม้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะทำเป็นใจแข็งอย่างกับหิน แต่เขาก็คิดว่าคงไม่มีใครกล้ายุ่งกับเฮ่อเหลียนเวยเวยจริงๆ
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดได้อย่างทะลุปรุโปร่ง จากนั้นเขาจึงสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของตนนำข่าวนี้ไปกราบทูลให้อดีตฮ่องเต้ทรงทราบทันที
หนานกงเลี่ยที่ยืนอยู่ข้างเขาหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย “เป็นแผนการที่ดีทีเดียว”
“นางหลอมอาวุธภายใต้คำสั่งของเสด็จปู่ ข้าเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย” คำตอบสั้นกระชับของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแสดงให้เห็นถึงความเด็ดเดี่ยวที่จะแก้แค้นชายคนที่สร้างปัญหาทั้งหมดให้กับเขา
เสียงดังเคร้งดังไปทั่วห้อง
ประตูเหล็กกระแทกปิดอย่างแรง ทิ้งไว้แต่เพียงเสียงที่ก้องกังวานอยู่ในห้อง
เฮ่อเหลียนเวยเวยกับองค์ชายเจ็ดตัวน้อยถูกขังอยู่ในห้องใต้ดินสภาพโกโรโกโส
หลี่เมิ่งส่งสายตาอย่างผู้ชนะให้กับพวกนาง จากนั้นจึงสั่งให้ผู้คุมทั้งสองคนจับตาดูพวกนางอย่างใกล้ชิด เขาตั้งใจว่าจะทำการสอบปากคำต่อในระหว่างการมาเยี่ยมเยือนครั้งถัดไป
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยแค่นหัวเราะ “เขาได้ตายแน่นอนตอนที่พี่สามมาถึง”
“ถูกของเจ้า” เฮ่อเหลียนเวยเวยอมยิ้ม หลังจากนางสังเกตเห็นสายตาขุ่นเคืองที่เขาใช้มองไปยังคนที่ล้อเลียนเจ้าเจ็ดแค่เพียงเล็กน้อย นางก็มั่นใจว่าผู้ชายคนนั้นคงไม่มีทางปล่อยให้เจ้าเจ็ดถูกรังแกอย่างแน่นอน
เด็กชายหัวโล้นลูบพุงตัวเองพร้อมกับบ่นอย่างห่อเหี่ยวว่า “ช่างหวังสัญญาว่าจะทำขาหมูให้ข้ากิน แต่ตอนนี้ข้าคงอดกินแล้ว!”
“วันนี้เจ้าช่วยพี่สะใภ้สามอย่างข้าเอาไว้ตั้งมาก หลังจากนี้ข้าจะพาเจ้าไปกินอาหารอร่อยๆ ที่ภัตตาคารหรูๆ แทนก็แล้วกัน” เฮ่อเหลียนเวยเวยอุ้มเด็กชายร่างเล็กขึ้นมาพร้อมกับเช็ดคราบเปื้อนบนใบหน้าให้เขา
เด็กชายหัวโล้นขยับหน้าหนีจากมือของนาง “พี่สะใภ้สาม เลิกทำความสะอาดหน้าของข้าได้แล้วขอรับ ไม่อย่างนั้นเสด็จปู่จะดูไม่ออกว่าข้าน่าสงสารเพียงใด เขาจะคิดว่าข้าเป็นคนตีคนอื่นเอาได้ขอรับ ก่อนหน้านี้ข้าก่อเรื่องวิวาทเอาไว้มากเกินไป”
เฮ่อเหลียนเวยเวย: …สรุปว่าจริงๆ แล้วเจ้าก็รู้ตัวสินะว่าตัวเองมีชื่อเสียงในฐานะคนที่ชอบตีคนอื่น…
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น จู่ๆ ห้องที่เคยมืดสนิทก็สว่างขึ้นอย่างกะทันหัน
จากนั้นพวกนางก็ได้ยินเสียงฝีเท้า
เสียงฝีเท้าจากไกลมาใกล้นั้นฟังดูเหมือนรีบร้อนเดินมาหาด้วยความกังวล จึงพอจะบอกได้ว่าคนที่เข้ามานั้นกำลังรีบร้อนเป็นอย่างมาก
“เร็วเข้า รีบเปิดประตูให้ข้า!”