องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 372 องค์ชายจับคนร้าย
“ข้าส่งคนไปตามพิกัดที่ท่านให้ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ลองทายดูสิว่าพวกข้าพบอะไรเข้า พวกข้าพบว่าบ้านหลังนั้นมีอาวุธเต็มไปหมด! ทุกคนที่เห็นภาพนั้นจะต้องตัดสินว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยมีความผิดสมควรตายทั้งนั้น” หลี่เมิ่งหัวเราะ “หากองค์ชายสามรู้เรื่องนี้เข้า เขาก็ไม่สามารถปกป้องนางได้เช่นกัน! อาวุธพวกนั้นมีจำนวนมากเหลือเกิน กระทั่งกรมกลาโหมก็ยังไม่มีสิทธิ์หลอมอาวุธมากถึงเพียงนั้นเลย แล้วนับประสาอะไรกับพระชายาเช่นนางหรือ! ข้ามั่นใจว่าการค้นพบเรื่องนี้จะทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยต้องเจอปัญหาใหญ่อย่างแน่นอน!”
หลี่เมิ่งบรรยายเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นอย่างมั่นอกมั่นใจ พลางรับประกันกับซูเหยียนโม่ว่าเขาไม่ได้ทำอย่างอื่นนอกไปจากการจับกุมเฮ่อเหลียนเวยเวยตามขั้นตอนทางกฎหมายเท่านั้น ใครก็ตามที่แอบมีอาวุธจำนวนมากถึงเพียงนี้อยู่ในครอบครองย่อมถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย อีกอย่างหนึ่ง เขาเองก็อยากกำราบความจองหองอวดดีของเฮ่อเหลียนเวยเวยเสียให้อยู่หมัด นางควรรู้เอาไว้ว่าเมืองหลวงแห่งนี้ไม่ได้อยู่ภายใต้การปกครองของนาง
ซูเหยียนโม่พอใจกับสิ่งที่ได้ยินจากหลี่เมิ่ง นางยิ้มออกมาอย่างมีความสุข สุดท้ายแล้ว นังเด็กชั้นต่ำคนนั้นก็เป็นเพียงแค่เด็กวัยรุ่นธรรมดาเท่านั้น ต่อให้นางถูกสิงอยู่จริง แต่นางก็ไม่เข้าใจกฎระเบียบของราชสำนัก เกรงว่าแม้แต่ตอนนี้นางก็ยังงงที่ถูกจับอยู่เลยกระมัง
“เอาล่ะ มาดื่มชากันต่อดีกว่า” ซูเหยียนโม่รินน้ำชาให้กับหลี่เมิ่งอีกถ้วย นางกำลังตั้งตารอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเฮ่อเหลียนเวยเวยต่อไปในอนาคต จากนั้นนางก็วางแผนการว่าจะเดินทางไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้พร้อมกับกวงเย่าเพื่อแอบเป่าหูเขา และสุดท้ายนังคนชั้นต่ำอย่างเฮ่อเหลียนเวยเวยก็จะต้องพ่ายแพ้อย่างหมดรูป แม้กระทั่งองค์ชายสามก็ไม่สามารถช่วยเหลือผู้หญิงก้าวร้าวที่กำลังวางแผนจะโค่นบัลลังก์ฮ่องเต้ได้ นี่เป็นความผิดที่ไม่มีทางดิ้นให้หลุดได้
นานทีปีหนเขาถึงจะได้เห็นซูเหยียนโม่มีสีหน้าพึงพอใจถึงเพียงนี้ ดังนั้นหลี่เมิ่งจึงรีบประจบนางต่อ ระหว่างที่พวกเขากำลังสนทนากันอย่างออกรสชาติอยู่นั้น เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็เดินเข้ามาในห้อง
หลี่เมิ่งผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยความประหม่า สายตาของเขาอ้อยอิ่งอยู่บนร่างของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ระหว่างที่มองสำรวจนาง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบลูกพี่ลูกน้องที่เป็นดั่งเทพธิดาของตัวเอง
ต่อหน้านางนั้นเขาดูเป็นคนเอาจริงเอาจัง แต่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์กลับรู้สึกดูแคลนญาติห่างๆ ผู้นี้ยิ่งนัก ในความคิดของนาง คนพวกนี้ก็ดีแต่กอบโกยผลประโยชน์จากความเกี่ยวข้องที่พวกเขามีกับตระกูลของนาง และเพราะอย่างนั้นพวกเขาถึงได้มีหน้าที่การงานอย่างที่ตนมีในเวลานี้ได้
นางมองเขาด้วยสายตารังเกียจมาตลอด ยิ่งเมื่อเขาเอาแต่จ้องมองนางอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ด้วยแล้ว เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็ยิ่งไม่คิดที่จะปรายตามองเขาเลยแม้แต่นิดเดียวระหว่างที่นางเดินผ่านเขาเข้าไปในห้องโถง แล้วจู่ๆ นางก็บังเอิญได้ยินพวกเขาคุยกันว่าระหว่างเหตุการณ์นั้นมีเด็กผู้ชายคนหนึ่งอยู่กับเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วย…
ทันใดนั้นเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็ถึงกับตกใจจนหยุดเดินกะทันหัน นางเลิกคิ้วขึ้นแล้วถามว่า “เด็กผู้ชายที่ท่านพูดถึงอยู่หัวโล้นหรือเปล่า”
แก้มของหลี่เมิ่งแดงระเรื่อทันทีที่ญาติผู้งดงามของตัวเองถามคำถามกับเขา เขาตอบว่า “ใช่แล้ว เป็นเด็กคนนั้นล่ะ เจ้าเด็กหัวโล้นคนนั้นมารยาทเลวทรามต่ำช้านัก! มีแต่สัตว์เท่านั้นล่ะที่จะใช้ชีวิตอยู่ในสลัมเช่นนั้นได้ เจ้าหนูนั่นเป็นแค่เด็กป่าเถื่อน แต่กลับพูดจาจองหองหยาบคายระหว่างที่พยายามจะปกป้องเฮ่อเหลียนเวยเวยเอาไว้ ข้าก็เลยจับเขาเข้าคุกไปพร้อมกับเฮ่อเหลียนเวยเวยเสียเลย!”
ทันทีที่ได้ยินดังนั้น สีหน้าของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็เปลี่ยนไปทันที “พูดอีกทีสิว่าท่านทำอะไรกับเขานะ?!”
“ข้าจับเขา เขารบกวนการทำงานของข้า แน่นอนว่าข้าก็ต้องจับเขาอยู่แล้วสิ” หลี่เมิ่งไม่คิดว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องใหญ่แต่อย่างใด
ซูเหยียนโม่คิดว่านั่นเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อย นางพยายามบอกปัดว่า “เขาก็เป็นแค่ลูกมือจนๆ ของช่างตีเหล็กสักคนเท่านั้น พวกเราค่อยปล่อยตัวเขาหลังจากให้ขนมเป็นค่าชดเชยก็ยังได้”
“ท่านแม่ เขาไม่ใช่แค่เด็กธรรมดานะเจ้าคะ!” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์มือสั่นเทาระหว่างพูดต่อ “ข้าไม่มั่นใจนัก แต่ลางสังหรณ์ของข้าบอกว่าเด็กคนนั้นคือองค์ชายเจ็ด!”
หัวใจของซูเหยียนโม่เต้นผิดจังหวะ แต่นางก็พยายามปลอบตัวเองด้วยการบอกว่า “เรื่องนั้นคงเป็นไปได้ยาก องค์ชายเจ็ดจะไปปรากฏตัวอยู่ในสถานที่โกโรโกโสเช่นนั้นได้อย่างไร”
“ท่านแม่ ท่านไม่รู้ความสัมพันธ์ของพวกนาง องค์ชายเจ็ดมักจะติดสอยห้อยตามเฮ่อเหลียนเวยเวยไปไหนต่อไหนเสมอตั้งแต่พวกนางอยู่ที่สำนักแล้วเจ้าค่ะ เขาจะต้องตามเฮ่อเหลียนเวยเวยไปที่บ้านหลังนั้นด้วยแน่ๆ!” ใบหน้าของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ฉาบไปด้วยความกลัว
ในเวลานี้หน้าผากของหลี่เมิ่งชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็นๆ องค์ชายเจ็ดหรือ ข้าจับองค์ชายเจ็ดขังคุกหรือ?!
ทันใดนั้นเขาก็สูญเสียความเยือกเย็นที่เคยมีไปจนหมด และคิดอะไรไม่ออกอีกต่อไป เขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ ถ้วยชาในมือร่วงหล่นลงกับพื้น เขารู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก
การจับกุมตัวองค์ชายเจ็ดนั้นแตกต่างจากการจับกุมตัวเฮ่อเหลียนเวยเวย
องค์ชายเจ็ดเป็นใครน่ะหรือ
เขาเป็นน้องชายร่วมสายเลือดขององค์ชายสาม และเป็นหลานชายคนโปรดของอดีตฮ่องเต้ เขาจำได้อย่างชัดเจนว่าเมื่อปีก่อนบรรดาขุนนางในเมืองหลวงต่างก็ถูกเขาทรมานอย่างสาหัส
เขาโชคร้ายยิ่งนักที่บังเอิญได้พบกับราชาปีศาจตัวน้อยที่หายตัวไปนานกว่าหนึ่งปีคนนั้น!
ตอนนี้เมื่อเขาจับกุมตัวองค์ชายเจ็ดไปแล้ว อย่าว่าแต่ฮูหยินซูเลย แม้แต่อัครเสนาบดีซูก็เป็นไปได้ว่าจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์คับขันไปด้วย…
ข้าอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้แล้ว!
ข้าต้องหนี!
ใช่ ข้าต้องรีบออกจากเมืองหลวงให้เร็วที่สุด!
ซูเหยียนโม่ตวัดสายตามองหลี่เมิ่ง นางเองก็ตื่นตระหนกเหมือนกัน เขาช่างไร้สมองนักที่บังอาจจับตัวองค์ชายเจ็ดไป!
ถ้านางถูกฟ้องร้องขึ้นมา ความผิดทั้งหมดที่นางเคยทำมาก็อาจจะพลอยถูกเปิดโปงไปด้วยได้!
มือของซูเหยียนโม่กำเข้าหากันแน่น นางกำลังใช้ความคิดกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็คิดหาทางแก้ไขได้ “แต่อย่างไรก็ตาม เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ได้ทำความผิดคือการแอบหลอมอาวุธขึ้นเป็นจำนวนมากจริง ต่อให้องค์ชายเจ็ดจะอยู่ด้วย แต่นางก็ยังคงมีความผิดอยู่ดี!”
หลี่เมิ่งพยักหน้าอย่างแรงแม้ใบหน้าจะยังซีดอยู่ เพราะเห็นด้วยกับคำพูดของนาง เขาพูดตะกุกตะกักว่า “ฮูหยินซู ท่านมีคำแนะนำให้ขุนนางระดับล่างเช่นข้าหรือไม่ว่าข้าควรจะทำเช่นใดดี”
“ออกไปจากเมืองหลวงซะ” ไม่ว่าอย่างไรหลี่เมิ่งก็ไม่ควรอยู่ที่คฤหาสน์ผู้พิทักษ์ต่อ ซูเหยียนโม่ลุกขึ้นแล้วเตือนเขาอย่างมาดร้ายว่า “อย่าบอกใครว่าเจ้ามาที่นี่ เจ้าเพียงแค่ทำพลาดในระหว่างปฏิบัติงานเท่านั้น เจ้าไม่มีอะไรต้องกลัวแม้ว่าเจ้าจะบังเอิญจับตัวองค์ชายเจ็ดไป จำเอาไว้ว่าจงยืนกรานให้ชัดเจนว่าเจ้าเพียงแค่จับพวกเขาไปเพราะเจ้าสงสัยว่าคนกลุ่มนั้นจะก่อกบฏเท่านั้น ตราบใดที่เจ้าไม่ได้สารภาพสิ่งใดออกไป พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะลงโทษเจ้าได้ เจ้าเป็นผู้ชายฉลาด และน่าจะเข้าใจคำพูดของข้าชัดเจนโดยที่ไม่ต้องรอให้อธิบายเพิ่มอยู่แล้ว”
“ข้าเข้าใจแล้ว ขอฮูหยินซูอย่าได้เป็นกังวล ข้าจะรักษาความมั่นใจของตนเอาไว้ให้ดี” หลี่เมิ่งตอบก่อนเดินทางออกไปจากคฤหาสน์ผู้พิทักษ์ทันที
แต่หนานกงเลี่ยก็ยังนำหน้าเขาอยู่ก้าวหนึ่ง เพราะเขาได้ข้อมูลบางอย่างมาไว้ในมือแล้ว การเป็นส่วนหนึ่งของกรมพิธีการนั้นทำให้เขาเชี่ยวชาญการใช้วิธีที่อยู่นอกเหนือกฎหมายเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายของตน “ข้าเจอตัวคนร้ายแล้ว ชื่อของเขาคือหลี่เมิ่ง และเขาเพิ่งถูกย้ายจากที่อื่นเข้ามาในเมืองหลวง ข้าส่งคนไปดักซุ่มเขาที่จวนของเขาแล้ว หากเขาปรากฏตัวขึ้น พวกเราจะจับกุมตัวเขาทันที…”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกระตุกยิ้มมุมปาก “เขาแซ่หลี่ ไม่ใช่ซูหรือ”
หนานกงเลี่ยชะงัก แน่นอนว่าหากเขาสามารถระบุตัวชายคนนี้ได้ เขาเองก็ย่อมรู้เรื่องความเกี่ยวข้องระหว่างหลี่เมิ่งกับตระกูลซูอยู่แล้ว ตอนแรกนั้นเขาตั้งใจว่าจะไว้ชีวิตตระกูลซูเพราะในเวลานี้ราชสำนักก็เกิดความวุ่นวายมากพอแล้ว เขาวางแผนว่าจะลงโทษคนพวกนั้นหลังจากเรื่องทุกอย่างจบลง แต่เขาเดาว่าอาเจวี๋ยคงเลือกที่จะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร้ความปรานีซึ่งๆ หน้าหลังจากได้ยินคำพูดของเขา
ความโหดร้ายปรากฏขึ้นในดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบว่า “สืบให้ละเอียด หาตัวทุกคนที่มีความเกี่ยวข้องกับชายคนนี้ซะ”
หนานกงเลี่ยถูจมูกพลางคิดกับตัวเองว่า ผู้ชายคนนี้สิที่เป็นเสือตัวจริง แม้เจ้าเจ็ดจะเปี่ยมด้วยความมั่นใจและน่าเกรงขามในการต่อสู้ แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่เคยแสดงความเมตตาให้กับเหยื่อที่เขาหมายตาเลยแม้แต่ครั้งเดียว เขาไม่มีความคิดที่จะไว้ชีวิตคู่ต่อสู้ และยังหมายมั่นว่าจะต้องกำจัดเขาหรือนางให้ได้
ผลสุดท้ายการค้นหาก็เริ่มต้นขึ้น และยังกินเนื้อที่ไปทั่วทั้งเมืองหลวง สถานที่หลายแห่งตกอยู่ในความสับสนอลหม่านเพราะมีร้านค้าหลายร้านที่ถูกเข้าตรวจค้น
โชคดีที่การค้นหานั้นตั้งเป้าไปที่ร้านค้าบางแห่งเท่านั้น แต่ประชาชนก็ยังคงสับสนกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ดี
ระหว่างนั้น มีหลายคนที่เริ่มเข้าใจว่าความลับที่อยู่เบื้องหลังการจับกุมครั้งใหญ่ในเวลานี้คืออะไร
ร้านค้าทุกร้านที่ถูกค้นนั้นล้วนแต่มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลซูไม่ทางตรงก็ทางอ้อมทั้งสิ้น…