องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 376 องค์ชายกับเวยเวย
เวลานี้ฮ่องเต้ไม่กล้าพูดอะไรไปมากกว่านี้ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะกลับออกไปทันที
ณ คฤหาสน์ผู้พิทักษ์
รอยยิ้มบนใบหน้าของซูเหยียนโม่ค่อยๆ เลือนหายไป ดูเหมือนนางจะได้รับข่าวร้ายมาอย่างไม่ขาดสาย
ตามหลักแล้ว ทางฝั่งของฮองเฮาน่าจะมีผลลัพธ์ออกมาในไม่ช้านี้
ทว่าจนถึงตอนนี้กลับยังไม่มีข่าวคราวอะไรมาเลยแม้แต่ข่าวเดียว มิหนำซ้ำคนที่นางส่งไปก็ยังหายตัวไปอีกด้วย
ซูเหยียนโม่เริ่มรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี มือของนางเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อเย็นๆ
ทันใดนั้นพ่อบ้านที่ช่วยนางจัดการเรื่องทุกอย่างภายนอกก็วิ่งพรวดพราดเข้ามา บนใบหน้าของเขามีสีหน้าลำบากใจฉายชัด “ฮะ… ฮูหยินขอรับ ร้านค้าทุกร้านของเราถูกสั่งปิดเพราะมีการตรวจค้นขอรับ และ… และขุนนางทุกคนที่มีความเกี่ยวข้องกับพวกเราก็… ถูกจับทุกคนเลยขอรับ”
พ่อบ้านหอบไปพลางพูดไปพลาง แต่สิ่งเดียวที่ซูเหยียนโม่สามารถสัมผัสได้ในเวลาต่อมาคือความรู้สึกตกใจราวกับถูกฟ้าผ่า
นางรีบเดินทางออกไปสอบถามเรื่องนี้ และพบว่ามีคนจำนวนมากถูกจับกุมตัวไปจริงๆ
ไม่ใช่แค่เพียงขุนนางระดับล่างที่มีความเกี่ยวข้องกับนางเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่ถูกจับกุม แต่แม้กระทั่งเส้นสายที่ฝังรากอยู่ในตระกูลซูเองก็ยังถูกสอบสวนเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ซูเหยียนโม่จึงตกอยู่ในสภาพแตกตื่นจนแทบเสียสติ นางเค้นสมองพยายามหาช่องทางนำเงินไปทดแทนจัดการหลุมดำแห่งปัญหาทางด้านการเงินนั้น และยังต้องระวังตัวอย่างที่สุดเพื่อไม่ให้เรื่องนี้ถูกพบอีกด้วย
แต่สิ่งที่ทำให้นางอารมณ์เสียยิ่งกว่านั้นคือการที่ต่อให้นางเสนอเงินไปมากมายเพียงใด แต่ก็ไม่มีใครอยากช่วยนางทำงานเลยแม้แต่คนเดียว นี่เป็นสถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ซูเหยียนโม่คิดว่านางคงพึ่งพาได้เพียงแค่เฮ่อเหลียนกวงเย่าคนเดียวเท่านั้น แต่กลับกลายเป็นว่าในช่วงนั้นเฮ่อเหลียนกวงเย่าแทบจะไม่กลับมาบ้านเลยด้วยซ้ำ
เมื่อเขาใช้ข้ออ้างไม่กลับบ้านไปจนหมด ตอนนี้เขาจึงทำเพียงแค่ให้คนนำข้อความมาบอกนางบ้าง และบางครั้งก็ไม่มีแม้แต่คำพูดแม้ประโยคเดียว
ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่
ลึกๆ ในใจนั้น ซูเหยียนโม่รู้สึกตระหนกตกใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่มีสิ่งใดที่นางสามารถทำได้นอกจากมองดูคนพวกนั้นถูกจับกุม
ซูเหยียนโม่ปลอบใจตัวเอง บอกตัวเองว่านางยังไม่หมดสิ้นหนทาง
จากนิสัยของหลี่เมิ่ง เขาย่อมไม่เอ่ยถึงนางแน่
ต่อให้นางเข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้ แต่ความผิดของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยังร้ายแรงกว่านางหลายเท่า
นางไม่จำเป็นต้องกังวลถึงเพียงนี้
แต่ซูเหยียนโม่ไม่รู้ว่า สิ่งที่นางเรียกว่า ’ความผิด’ นั้นไม่มีอยู่จริง…
คืนนั้น ที่ห้องขัง
หลี่เมิ่งไม่เคยทรมานเท่านี้มาก่อน ตอนแรกเขาคิดว่าเขาจะได้รับการช่วยเหลือออกไปอย่างรวดเร็ว
แต่ผ่านไปครึ่งวันแล้ว ก็ยังไม่มีข่าวคราวจากข้างนอกมาถึงเขาเสียที
ยิ่งกว่านั้น สิ่งที่หลี่เมิ่งทนไม่ไหวเป็นอย่างยิ่งก็คือการที่แม้จะมีแสงสว่างส่องลงมาถึงเขาแล้ว แต่เขากลับไม่ได้รับอนุญาตให้จิบกระทั่งน้ำสักอึก อีกทั้งยังไม่มีใครพูดกับเขาแม้แต่คนเดียว
สถานการณ์ตอนที่เขาถูกอัดก่อนหน้านี้ยังดีกว่าสถานการณ์ในตอนนี้เป็นไหนๆ
อาการหวั่นวิตกและตื่นตระหนกที่เขาไม่คุ้นเคยทำให้หน้าผากของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ
“นายหญิงขอรับ เราเข้าไปซ้อมเขาอีกสักครั้งดีไหมขอรับ เราจะปล่อยให้เขานอนรอสบายๆ เช่นนี้ไม่ได้นะขอรับ” ต้าสงขยับนิ้วอย่างขุ่นเคืองขณะยืนอยู่ข้างเฮ่อเหลียนเวยเวย
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยแค่หัวเราะออกมาเบาๆ “ไม่ต้องห่วง ปล่อยเขาไว้เช่นนี้ยิ่งจะทำให้เขาทรมานกว่าซ้อมเขาเสียอีก”
“จริงหรือขอรับ” ต้าสงไม่เข้าใจว่าการนั่งอยู่อย่างนั้นจะนำไปสู่ความทรมานได้อย่างไร
ริมฝีปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยโค้งขึ้นเล็กน้อย ขณะที่นางกอดอกฟังคำถามนั้น ก่อนจะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง “จากการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญนั้นพบว่าถ้าเราโยนใครสักคนลงไปในสภาพแวดล้อมที่เขาไม่คุ้นเคยเป็นเวลานานภายใต้แสงจ้า แต่ไม่มีคนพูดคุยกับเขา และไม่มีทางที่เขาจะได้รับรู้ข้อมูลจากโลกภายนอก มันจะทำให้คนคนนั้นรู้สึกไม่ปลอดภัย แน่นอนว่าความรู้สึกไม่ปลอดภัยเป็นเพียงแค่ขั้นแรกเท่านั้น หากทิ้งไว้นานเข้า คนคนนั้นจะรู้สึกราวกับว่าทุกสิ่งผิดปกติ และจะเสียสติไปในที่สุด”
ทันทีที่เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดจบ ต้าสงก็ได้ยินเสียงตะโกนดังก้องไปทั่วห้องขัง
หลี่เมิ่งทนไม่ไหวอีกต่อไป เขากุมศีรษะตัวเองด้วยใบหน้าซีดเผือด ริมฝีปากของเขาแห้งแตกจากการขาดน้ำ “ข้าจะสารภาพแล้ว ข้าจะพูดหมดทุกอย่าง”
ต้าสงตาโตพร้อมกับจ้องมองเฮ่อเหลียนเวยเวย และคิดกับตัวเองว่า เป็นไปได้ด้วยหรือ
เขาไม่รู้ว่าวิธีสอบปากคำที่เฮ่อเหลียนเวยเวยใช้นั้นเป็นหนึ่งในวิธีการที่ผู้เชี่ยวชาญระดับสูงภายในสำนักงานสอบสวนกลางแห่งอเมริกาใช้กัน มันเป็นกลยุทธ์ทางจิตวิทยาที่มีชื่อเสียงมากทีเดียว
ไม่ใช่แค่ต้าสง แต่กระทั่งบรรดาผู้คุมเองก็ยังรู้สึกทึ่งกับวิธีการของเฮ่อเหลียนเวยเวย ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนักที่นางสามารถทำให้เขาปริปากพูดได้โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินช้าๆ เขาไปหาหลี่เมิ่งก่อนจะนั่งลงตรงข้ามเขา แล้วพูดอย่างเกียจคร้านว่า “เอาล่ะ บอกข้ามาสิว่าเจ้ารู้พิกัดของบ้านหลังนั้นได้อย่างไร”
“ฮูหยินซู ฮูหยินซูบอกข้า” หลี่เมิ่งดวงตาแดงก่ำ “นางบอกว่าเจ้าสร้างอาวุธเอาไว้เป็นจำนวนมาก และแหล่งผลิตที่ว่านั่นก็อยู่นอกเมือง ถ้าข้าสามารถหาอาวุธพวกนั้นได้ ข้าจะทำผลงานได้อย่างใหญ่หลวงแน่นอน เพราะอย่างไรเสียการผลิตอาวุธเป็นการส่วนตัวนั้นก็ถือเป็นความผิดร้ายแรงฐานก่อกบฏ!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยชำเลืองมองเขาด้วยสายตาราบเรียบ นางไม่ได้พูดอะไร
หลี่เมิงที่ถูกล่ามเอาไว้ในสภาพนี้มาหลายชั่วยามเจียนจะเสียสติเต็มที เขาไม่รู้ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยตั้งใจจะทำอะไร
ความจริงแล้วเขารู้สึกว่าคนคนนี้รับมือยากกว่าขุนนางคนใดที่เขาเคยเจอมาเสียอีก
นางยังเป็นคนไร้ค่าผู้หลงใหลมัวเมาในความรักคนนั้นอยู่จริงหรือ
หลี่เมิ่งมองดวงตาที่หรี่ลงช้าๆ ของนาง เขากลัวว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะคิดว่าคำสารภาพของเขาไร้ประโยชน์ และขังเขาไว้ที่นี่ต่อ ดังนั้นเขาจึงรีบให้เบาะแสเกี่ยวกับสายลับ และผู้ใต้บังคับบัญชาที่ตระกูลซูหว่านเมล็ดฝังเอาไว้ในเมืองหลวงตลอดหลายปีที่ผ่านมาออกมาจนหมด
ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่ซูเหยียนโม่
แม้แต่จิ้งจอกเฒ่าจอมเจ้าเล่ห์อย่างอัครเสนาบดีซูที่ทุ่มเทความพยายามอย่างสูงวางหมากเอาไว้ในเมืองหลวงก็พลอยได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงไปด้วย แหล่งข่าวที่มีประโยชน์ทั้งหมดถูกกวาดล้างจนเหี้ยน!
“นายหญิงขอรับ ท่านช่างเป็นคนที่น่าประทับใจยิ่งนัก!” ต้าสงได้เห็นขั้นตอนทุกอย่างกับตาตัวเอง เขาถึงกับพูดไม่ออก ในเวลานี้เขายอมรับประมุขคนใหม่ของตระกูลผู้นี้ด้วยความชื่นชมอย่างสุดหัวใจ
เมื่อมีคำสารภาพของหลี่เมิ่งอยู่ในมือ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยิ้มชั่วร้ายออกมา “ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกแล้วนี่ ว่าข้าจะจัดการถอนรากถอนโคนใครก็ตามที่กล้ามารังแกคนของข้าถึงถิ่นด้วยมือของข้าเอง”
ครั้งนี้หลี่เมิ่งพบกับจุดจบที่แท้จริงก็เพราะความโง่เขลาของตน
เขาไม่รู้ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยนิ่งเงียบเพราะนางกำลังรอให้เขาพูด
ยิ่งหลี่เมิ่งพูดมากเท่าใด ก็ยิ่งเผยจุดอ่อนออกมามากขึ้นเท่านั้น
นี่เป็นสงครามจิตวิทยา
ยิ่งเฮ่อเหลียนเวยเวยเงียบเท่าใด หลี่เมิ่งก็ยิ่งลนลาน เพราะเขาคิดว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ทุกอย่างอยู่แล้ว สุดท้ายมันจึงจบลงด้วยการที่เขาเอ่ยแม้กระทั่งเรื่องที่ควรจะเป็นความลับออกไป
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างใจลอย พลางรอให้นางสอบปากคำจนเสร็จ ก่อนจะตวัดสายตาเย็นชานั้นไปมองนาง “มากับข้า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วขึ้น แล้วเดินตามไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไปที่มุมหนึ่ง แต่ด้วยการพลิกตัวเพียงครั้งเดียว เขาก็สามารถกักขังนางเอาไว้ในมุมนั้นได้ “วิธีการที่เจ้าใช้สอบปากคำนับว่าน่าสนใจจริงๆ”
“ข้าก็แค่เรียนมาจากหน่วยพิฆาตวิญญาณ” คำตอบของเฮ่อเหลียนเวยเวยนั้นไร้ที่ติ
ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยคล้ายกับจะมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นในยามที่เขาก้มลงมองนาง “จริงหรือ”
“จริงสิ” เฮ่อเหลียนเวยเวยนึกสงสัยว่าเขารู้อะไรเข้าแล้วหรือเปล่า การใช้ชีวิตในแต่ละวันโดยต้องแบกรับความเสี่ยงที่จะต้องถูกองค์ชายจับเผาทั้งเป็นเพราะเข้าใจผิดว่าเป็นปีศาจนั้นนับว่าเป็นบททดสอบทักษะการแสดงของนางจริงๆ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ้มอย่างเย็นชา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงชื่นชมว่า “มันเป็นวิธีการที่ไม่เลวทีเดียว ทำลายเหยื่อจากข้างใน”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะเสียงเบา คนที่ชื่นชอบวิธีสอบปากคำเช่นนั้นคงมีแต่คนวิกลจริตเท่านั้น
“เพียงแต่มันยังดีไม่พอ” นิ้วของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไล้ใบหน้าเล็กๆ ของนาง สัมผัสผิวอันเรียบเนียนและเย็นเยียบราวกับหยกนั้น เขาสัมผัสมันอีกสองสามครั้ง ไม่สนใจว่านางจะปัดมือเขาออกหรือไม่ “ถ้าเจ้าบอกเขาว่าซูเหยียนโม่จะไม่มีวันมาช่วยประกันตัวเขาออกไป และต้องการใช้เขาเป็นแพะรับบาปแทน เขาคงจะเป็นบ้ายิ่งกว่านี้เสียอีก”