องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 377 ตระกูลซูมาหาเรื่อง
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …
อืม ช่างเป็นวิธีสร้างความร้าวฉานที่ชั่วร้ายยิ่งนัก นางเทียบกับเขาไม่ได้เลยจริงๆ
“องค์ชาย ท่านกำลังสอนข้าให้เป็นหญิงชั่วร้ายหรือ” เขาบอกเองมิใช่หรือว่าเขาเกลียดผู้หญิงนิสัยไม่ดีที่มาพร้อมจุดประสงค์แอบแฝง ทำไมเขาถึงสอนให้นางกลายเป็นคนเช่นนั้นล่ะ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ตอบนาง แต่กลับลูบนิ้วของตนเข้ากับรอยที่เขาทิ้งไว้บนคอของนางก่อนหน้านี้ เขามองภาพตรงหน้าด้วยความพอใจที่เห็นเฮ่อเหลียนเวยเวยตัวสั่นเล็กน้อย
นี่เป็นหนึ่งในงานอดิเรกใหม่ขององค์ชายในระยะนี้ มันแทบจะเหมือนกับว่าเขากำลังทำสัญลักษณ์บอกอาณาเขตของตัวเองอยู่ไม่มีผิด
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเขาโดยไม่พูดอะไร
แต่ทันใดนั้นดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา “มันจางลงไปมากทีเดียว”
เอ่อ ก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วสิ นางใช้น้ำสตรอว์เบอร์รีที่อยู่ในมิติสวรรค์ลบมันทุกวัน ถ้ามันไม่ได้ผล เช่นนั้นก็คงเสียชื่อน้ำสตรอว์เบอร์รีวิเศษที่ขึ้นชื่อเรื่องทำให้ผิวพรรณขาวผุดผ่องของนางกันพอดี
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม พร้อมกับเผยสีหน้าพอใจออกมา
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนาง ความเย็นชาก่อตัวขึ้นที่ริมฝีปากของเขาเพราะเขาไม่ชอบสีหน้าพอใจที่นางกำลังแสดงออกมา มันเหมือนกับว่าเจ้าตัวเล็กนี่คิดจะไปจากเขาอยู่ตลอดเวลา…
“ฝ่าบาท” เงาทมิฬยืนอยู่ห่างจากเขาราวหนึ่งเมตรเพราะไม่กล้าเข้าใกล้ เขารายงานอีกฝ่ายจากระยะไกล ว่า “หลังจากอัครเสนาบดีซูเห็นว่าฝ่าบาททรงจับกุมตัวลูกน้องทั้งหมดของตนเอาไว้ เขาก็โวยวายใหญ่โตเชียวพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้เขาอยู่ที่หน้าประตูวังของอดีตฮ่องเต้ ซูเหยียนโม่ก็อยู่กับเขาด้วย”
ดันมาหาเรื่ององค์ชายในเวลานี้เอาเสียได้ มุมปากของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกระตุกขึ้น เผยความโหดร้ายออกมาอย่างไม่ปิดบัง “ไปเอาคำสารภาพของหลี่เมิ่งมา พวกเราจะกลับวังหลวงกัน”
“รับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” เงาทมิฬคำนับอีกฝ่ายด้วยความเคารพ พลางคิดในใจอย่างสงสัยว่าทำไมน้ำเสียงของฝ่าบาทถึงได้ฟังดูเย็นชากว่าตอนก่อนหน้าถึงเพียงนี้
ไม่ว่าอย่างไรหนนี้ตระกูลซูก็คงถึงคราวล่มสลายเป็นแน่…
เวลาพลบค่ำ นอกวังหลวงของอดีตฮ่องเต้
อัครเสนาบดีซูคุกเข่าอยู่ข้างซูเหยียนโม่ เขาวางหมวกขุนนางของตนเอาไว้ที่ด้านซ้าย และคุกเข่าทั้งสองข้างลงกับพื้น เขากำลังรอฟังคำอธิบายจากอดีตฮ่องเต้อยู่
เขาต้องการคำอธิบายอันเหมาะสมว่าทำไมองค์ชายสามถึงจับคนของเขา และจับพวกเขาด้วยข้อหาอะไร
ซูเหยียนโม่รู้เหตุผลดี แต่นางไม่กล้าบอกความจริงกับท่านพ่อของนาง และทำได้เพียงบอกเขาตามที่นางบอกกับฮองเฮา
อัครเสนาบดีซูไม่รู้ว่าเรื่องนี้ลุกลามไปไกลเพียงใด แต่เขามีประสบการณ์มากกว่าซูเหยียนโม่ และรู้ว่ากรมขุนนางคงไม่ได้ข้อมูลอันใดจากการสอบปากคำคนพวกนั้น ดังนั้นเขาจึงชิงมาที่นี่เพื่อลงมือก่อน และเพื่อให้ตัวเองนำหน้าคนพวกนั้นหนึ่งก้าว
เขาคิดเหมือนกันกับฮองเฮา เพราะต่อให้การจับกุมในครั้งนี้จะมีองค์ชายเจ็ดตัวน้อยเข้ามาเกี่ยวข้องโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่หากเทียบกันแล้วความผิดข้อหาผลิตอาวุธเป็นการส่วนตัวนั้นก็ยังร้ายแรงยิ่งกว่า!
ตราบใดที่เขามาคุกเข่าอยู่ที่นี่ในวันนี้ ในระหว่างการประชุมรอบเช้าพรุ่งนี้ บรรดาขุนนางทุกคนจะต้องรู้ว่าองค์ชายสามไม่เพียงแต่ต้องการที่จะก่อกบฏเท่านั้น แต่เขายังใช้อำนาจในทางมิชอบจับใครต่อใครไปทั่วอีกด้วย
นั่นคือภาพที่เข้าในสายตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยและไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอนที่ทั้งสองก้าวเข้ามาในวังหลวง
อัครเสนาบดีซูยังคงรักษาความสงบเยือกเย็นของตนเอาไว้ได้ทั้งที่คุกเข่าอยู่กลางฤดูร้อนโดยไม่ยินดีที่จะลุกขึ้น แม้กระทั่งตอนที่เขาเห็นเฮ่อเหลียนเวยเวยและไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ใบหน้าของเขาก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่นิดเดียว มีก็แต่เพียงสีหน้าที่บ่งบอกถึงการตัดสินใจอันเด็ดเดี่ยวของเขาเท่านั้น
แต่สายตาของซูเหยียนโม่กลับหยุดอยู่ที่เฮ่อเหลียนเวยเวย เมื่อนานมาแล้วนางเคยมีโอกาสที่จะฆ่านังเด็กแพศยานี่ แต่นางก็ปล่อยโอกาสนั้นหลุดลอยไปเพราะ หนึ่ง เฮ่อเหลียนเวยเวยมีสายเลือดเดียวกับแม่ของนาง และเลือดที่ว่านั่นอาจจะมีประโยชน์กับพวกนางในสักวันหนึ่งก็เป็นได้ และสอง หากเทียบกับการฆ่าอีกฝ่ายแล้ว การได้เห็นนังเด็กแพศยานี่สูญเสียทุกอย่างที่ตัวเองมีไปนั้นย่อมน่าสนุกกว่าเป็นไหนๆ
สมัยก่อนนั้นไม่ว่านางจะทำอะไร นางก็ไม่อาจเทียบได้กับคนที่มาจากตระกูลเฮ่อเหลียนได้ ณ สถานที่ที่นางอยู่นั้น ไม่มีที่ให้นางได้ส่องประกายเลยแม้แต่น้อย
คนคนนั้นเป็นคนที่ได้รับความชื่นชอบมากที่สุดในเมืองหลวงมาตั้งแต่นางยังเป็นเด็กสาวตัวน้อย
สิ่งที่นางกินและใช้นั้นล้วนแต่เป็นของชั้นเลิศ และแม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังต้องการที่จะเอาอกเอาใจนางตั้งแต่ครั้งที่เขายังหนุ่ม
เด็กสาวคนอื่นนั้นต่างจากนาง เพราะพวกนางจำเป็นต้องทำสิ่งต่างๆ ตามใจคนอื่น
เพราะคนคนนั้นคนเดียว ทั้งชีวิตของนางจึงเป็นได้เพียงแค่เงาเท่านั้น
แต่โชคดีที่สวรรค์ยังมีความยุติธรรมมากพอที่จะปล่อยให้นางได้มีโอกาสคว้าเฮ่อเหลียนกวงเย่ามาไว้ในมือ
คุณหนูจากตระกูลชั้นสูงคนนั้นได้รับความรักจากชายหนุ่มมากมาย แต่กลับไม่ตระหนักถึงความจริงที่ว่าบางครั้งผู้ชายก็ต้องการผู้หญิงที่อ่อนหวานและว่านอนสอนง่าย
ความแข็งแกร่งของนางรังแต่จะทำให้สามีนอกใจเท่านั้น
นางจะปล่อยให้รสชาติแห่งชัยชนะนั้นหลุดมือไปได้อย่างไร
การได้เฝ้ามองบุตรสาวของคนคนนั้นใช้ชีวิตไม่ต่างจากสัตว์ ถูกทอดทิ้งด้วยสายตารังเกียจและเฉยเมยนั้นทำให้นางมีความสุขยิ่งกว่าการฆ่านังเด็กแพศยานี่ทิ้งหลายเท่านัก
แต่… นางคาดไม่ถึงว่าการปล่อยให้โอกาสในการฆ่านางจะนำหายนะมาให้นางเช่นนี้
ซูเหยียนโม่จ้องมองร่างของเฮ่อเหลียนเวยเวยจากทางด้านหลังระหว่างที่นางเดินอยู่อย่างเกลียดชังและเสียดายในการกระทำของตน มือที่อยู่ใต้แขนเสื้อยาวของนางค่อยๆ กำเข้าหากันแน่น แต่เมื่อนางเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของนางก็กลับกลายเป็นใบหน้าอันเด็ดเดี่ยว
การกระทำขององค์ชายสามทำให้ท่านพ่อของนางโกรธเสียแล้ว
ความจริงที่ว่าท่านพ่อของนางกำลังคุกเข่าอยู่นอกวังเช่นนี้ย่อมทำให้ทั่วทั้งราชสำนักเกิดความวุ่นวายขึ้นจนถึงจุดที่อดีตฮ่องเต้ไม่สามารถจัดการปัญหานี้ได้อย่างเงียบๆ แม้ว่าเขาจะต้องการก็ตามที
เขาจำต้องให้คำอธิบายกับบรรดาขุนนางในราชสำนัก และสิ่งนั้นจะทำให้นังเด็กแพศยานั่นถูกถอดยศออกจากตำแหน่งพระชายา ที่เป็นเช่นนี้เพราะถ้าหากอดีตฮ่องเต้ต้องการปกป้ององค์ชายสามผู้เป็นหลานชายสุดที่รักของตน เขาจำเป็นต้องผลักใครสักคนออกไปเพื่อปิดปากคนพวกนั้นเสีย
และนังเด็กแพศยานี่ก็เป็นหมากที่ดีที่สุด
เมื่อถึงตอนนั้น ทันทีที่นังเด็กแพศยานั่นถูกถอดยศ เจียวเอ๋อร์ของนางจึงจะได้มีโอกาสอีกครั้ง…
แผนการของซูเหยียนโม่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติจนนางเผลอกระตุกยิ้มมุมปาก
ทันใดนั้นประตูวังก็เปิดออก อดีตฮ่องเต้มองพ่อลูกที่คุกเข่าอยู่หน้าประตูอย่างเย็นชา เขาถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “อัครเสนาบดีซู นี่ก็เย็นมากแล้ว แต่ท่านกลับมานั่งคุกเข่าอยู่ที่นี่แทนที่จะเข้าไปขอเข้าเฝ้าข้าข้างในวัง ทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน”
“เป็นเพราะกระหม่อมไม่มีทางเลือกอื่นแล้วพ่ะย่ะค่ะ” อัครเสนาบดีซูตอบพลางก้มหัวคำนับ และเหลือบตาขึ้นมองไปทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ย “ตั้งแต่ยามอู่[1]ของวันนี้ องค์ชายสามทรงจับขุนนางในราชสำนักไปโดยไม่มีคำยินยอมจากอดีตฮ่องเต้ และยังไม่มีการแจ้งล่วงหน้า ในเวลานี้ภายนอกเกิดความโกลาหลไปทั่วทุกหนแห่ง ดังนั้นกระหม่อมจึงไม่มีทางเลือกนอกจากมาเข้าเฝ้าพระองค์เป็นการส่วนตัวพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยฟังคำพูดของเขาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ใบหน้าหล่อเหลาแต่เย็นชานั้นไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลง หากบนใบหน้านั้นจะมีสีหน้าอะไรปรากฏขึ้น มันก็คงมีแต่เพียงการเยาะเย้ยและดูแคลนเท่านั้น
“และเท่าที่กระหม่อมรู้มา สาเหตุที่ทำให้องค์ชายสามก่อเหตุเช่นนี้ขึ้นก็เป็นเพราะใต้เท้าหลี่จากกรมขุนนางนำกำลังเข้าไปตรวจค้นที่บ้านหลังหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ” อัครเสนาบดีซูเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ไม่นานก่อนหน้านั้น ใต้เท้าหลี่ผู้นี้ได้รับข่าวมาว่ามีคนนอกเมืองได้ทำการซื้อเหล็กเป็นจำนวนมาก และกำลังกระทำการน่าสงสัยอยู่ ดังนั้นด้วยความสงสัยว่าคนคนนั้นน่าจะกำลังสร้างอาวุธจำนวนมากเป็นการส่วนตัว เขาจึงไม่รอให้เสียเวลา และเดินทางไปที่นอกเมืองทันที อีกทั้งยังพบอาวุธจำนวนมากเข้าจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ แต่เพราะความประมาทของเขา จึงเข้าใจผิดและจับกุมองค์ชายเจ็ดตัวน้อยมาด้วยเพราะเขาจำองค์ชายเจ็ดไม่ได้ และไม่คิดว่าบ้านหลังนั้นจะเป็นทรัพย์สินของพระชายาสามที่เขามิอาจเสียมารยาทได้ และแล้วโศกนาฏกรรมจึงเริ่มขึ้นด้วยเหตุนี้พ่ะย่ะค่ะ เขาถูกองค์ชายสามจับเข้าคุก และเพื่อนร่วมงานของเขาต่างก็ต้องพลอยติดร่างแหไปด้วย ฝ่าบาท กระหม่อมไม่เข้าใจว่าองค์ชายสามทำเช่นนี้เพื่อแก้แค้นให้กับองค์ชายเจ็ดจริงๆ หรือเพราะองค์ชายสามกำลังปิดบังอะไรบางอย่างเอาไว้กันแน่พ่ะย่ะค่ะ”
————————————–
[1] ยามอู่ หมายถึง ช่วงเวลา 11.00-12.59 น.