องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 381 อิทธิพลขององค์ชาย
“องค์ชายสามจะแต่งอนุภรรยาหรือ” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ร้องไห้อย่างหนัก “ต่อให้เขาจะเลือกใครสักคนมาจริง แต่ข้าจะยังเป็นหนึ่งในนั้นได้หรือ”
หลังจากสูดหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งในที่สุดซูเหยียนโม่ก็สงบจิตใจลงได้ “แน่นอน แน่นอนอยู่แล้ว เจ้าคงลืมไปแล้วว่าจักรวรรดิจ้านหลงของเรามีบัญญัติว่าองค์รัชทายาทจะต้องเลือกหญิงสาวผู้เพียบพร้อมมาปรนนิบัติรับใช้ก่อนอายุครบยี่สิบ นังตัวกาลกิณีอย่างเฮ่อเหลียนเวยเวยอาจจะไม่ได้ไร้ความสามารถเช่นก่อนหน้านี้เพราะนางได้พลังปราณของตนกลับคืนมาแล้ว แต่ใบหน้าของนางก็ยังอยู่ห่างไกลจากคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมอยู่ดี ยิ่งกว่านั้นองค์ชายสามก็ยังเป็นผู้ที่อดีตฮ่องเต้เลือกให้เป็นรัชทายาท ถ้าเขาไม่เลือกผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบเป็นพระชายา เช่นนั้นเขาก็จะต้องสละบัลลังก์! และเขาคงไม่ได้โง่ถึงเพียงนั้นแน่!”
ทันทีที่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ได้ฟัง ดวงตาของนางก็เริ่มเป็นประกายไปด้วยความหวัง “แต่ชื่อเสียงปัจจุบันของข้า…”
“เจียวเอ๋อร์ จำไว้ว่าเจ้าคือพระชายาที่สี่ตระกูลใหญ่ระบุตัวเอาไว้ ชื่อเสียงแย่ๆ พวกนี้อยู่กับเราได้เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น เมื่อถึงพิธีคัดเลือก พวกเราจะตอบแทนความอัปยศทั้งหมดที่เราจำต้องทนให้นังตัวกาลกิณีนั่นได้ลิ้มรสอย่างสาสม” ใบหน้าของฮูหยินซูดำทะมึนขึ้นในทุกครั้งที่นางพูด นิ้วของนางกำเข้าหากันแน่นจนเล็บจิกเข้าไปกลางฝ่ามือของตน
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ยังคงสะอื้นอยู่ “แล้วตอนนี้ล่ะเจ้าคะ ทุกคนจะต้องว่าร้ายข้า ทันทีที่ข้าก้าวเท้าออกจากบ้านแน่”
“นังผู้หญิงปากตำแยพวกนั้น!” ฮูหยินซูขึ้นเสียง แม้เรื่องนี้จะกวนใจนางพอๆ กับที่มันกวนใจเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ แต่หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ลดสายตาลง แล้วเสริมว่า “พวกเราจะไปอยู่ที่เฉิงเต๋อกันสักสองวัน ท่านตาของเจ้ามีจวนอีกหลังอยู่ที่นั่น เหลืออีกเพียงไม่กี่วันองค์ชายสามก็อายุใกล้จะครบยี่สิบแล้ว พวกเราค่อยกลับมาตอนที่เรื่องราวในเมืองหลวงสงบลงก็แล้วกัน”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์คิดว่านั่นเป็นความคิดที่ดีเป็นอย่างยิ่ง นางจึงพยักหน้าเล็กน้อย
แต่ความเกลียดชังในดวงตาของซูเหยียนโม่ไม่คลายลงเลยแม้แต่น้อยในระหว่างที่นางกำลังลูบผมยาวของบุตรสาวสุดที่รัก
หลังจากที่ปลอบเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เสร็จ นางก็ตัดสินใจว่าจะลองติดสินบนคนจากวังหลวงด้วยเงินจำนวนหนึ่งดู หวังว่าคนคนนั้นจะสามารถช่วยร้องขอความเมตตาให้กับอัครเสนาบดีซูได้
อย่าว่าแต่จะรับข้อเสนอของนางเลย ไม่มีใครยอมพบนางเลยด้วยซ้ำ
ซูเหยียนโม่เริ่มรู้สึกร้อนใจ ดังนั้นนางจึงเรียกตัวพ่อบ้านของตนมาแล้วบอกให้เขาไปหาเฮ่อเหลียนกวงเย่า
ในเวลานั้นเฮ่อเหลียนกวงเย่ากำลังโอบหลานเหลียนพลางดื่มสังสรรค์อยู่ที่หอเล็กๆ พร้อมกับขุนนางที่เขาสนิทด้วยจำนวนหนึ่ง ทันใดนั้นก็มีคนเดินเข้ามาในห้อง
เมื่อเห็นว่าเฮ่อเหลียนกวงเย่ากำลังใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ขุนนางที่เกลียดชังเขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงเอ่ยปากขึ้นด้วยท่าทางประหลาดใจว่า “อย่าบอกนะขอรับว่าท่านพี่กวงเย่ายังไม่ทราบเรื่องนั้น”
เฮ่อเหลียนกวงเย่าหัวเราะเย็นชา “มีเรื่องอันใดที่ข้าควรจะต้องรู้ด้วยหรือ” เขาถามกลับด้วยท่าทางอวดดี
“ภรรยาตามกฎหมายของท่าน ซูเหยียนโม่เพิ่งถูกแห่ประจานรอบเมืองไปขอรับ” เขาส่งเสียงหัวเราะขึ้นขณะเอ่ยตอบ “มีคนมายืนมุงดูภรรยาของท่านกล่าวคำสำนึกผิดกันเป็นจำนวนมากทีเดียวขอรับ…”
ทันทีที่ได้ยินคำว่า ’แห่ประจานรอบเมือง’ บรรดาขุนนางที่อยู่ที่นั่นต่างก็หูผึ่งในทันที พวกเขาฟังชายคนนั้นเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างตั้งอกตั้งใจ หลังจากนั้นพวกเขาจึงหันหน้าไปทางเฮ่อเหลียนกวงเย่า สายตาที่พวกเขามองเขานั้นเต็มไปด้วยความคับข้องใจ
สมองของเฮ่อเหลียนกวงเย่าว่างเปล่าไปชั่วขณะ ทันใดนั้นมือของเขาที่วางอยู่บนตักก็ค่อยๆ กำเข้าหากันแน่น
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ผู้หญิงคนนั้นตัดสินใจเองโดยพลการอีกแล้ว!
ทั้งที่เขาเตือนให้นางห้ามตัวเองเอาไว้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วแท้ๆ!
แต่นางกลับไม่ฟังคำพูดของเขา และเลือกที่จะทำให้เรื่องวุ่นวายขึ้นมาถึงเพียงนี้แทน!
อีกทั้งนางยังทำให้เขาต้องพลอยเสื่อมเสียชื่อเสียงไปด้วย ในจำนวนขุนนางที่อยู่ที่นี่ทั้งหมด ไม่มีสักคนที่มีภรรยาถูกแห่ประจานรอบเมืองเช่นนั้น!
เฮ่อเหลียนกวงเย่าทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาแทบจะกำจอกที่อยู่ในมือแตกเป็นเสี่ยง และสาเหตุหลักนั้นก็มาจากบรรยากาศเสียดสีที่เกิดขึ้นทั้งอย่างจงใจและไม่จงใจนั้น
ก่อนหน้านี้ขุนนางพวกนี้ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่ข้างเขา ไม่มีใครกล้าพอที่จะทำตัวเสียมารยาทกับเขาแม้แต่คนเดียว
แต่ตอนนี้พวกเขากลับมองเขาราวกับเป็นลิงในคณะละครสัตว์ก็ไม่ปาน!
เฮ่อเหลียนกวงเย่ารู้ว่าในเวลานี้เขาจะสูญเสียความเยือกเย็นของตนไปไม่ได้เด็ดขาด มิฉะนั้นเขาคงได้กลายเป็นตัวตลกในสายตาของขุนนางเหล่านี้แน่
เขาลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าที่ราบเรียบ แล้วกล่าวขอตัวกับคนอื่นๆ
ทันใดนั้นเด็กสาวที่ชื่อหลานเหลียนก็คว้าเขาเอาไว้ “ใต้เท้า อย่าคิดมากนะเจ้าคะ” นางเอ่ยด้วยท่าทางเอียงอาย
เฮ่อเหลียนกวงเย่าคิดว่าเขาคงไม่ต้องเสียชื่อเสียงต่อหน้าคนอื่นมากมายถึงเพียงนี้หากยายแก่นั่นคิดถึงความรู้สึกของคนอื่นได้สักครึ่งหนึ่งของเหลียนเอ๋อร์ เขารวบเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าเข้าสู่อ้อมกอดของเขาอีกครั้งอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้
ความมืดยามค่ำคืนคืบคลานเข้ามา
ซูเหยียนโม่นอนไม่หลับเมื่อรู้ว่าอัครเสนาบดีซูยังคงคุกเข่าอยู่นอกวังหลวง นางทำได้เพียงรอคอยอย่างมีความหวังว่าการการกลับมาของเฮ่อเหลียนกวงเย่าจะช่วยนางได้
ในที่สุดความหวังของนางที่จะให้เขากลับมาก็เป็นจริง แต่นางกลับได้รับฝ่ามือหนักๆ เป็นการต้อนรับ!
“ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งกี่หนแล้วว่าทันทีที่การประชุมของตระกูลสิ้นสุดลง นังเด็กกาลกิณีนั่นก็จะได้พบจุดจบของตัวเอง! แต่เจ้ากลับเลือกที่จะทำให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่โต ตอนนี้เจ้าคงมีความสุขแล้วใช่หรือเปล่าที่สร้างปัญหาให้คฤหาสน์ผู้พิทักษ์เสื่อมเสียชื่อเสียง?!” เฮ่อเหลียนกวงเย่าระบายโทสะอันเกิดจากความอัปยศที่เขาเจอในวันนี้ใส่ซูเหยียนโม่
แม้ใบหน้าของซูเหยียนโม่จะบวมเพราะถูกตบ แต่นางก็ไม่กล้าปริปากบ่น แทนที่จะเป็นเช่นนั้นนางกลับคว้ามือของเฮ่อเหลียนกวงเย่าแล้วเอ่ยว่า “ท่านพ่อยังคุกเข่าอยู่ที่วังหลวง ข้าเป็นห่วงเขา ข้าเกรงว่าเขาก็อายุปูนนั้นแล้ว เขาอาจจะไม่สามารถผ่านบทลงโทษนี้ไปได้”
ความโกรธที่อยู่ในอกของเฮ่อเหลียนกวงเย่าสงบลงแล้ว แต่เขาก็ยังรำคาญเสียงสะอื้นของซูเหยียนโม่อยู่ แม้เขาจะรู้ดีว่าไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ยังเกี่ยวดองกัน หากมีใครคนหนึ่งชนะ ก็เท่ากับว่าพวกเขาจะได้รับชัยชนะนั้นไปด้วย เช่นเดียวกัน หากมีใครคนหนึ่งเสื่อมเสียชื่อเสียง ทั้งนางกับเขาก็จะพลอยเสื่อมเสียไปด้วย
ยิ่งกว่านั้น ต่อให้สายลับของพวกเขาจะถูกกำจัดไปจนหมดแล้ว แต่ตระกูลซูก็ยังมีอำนาจทางทหารของเมืองหลวงอยู่ในมือ
เขาย่อมไม่ปฏิเสธคำขอร้องให้ช่วยเหลืออัครเสนาบดีซู เพราะเขายังจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากอีกฝ่ายอยู่ แต่อย่างน้อยเขาก็ต้องทำอะไรให้เป็นรูปเป็นร่างเพื่อให้ซูเหยียนโม่ได้เห็นว่าเขาทุ่มเทความพยายามของตนเพื่อช่วยเหลืออัครเสนาบดีซูจริง
ซูเหยียนโม่เห็นว่าเฮ่อเหลียนกวงเย่านำเงินออกมาเป็นจำนวนมาก นางไม่รู้เจตนาที่แท้จริงของเขา และเชื่อว่าเขาพร้อมที่จะสละเงินมากถึงเพียงนั้นเพื่อซื้อใจบรรดาขุนนางให้ช่วยบิดาของตน
นางไม่ฉุกใจคิดแม้แต่นิดเดียวเลยว่ามีเงินเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นที่ถูกใช้เพื่อการนั้นจริง แต่เงินที่เหลือส่วนมากนั้นกลับกลายเป็นของขวัญให้กับหลานเหลียนที่อยู่ในหอเล็กๆ แห่งนั้นต่างหาก…
ที่ด้านนอกนั้นเมฆฝนก้อนใหญ่กำลังก่อตัวในขณะที่อัครเสนาบดีซูยังคงคุกเข่าอยู่ที่เดิม ลมหายใจของเขาแผ่วเบาลงทุกขณะพร้อมกับสีสันบนใบหน้าที่ซีดลงเรื่อยๆ
สุดท้ายเขาก็ลงเอยด้วยการนั่งคุกเข่าอยู่จนถึงรุ่งสางในวันถัดมา
บรรดาเพื่อนร่วมงานของเขาต่างส่ายหน้าเมื่อเดินผ่านมาเห็นเขาระหว่างทางไปประชุมราชสำนักในตอนเช้า
อัครเสนาบดีซูไม่เคยคิดมาก่อนว่าคนชั้นสูงอย่างเขาที่ควรจะได้ใช้ชีวิตอันสงบสุขในช่วงบั้นปลายของชีวิตกลับต้องมาพบกับการลงโทษและความอัปยศเช่นนี้
เขาหมดสติไปเพราะอารมณ์รุนแรงที่ก่อตัวขึ้น เมื่อเขาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ขาข้างซ้ายของเขาก็ไร้ความรู้สึกไปเสียแล้ว ต่อไปในอนาคต เวลาที่เขาจะเดินไปไหนก็คงหนีไม่พ้นต้องใช้ไม้เท้าช่วยเป็นแน่!
อัครเสนาบดีซูจะกล้ำกลืนฝืนทนกับความอับอายเช่นนี้ได้อย่างไร!
แต่มันก็ไม่มีทางเลือก เพราะวิธีการของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั้นชั่วร้ายเกินไป ต่อให้อัครเสนาบดีซูนำเรื่องนี้เข้าไปโต้เถียงในการประชุมของราชสำนัก แต่เขาก็ไม่สามารถระบุความผิดของอีกฝ่ายได้แม้แต่ข้อเดียว
แม้เขาจะรู้สึกเจ็บใจ แต่ก็ทำได้แค่อดทนเท่านั้น!
เฮ่อเหลียนกวงเย่าเป็นคนที่รู้ว่าตนควรจะปฏิบัติตัวอย่างไร เขารีบไปหาอัครเสนาบดีซูที่จวนทันทีที่เขาถูกปล่อยตัว
“ข้าประเมินนังเด็กนั่นจากจวนของเจ้าผิดไปจริงๆ” อัครเสนาบดีซูหายใจเข้าลึกพลางมองเฮ่อเหลียนกวงเย่า
“ข้า เฮ่อเหลียนกวงเย่าไม่เคยมีตัวกาลกิณีที่ไร้มารยาทเช่นนั้นอยู่ในครอบครัวขอรับ” เขาระเบิดเสียงหัวเราะอันเย็นชาและเปี่ยมไปด้วยความเกลียดชังออกมา พร้อมกับพูดต่อ “ท่านพ่อตาไม่ต้องเป็นห่วงนะขอรับ ไม่ว่านางจะพยายามมากเพียงใด แต่นางก็จะไม่มีวันได้ในสิ่งที่ต้องการแน่นอนขอรับ หลังจากการประชุมของตระกูลเฮ่อเหลียนจบลง นางก็จะได้รู้ซึ้งถึงชะตากรรมอันเลวร้ายที่รอคอยนางอยู่ในข้อหากล้ามาทำตัวเสียมารยาทกับพวกเราขอรับ…”