องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 382 ระหว่างองค์ชายกับเวยเวย
“อีกอย่างหนึ่ง” เฮ่อเหลียนกวงเย่าเงียบไปครู่หนึ่ง น้ำเสียงของเขาฟังดูหดหู่ยิ่งกว่าที่เคย “นังเด็กแพศยานั่นดูเหมือนจะถูกสิงขอรับ นางจะสูญเสียความไว้วางใจทั้งหมดที่ตนมีแน่หากนางเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา เมื่อถึงตอนนั้นอดีตฮ่องเต้ก็คงจะไม่คัดค้านหากพวกเราเสนอให้จับนางเผาทั้งเป็นเสีย บางทีเขาอาจจะรังเกียจนางมากกว่าพวกเราเสียอีก! ข้าเตรียมการทุกอย่างไว้ที่สำนักแล้ว ดังนั้นในระยะนี้ที่นั่นคงจะไม่สงบสุขนัก และมันจะทำให้พลังปราณของคนที่ถูกสิงปั่นป่วนไปด้วย ท่านพ่อตารอดูเถิดขอรับ นังเด็กแพศยานั่นจะต้องเผยพิรุธออกมาแน่!”
คืนหนึ่ง สายลมเย็นยะเยือกพัดไปทั่วทั้งสำนักพร้อมกับสายฝน
เฮ่อเหลียนเวยเวยพลิกตัวเข้าหาความอบอุ่นโดยอัตโนมัติ และจมลงในห้วงนิทราอันลึกล้ำยิ่งกว่าเดิม
อาจเป็นเพราะว่าช่วงนี้นางเหนื่อยเกินไป ช่วงครึ่งแรกของคืนจึงไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่นางรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงใครบางคนเรียกชื่อนางซ้ำแล้วซ้ำเล่าตอนครึ่งหลังของกลางดึก
นางยังไม่ตื่น และยังคงนอนอยู่บนเตียงพร้อมกับขมวดคิ้วไปด้วยราวกับว่านางได้เห็นในสิ่งที่ไม่ชอบใจนัก
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่รู้ว่านางมาอยู่ที่สวนหน้าตาหดหู่นี่ได้อย่างไร
มีโคมขนาดใหญ่แขวนอยู่ในสวน นางได้ยินเสียงสะอื้นไห้ดังอยู่ไกลๆ
นางหันมองไปทางซ้ายและขวาโดยไม่รู้ตัว ตอนที่นางออกเดิน นางกลับรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เดินอยู่จริงๆ มันให้ความรู้สึกเหมือนนางกำลังเดินอยู่บนปุยนุ่นไม่มีผิด
หลังจากเดินมาได้ครู่หนึ่ง นางจึงตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
แม้ว่านางจะไม่มีพลังปราณแม้แต่นิดเดียว แต่นางก็ไม่ใช่คนอ่อนแอ เพราะนางยังมีแรงกายอยู่
ไหล่ของนางหนักขึ้นทุกครั้งที่นางก้าวขา นางรู้สึกเหมือนมีบางอย่างกำลังกดทับนางอยู่
เฮ่อเหลียนเวยเวยที่ไม่รู้ว่าตัวเองเดินมานานเพียงใดตัดสินใจหยุดฝีเท้าลง นางรู้ว่าหากนางยังคงเดินต่อ สถานการณ์ก็คงจะยิ่งไม่ดีต่อนางมากขึ้นเรื่อยๆ
แม้ว่านางจะรู้สึกมึนหัวเล็กน้อย แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยก็แตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไป นางเคยได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี และไม่ว่าจะฝ่ายธรรมะหรืออธรรมต่างก็รู้ดีว่านางมีชื่อเสียงในด้านการต้านทานยาสลบเพียงใด
ในไม่ช้านางก็เจอกับปัญหาที่ว่า นั่นคือสถานที่แห่งนี้ผิดปกติ
เพราะสถานที่แห่งนี้เหมือนกับที่ที่นางเพิ่งเดินออกมาก่อนหน้านี้ไม่มีผิด
ครั้งนี้นางจึงเลือกที่จะไม่เดินต่อ
เฮ่อเหลียนเวยเวยพยายามเพ่งสมาธิไปที่ความคิดฟุ้งซ่านของตนอย่างสุดความสามารถ นางจำได้เลือนรางว่าที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่มีอยู่จริง เพราะฉะนั้นนางจะต้องกำลังฝันอยู่แน่ๆ!
เพียงแต่ว่าความฝันนี้แตกต่างจากความฝันที่จู่ๆ ก็วาบผ่านเข้ามาเมื่อครั้งก่อน ความฝันนี้ยาวนานยิ่งนัก และนางก็ยังไม่สามารถปลุกให้ตัวเองตื่นขึ้นได้อีกด้วย
ในยุคปัจจุบันนั้นมีผู้คนมากมายที่เสียพลังงานไปในระหว่างที่ฝัน
ตอนนี้นางก็กำลังรู้สึกแบบเดียวกัน เพราะนางรู้ว่าเรื่องราวทั้งหมดยังอยู่ห่างไกลจากตอนจบยิ่งนัก
ที่ด้านหน้าของนางมีผู้หญิงที่หน้าตาเหมือนนางอย่างกับแกะปรากฏขึ้น ความแตกต่างเดียวที่มีคือดวงตาของผู้หญิงคนนั้นดูเศร้าโศกมากกว่านาง ผู้หญิงคนนั้นดูน่าสงสาร และร่างกายของนางก็เปียกปอนราวกับว่านางเพิ่งขึ้นมาจากทะเลสาบก็ไม่ปาน นางโคลงตัวไปมาอยู่ข้างทะเลสาบพลางมองเฮ่อเหลียนเวยเวย น้ำเสียงของนางฟังดูเศร้าสร้อย “ทำไมเจ้าไม่คืนร่างให้ข้าล่ะ ทำไม…”
ฟุ่บ!
เฮ่อเหลียนเวยเวยลืมตาขึ้นทันที และเห็นชายคนหนึ่งกำลังปัดเส้นผมชื้นเหงื่อออกไปจากหน้าผากของนาง นางชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “เป็นท่านนี่เอง” นางรู้สึกไม่สบายใจเพราะความฝันเมื่อครู่นี้
“เจ้าฝันร้าย” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก้มหน้าลงมา พร้อมกับมองนางด้วยสายตาราบเรียบ ตอนนี้เขาแต่งตัวแตกต่างไปจากเดิม อาจจะเพราะเขากลับคืนสู่ฐานะที่แท้จริงของตนแล้วก็เป็นได้ เขาไม่จำเป็นต้องสวมเสื้อคลุมบัณฑิตสีเขียวอีกต่อไป แต่กลับสวมเสื้อคลุมลายภูเขาฉางอู่ยาวถึงเอวแทน เขามีโครงหน้างดงามไร้ที่ติ และผิวพรรณขาวสะอาด ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยพลังอันน่าดึงดูดที่ทำให้ใครก็อยากเข้าไปมองใกล้ๆ โดยเฉพาะดวงตาคู่งามคู่นั้น เขาพูดขึ้นด้วยดวงตาเป็นประกายว่า “เจ้าฝันถึงอะไรหรือ”
“ไม่มีอะไร” แน่นอนว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมไม่สามารถบอกเรื่องเจ้าของที่แท้จริงของร่างนี้ให้เขารู้ได้ นางบิดขี้เกียจ และรู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก
ถ้าเขารู้ว่านางถูกสิง เขาจะทำเหมือนกับว่านางเป็นปีศาจและส่งนางให้ทางการหรือเปล่า
“เขาต้องทำเช่นนั้นแน่ เจ้าอย่าได้คิดถึงเรื่องนั้นเชียวนะแม่นาง” เสียงของหยวนหมิงดังขึ้นในหัวของนาง “แม่นาง ข้าขอแนะนำให้เจ้าลองเอาเรื่องการเสพสังวาสไปคิดดูให้ดี เจ้าจะได้ประโยชน์มากทีเดียวหากเจ้าได้องค์ชายสามมา”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหาวออกมาครั้งหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกียจคร้านว่า “หยวนหมิง ข้าจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย หุบปากซะ”
หยวนหมิงเคยเอ่ยถึงเรื่องนี้มาก่อนแล้ว ก็จริงอยู่ที่การเสพสังวาสนั้นดีต่อการพัฒนาพลังปราณของพวกนาง
แต่หลังเสร็จสิ้นการเสพสังวาส ฝ่ายที่เป็นคนมอบพลังชีวิตให้จะต้องสูญเสียพลังปราณของตน และกลายเป็นคนธรรมดาไปราวสองวัน
ในเวลานี้ที่ฐานะแท้จริงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถูกเปิดเผยออกมาแล้ว หากเขาสูญเสียพลังปราณไปละก็ คงไม่อาจเลี่ยงเหตุการณ์อันไม่คาดฝันที่จะเกิดขึ้นในสำนักได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังขัดขืนความร้อนรุ่มภายในร่างกายของตนอยู่ ในช่วงสองสามวันมานี้ทักษะความอดทนของนางก็พัฒนาขึ้นเช่นกัน แต่ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม จากที่หยวนเสี่ยวหมิงบอกไว้ อารมณ์ของนางจะยิ่งรุนแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในคืนวันพระจันทร์เต็มดวง แต่นางจะกลับเป็นปกติในวันถัดมาตราบใดที่นางสามารถผ่านคืนวันพระจันทร์เต็มดวงนั้นไปได้
ที่ด้านหลังภูเขาของสำนักไท่ไป๋มีบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติอยู่ เมื่อถึงเวลานั้น นางน่าจะสามารถผ่านมันไปได้ด้วยการกางอาณาเขตและแช่น้ำสักคืนหนึ่ง อย่างแย่ที่สุดหลังจากนั้นนางก็คงแค่เป็นไข้เท่านั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยได้ยินเสี่ยวไป๋บอกกับนางผ่านทางกระแสจิตระหว่างที่นางกำลังคิดถึงเรื่องนั้นว่า “เรื่องเสพสังวาสอะไรนั่นเอาไว้ทีหลังก็แล้วกัน ระยะนี้พลังปราณรอบๆ สำนักไท่ไป๋ค่อนข้างปั่นป่วนยิ่งนัก และเจ้าเองก็คงจะพลอยได้รับผลกระทบจากมันไปด้วย ความฝันที่เจ้าเพิ่งฝันไปเมื่อครู่นี้ก็เป็นหนึ่งในสัญญาณเหล่านั้น เจ้าระวังตัวไว้จะดีกว่า คนที่ถูกสิงมักจะถูกคนอื่นมองออกได้ง่ายๆ ในเวลาเช่นนี้ และที่สำคัญที่สุด องค์ชายสามกับเจ้าก็อยู่ด้วยกันทั้งวัน เขาเป็นผู้ชายที่น่ากลัวมาก ดวงตาของเขา…”
ทันใดนั้นเสี่ยวไป๋ก็หยุดพูดไปเสียดื้อๆ
มันชะงักไปเพราะมือที่จู่ๆ ก็ปรากฏเข้ามาในสายตา
มือนั้นคว้าเข้าที่คอของมันอย่างแม่นยำ นิ้วทุกนิ้วของมือนั้นไร้ซึ่งความอบอุ่น
เสี่ยวไป๋ไม่พอใจเขาเป็นอย่างมาก การเคลื่อนไหวของมันแข็งทื่อ
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดว่าชายคนนี้คงสังเกตเห็นอะไรบางอย่างเข้าเสียแล้ว นางหยุดหายใจไปหนึ่งวินาที
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับใช้เวลาครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ นางคาดเดาอารมณ์ของเขาจากคำพูดเหล่านั้นไม่ได้แม้แต่น้อย เขาใช้นิ้วของตนลูบขนของเสี่ยวไป๋ บนใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มแห่งความไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้ชัดในขณะที่กล่าวว่า “ปกติมันนอนที่นี่หรือ”
ใช่ เฮ่อเหลียนเวยเวยพยักหน้าแทนคำตอบ
จากนั้นนางก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก สรุปว่านี่คือสิ่งที่เขาอยากถามสินะ…
หลังจากที่นางพยักหน้าให้ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็คว้าตัวเสี่ยวไป๋ขึ้นแล้วโยนมันให้กับชิงจ้านที่ยืนอยู่ด้านนอกของฉากกั้นห้อง เขาเอ่ยขึ้นมาเพียงสองสามคำว่า “จับไปตอนซะ”
เสี่ยวไป๋ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่ใจเย็นที่สุดในโลกถึงกับคำรามออกมา!
ไม่ว่าอย่างไรมันก็ยังเป็นถึงองค์ชายของเผ่าแมวเชียวนะ ต่อให้มันจะอยู่ในร่างสัตว์ แต่มันก็ไม่เชื่อหรอกว่าด้วยสายตาเหนือมนุษย์ของชายผู้นี้ เขาจะมองฐานะที่แท้จริงของมันไม่ออก
เขาต้องจงใจทำเช่นนี้แน่ เขาจงใจ!
เฮ่อเหลียนเวยเวยงง จับมันตอนหรือ โอ้ สวรรค์! หมายความว่าเสี่ยวไป๋กำลังจะสูญพันธุ์หรือ
“เดี๋ยวก่อน” เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สนใจว่าองค์ชายสามจะเป็นโรคคลั่งความสะอาดเพียงใด นางรีบวางมือของตัวเองลงไปบนมือของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอย่างรวดเร็ว “จับมันตอนไม่ได้นะ”