องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 388 คัดเลือกสนมหรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่คิดว่าในเวลานี้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะมีเวลาไปตรวจสอบปราณแห่งความโกรธแค้นด้วยกันกับนาง
ใกล้จะถึงวันคัดเลือกพระสนมเข้ามาเต็มที ไม่ว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะอยากมีพระสนมหรือไม่ แต่อย่างไรเขาก็ต้องหาทางออกสำหรับปัญหานี้อยู่ดี
ศีรษะของเฮ่อเหลียนเวยเวยหนักอึ้ง มิหนำซ้ำอากาศร้อนอบอ้าวนี้ก็ยิ่งทำให้อาการนั้นแย่ลงอีก เดินได้เพียงแค่ก้าวสองก้าว แผ่นหลังของนางก็ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเสียแล้ว มันทำให้นางยิ่งรู้สึกหงุดหงิดเข้าไปใหญ่
การออกมาข้างนอกแล้วถูกแสงแดดแผดเผานั้นเป็นความรู้สึกที่เลวร้ายทีเดียว แต่การอยู่แต่ในห้องก็ทำให้นางรู้สึกอุดอู้เช่นกัน
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่เคยคิดเลยว่านางจะคิดถึงเครื่องปรับอากาศจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดมากถึงเพียงนี้
บอกตามตรงว่านางก็ยังลังเลอยู่เล็กน้อย
ถ้ามีหนทางที่นางจะสามารถกลับไปยังโลกยุคปัจจุบันได้จริง เช่นนั้นหลังจากที่นางจัดการเรื่องทางนี้เสร็จสิ้นแล้ว นางจะสามารถกลับไปได้หรือเปล่า
ตั้งแต่มาที่นี่ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน เพราะนางชินกับการทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ว่านางจะไปที่ไหน สิ่งแรกที่นางคิดก็คือการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของที่นั่น
แต่ตอนนี้ในเมื่อนางมีความคิดเช่นนี้แล้ว มันย่อมไม่มีทางหายไปง่ายๆ
แต่อย่างไรเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยังคงรักษาความมีเหตุผลเฉพาะตัวของนางเองเอาไว้ได้
นางรู้ว่าเรื่องสำคัญที่สุดในเวลานี้ไม่ใช่ทั้งการหยุดยั้งปราณแห่งความโกรธแค้น หรือคิดเรื่องการกลับไปสู่โลกยุคปัจจุบัน
แต่สภาพร่างกายของนางต่างหากที่สำคัญที่สุด
คืนพระจันทร์เต็มดวงใกล้เข้ามาแล้ว
นางต้องเตรียมการทุกอย่างให้เสร็จก่อนหน้านั้น ดังนั้นนางจึงไม่อาจเอ้อระเหยได้ นางจำเป็นต้องใช้ทุกหนทางที่ทำได้ นางจึงเชิญให้คุณชายรองเฮยมาพบกันที่ย่านการค้า
ตอนที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินเข้าไปในย่านการค้า มันก็ตรงกับเวลาทานอาหารกลางวันพอดี
บรรดาผู้คนที่กำลังทานข้าวกันอยู่เหลียวมองนางทีละคน ก่อนจะเบือนหน้าหนีโดยไม่รู้ตัว “ไม่แปลกใจเลยที่ฮ่องเต้ทรงต้องการให้องค์ชายสามเลือกพระชายาใหม่อีกครั้ง เจ้าดูเฮ่อเหลียนเวยเวยสิ หน้าตาของนางช่างเหลือทนจริงๆ เฮ้อ!”
“เช่นนั้นแม่นางอวิ๋นก็ยังคงมีโอกาสอยู่” ใครคนหนึ่งพูดขึ้น “เจ้าจำครั้งล่าสุดที่ทุกคนถูกลงโทษ ยกเว้นแม่นางอวิ๋นได้หรือเปล่า ตอนนี้เจ้าก็คงรู้แล้วสิว่าใครคือคนที่องค์ชายสามรักจริงๆ…”
ในขณะที่คนพวกนั้นกำลังพูดคุยกันอยู่ จู่ๆ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็รู้สึกแน่นหน้าอกขึ้นมาอย่างกะทันหัน มีความเป็นไปได้ว่ามันคงเกิดจากความรู้สึกที่อยู่ในร่างกายของนางอีกแล้วกระมัง
ข้าคงเบื่อเรื่องนี้เต็มทนแล้วจริงๆ
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มเยาะตัวเอง นางกระดกน้ำเย็นๆ เข้าไปหนึ่งถ้วย แล้วยกมือขึ้นพัดให้ตัวเอง จากนั้นนางก็ได้ยินน้ำเสียงทุ้มลึกแต่กลับหวานหยดย้อยดึงขึ้นข้างหู “มาคนเดียวหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเงยหน้าขึ้น และสบเข้ากับดวงตายิ้มแย้มดูอ่อนโยนคู่หนึ่ง ดวงตาคู่นั้นดูบริสุทธิ์ยิ่งกว่าใครในโลก พวกมันสง่างาม งดงาม และกระจ่างใสราวกับสายน้ำ
ชายคนนั้นส่งรอยยิ้มกว้างที่เหมือนจะสามารถดับความอบอ้าวในฤดูร้อนได้ให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวย “เจ้าไม่เบื่อหรือที่ต้องฟังคนพวกนี้คุยเรื่องไม่เป็นเรื่องกัน”
“ก็นิดหน่อย” เฮ่อเหลียนเวยเวยยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าคาง และกระตุกยิ้มออกมา “แต่ก็น่าสนใจดีทีเดียว คุณชายอู๋ซวงคิดว่าอย่างไร มันเหมือนกับดูละครอยู่เลยมิใช่หรือ”
จิ่งอู๋ซวงชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นจึงหัวเราะต่อ “ข้าคิดว่าข้ากลบเกลื่อนมันเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้วเสียอีก แต่เจ้ากลับมองเห็นความจริงที่ข้าซ่อนเอาไว้เข้าจนได้ คนพวกนี้น่าสนใจมากจริงๆ”
รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวย ขณะเดียวกันนางก็ขยับถ้วยชาของตนไปแตะกับถ้วยอีกใบที่อยู่บนโต๊ะ “เราบอกว่าจะดื่มชาด้วยกันอยู่บ่อยๆ แต่ไม่เคยได้มีเวลาดื่มด้วยกันจริงๆ สักครั้งเดียว วันนี้ข้าเลี้ยง เชิญคุณชายอู๋ซวง”
“เจ้าสามารถเรียกข้าว่าอู๋ซวงได้” น้ำเสียงไพเราะนุ่มนวลของจิ่งอู๋ซวงปลอบประโลมจิตใจผู้ฟังได้เป็นอย่างดี เขาเคลื่อนสายตาไปที่ข้อมือของเฮ่อเหลียนเวยเวย ก่อนจะกระแอมออกมา “ร่มพันกลไกใช้สะดวกดีหรือไม่”
เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบว่า “ค่อนข้างสะดวกดีทีเดียว ข้าทำการปรับแต่งมันเพิ่มด้วยนะ”
“จริงหรือ” จิ่งอู๋ซวงยื่นมือออกไป “ข้าขอดูได้หรือเปล่า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้ปฏิเสธคำขอของเขา นางดีดนิ้วเพียงครั้งเดียว ร่มสีดำคันหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของนาง
จิ่งอู๋ซวงรับมันมาจากนาง แล้วขยับคันร่มไปมา “สมกับเป็นเจ้าของคนดังของเวยเจ๋อ แม้กระทั่งการปรับแต่งเช่นนี้เจ้าก็ยังสามารถคิดขึ้นมาได้”
“ท่านลองเล่นกับมันดูสิ” เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ใส่ใจ พลังปราณของนางแตกต่างจากคนอื่น ต่อให้ใช้อาวุธชนิดใดก็ไม่ต่างกัน
จิ่งอู๋ซวงมองเฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วยิ้มออกมา “เจ้าคงเป็นคนเดียวบนแผ่นดินนี้ที่เห็นว่าอาวุธและการประกอบอาวุธเป็นสนามเด็กเล่น” ทันทีที่พูดจบ เขาก็ไอออกมาเล็กน้อย กลิ่นยาลอยอยู่ในอากาศยามที่เขาขยับแขนเสื้อ “วันนั้นตอนที่อยู่นอกเมือง ข้าคิดว่าเจ้าไม่อยากแต่งงานกับพวกเชื้อพระวงศ์เสียอีก”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าเขากำลังพูดถึงวันไหนอยู่ มันคือวันที่นางใช้ทุกวิถีทางที่นางมีเพื่อหลบหนีจากการจับกุมขององค์ชายสาม นางเท้าคางด้วยท่าทางเกียจคร้าน “ก็ใช่น่ะสิ ตอนนั้นข้าไม่อยากแต่งงานจริงๆ”
“เช่นนั้นทำไมเจ้าถึงเปลี่ยนใจหรือ” มือของจิ่งอู๋ซวงชะงักไป พร้อมกันนั้นเขาก็หันไปมองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยรอยยิ้มที่กว้างขึ้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่อยากเล่าเรื่องข้อตกลงระหว่างนางกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยให้ใครฟัง ดังนั้นนางจึงตอบสั้นๆ ว่า “ข้าคิดว่าองค์ชายสามไม่ใช่คนไม่ดี ดังนั้นข้าถึงได้ตกลงแต่งงานกับเขา”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง” จิ่งอู๋ซวงไม่ได้ซักถามอะไรต่อ
เขารู้อยู่เสมอว่าสมควรจะหยุดเมื่อใด
ยิ่งกว่านั้น เขาไม่ใช่คนที่จะปล่อยให้คนรอบข้างรู้สึกอึดอัด
คงเป็นเพราะกลิ่นหนังสือและกลิ่นยาอันรุนแรงรอบตัวเขานี่เองที่ทำให้ดูเหมือนกับว่าเขาสามารถเสกให้เวลาเดินช้าลงได้
แม้แต่ตอนที่เขาไม่ได้พูดอะไร ก็ยังทำให้ทุกคนรู้สึกสบายใจได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยหาว นางเริ่มรู้สึกง่วงนอนขึ้นมา
จิ่งอู๋ซวงมองนาง “เจ้าเหนื่อยหรือ”
“นิดหน่อย” เฮ่อเหลียนเวยเวยฟุบลงบนโต๊ะไม้
จิ่งอู๋ซวงมองเข้าไปในดวงตาของนาง “ช่วงนี้เจ้านอนไม่พอใช่หรือเปล่า”
“อืม” เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบ เมื่อคืนนี้นางก็เพิ่งฝันร้ายติดต่อกันไปถึงสามครั้ง และยิ่งกว่านั้นนางก็ยังต้องคอยระงับความต้องการที่จะเสพสังวาสอยู่เป็นระยะ ดังนั้นการที่นางจะนอนไม่พอจึงเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้
จิ่งอู๋ซวงลดสายตาลง ขนตายาวของเขาดูหนาและงดงามยิ่งนัก “เป็นเพราะองค์ชายสามกำลังจะเลือกพระสนมหรือ”
“เปล่า” เฮ่อเหลียนเวยเวยชะงัก แล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย “ไม่ใช่เพราะเขาหรอก แต่เป็นเพราะตัวข้าเอง น่าจะเป็นเพราะอากาศร้อนเกินไปน่ะ”
จิ่งอู๋ซวงจิบชาจากถ้วยเล็กน้อย แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวลว่า “ถ้าเจ้ารู้สึกไม่สบายใจ เจ้ามาดื่มชากับข้าได้เสมอ อย่าฝืนตัวเองเกินไปนัก ถ้าเจ้าไม่ชอบที่เขาจะแต่งสนมเข้ามาจริงๆ เจ้าก็แค่บอกเขาไปตามตรงเท่านั้น”
“ขอบใจ แต่…” เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังคงตอบอย่างอ้อมๆ ว่า “เขาจะอยากแต่งตั้งพระสนมหรือไม่นั้นก็เป็นเรื่องของเขา ข้าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว”
เขาเป็นองค์ชาย อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้ว่าเขาจะได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ต่อไปในอนาคตอีกด้วย
ต่อให้ครั้งนี้นางสามารถยื่นมือเข้าไปยุ่งได้
แต่ครั้งหน้าล่ะ
ถ้านางยื่นมือเข้าไปทำให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ตัวเองต้องการ เช่นนั้นในอนาคตนางก็คงได้กลายเป็นผู้หญิงประเภทเดียวกับฮองเฮาแน่ เป็นคนที่ยอมทำทุกอย่างเพียงเพื่อเรียกร้องความสนใจจากฮ่องเต้
นางไม่อยากกลายเป็นคนแบบนั้น
ดังนั้นนางจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้
ระหว่างที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกำลังเดินขึ้นบันไดมา เขาก็ได้ยินประโยคสุดท้ายนั้นเข้าพอดี ดวงตาคู่สวยของเขาแปรเปลี่ยนเป็นลึกล้ำทันที…
เฮ่อเหลียนเวยเวยก็เห็นเขาเช่นกัน เขาอยู่ในชุดเสื้อคลุมสีเขียวกับเสื้อขาว ขาของเขาทั้งยาวและเพรียว ความเย็นชาราวกับน้ำแข็งที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนั้นยิ่งเสริมความสมบูรณ์แบบให้กับรูปร่างทรงสามเหลี่ยมคว่ำของเขา
เขาถอดเสื้อกันลมของตัวเองออก แล้วโยนมันไว้ข้างๆ จากนั้นจึงหันหน้าไปจ้องตาเฮ่อเหลียนเวยเวย สายตาของเขากระจ่างใส แต่ก็ลึกเหมือนมหาสมุทรสีดำสนิทราวกับน้ำหมึก ตาคู่นั้นสามารถทำให้คนที่เห็นรู้สึกเหมือนจมน้ำได้เลยทีเดียว…