องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 390 เวยเวยเกิดความเสน่หา
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้กระหายขึ้นมาอีก ก่อนที่นางจะทันได้อ้าปาก สัมผัสนิ่มๆ แต่เย็นยะเยือกก็หยุดลมหายใจของนางเอาไว้เสียก่อน ความเย็นชาอันเป็นเอกลักษณ์นั้นทำให้นางต้องกลืนคำพูดทุกคำของตนกลับลงไป ลมหายใจร้อนแรงแผดเผาที่ยังคงหลงเหลือกลิ่นน้ำชาอยู่นั้นบังคับให้นางต้องเผยอริมฝีปากขึ้นก่อนที่นางจะทันได้ตั้งตัว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยคว้าเอวบางของเฮ่อเหลียนเวยเวย และดึงนางเข้าสู่อ้อมอกของเขา เขาลิ้มรสชาติความหอมหวานที่ควรจะเป็นของตนเหมือนกับพายุหมุน ทำราวกับว่ามันคือหนทางเดียวเท่านั้นที่จะสามารถสะกดความรู้สึกอยากกักขังนางเอาไว้อย่างไร้ความเมตตาได้
สมองของเฮ่อเหลียนเวยเวยว่างเปล่าเพราะรสจูบที่ถูกยัดเยียดให้อย่างหนักหน่วง นางรู้สึกเหมือนเลือดจะหมดตัว และสูญเสียความสามารถในการคิดวิเคราะห์ไปจนหมดสิ้น สุดท้ายเมื่อนางตั้งสติกลับมาได้ ทุกอย่างก็แปรเปลี่ยนเป็นความนุ่มนวลอันแสนหวาน…
ความรู้สึกตื่นเต้นอันชวนพิศวงทะยานขึ้นพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ดังอยู่ไกลออกไป
ความรู้สึกชาหนึบแล่นปราดมาตามแนวสันหลังของนางขึ้นไปถึงสมองราวกับกระแสไฟฟ้า เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกหมดเรี่ยวแรง
นางคงได้ตกเป็นศูนย์กลางความสนใจของใครต่อใครแน่ถ้าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้กดใบหน้าของนางเอาไว้แนบอก
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองเฮ่อเหลียนเวยเวยที่อยู่ในวงแขน มุมปากของเขากระตุกขึ้นอย่างซุกซน เขาอยากรู้ว่าร่างกายของนางจะขัดขืนเขาได้อีกนานเพียงใด
หึ ขัดขืนไปเถอะ ยิ่งนางขัดขืน เขาก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น ผ่านมานานถึงเพียงนี้แล้วแท้ๆ แต่นางก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงไม่มีโอกาสหนีรอดไปจากเงื้อมมือของเขาได้เลยหรือ
ลมหายใจของทั้งสองถี่กระชั้นขณะที่ร่างแนบชิดกัน
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่าร่างทั้งร่างของตนร้อนรุ่มไปด้วยความกระหาย นางคิดอะไรไม่ออก ดังนั้นจึงทำได้เพียงแค่ก้าวเท้าตามจังหวะของอีกฝ่ายเท่านั้น หากไม่ใช่เพราะในสมองของนางยังพอมีสติรับรู้อยู่บ้าง ผลที่ตามมาก็คงจะน่าหวาดหวั่นทีเดียว
ด้วยเหตุนี้เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงรู้สึกไม่พอใจ “ท่านลงโทษข้าด้วยวิธีอื่นไม่ได้หรือ” การจูบกันเช่นนี้อาจจะทำให้พวกนางตกอยู่ในที่นั่งลำบากก็ได้
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยส่งเสียงตอบรับว่า “อืม” เขาใช้นิ้วลูบริมฝีปากบางของเฮ่อเหลียนเวยเวยที่กลายเป็นสีแดงจากจูบของตัวเอง แล้วกัดนางเบาๆ พร้อมยิ้มออกมาเล็กน้อย “เจ้าก็น่าจะผลักข้าออกไปได้ หรือเจ้าเพลิดเพลินกับมันมากเกินไปจนทำไม่ลงกัน”
ทันทีที่พูดจบ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ละมือออก แล้วค่อยๆ จัดชุดของตน จากนั้นเขาก็เดินออกไปที่ถนนใหญ่ด้วยท่าทางเหมือนกับนายพรานใจดีที่เพิ่งไว้ชีวิตเหยื่อของตัวเอง
กิเลนอัคคีปรากฏกายขึ้นรางๆ ที่ด้านหลังของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย มันไม่เข้าใจว่าทำไมเมื่อครู่นี้ผู้เป็นนายของตนถึงได้ทำตัวมีเมตตาเช่นนั้น
มันถามอย่างงุนงงว่า “นายท่านขอรับ ท่านจะปล่อยนางไปเช่นนั้นจริงๆ หรือขอรับ” นั่นมันไม่ใช่การลงโทษเลยด้วยซ้ำ ดูจากนิสัยของเจ้านายมันแล้ว เขาควรจะกินเหยื่อของตัวเองลงไปทั้งตัว การกระทำอันเปี่ยมไปด้วยความเมตตานั้นไม่สมกับเป็นนายท่านที่แสนเจ้าเล่ห์ของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหัวเราะ เสียงนั้นเต็มไปด้วยเสน่ห์ชั่วร้ายที่ทำเอาหนังศีรษะของทุกคนชาวาบ “เหยื่อจะอร่อยที่สุดก็ตอนที่นางถูกจู่โจมในช่วงอ่อนกำลังที่สุด”
ตอนแรกกิเลนอัคคีไม่เข้าใจคำพูดของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
แต่แล้วเขาก็ยิ้มชั่วร้ายออกมา แล้วเอ่ยว่า “ใกล้จะถึงคืนพระจันทร์เต็มดวงแล้ว”
กิเลนอัคคีเข้าใจได้ทันที
หึๆ นี่คือสิ่งที่นายท่านวางแผนเอาไว้นี่เอง
คืนพระจันทร์เต็มดวงเป็นช่วงเวลาที่พลังปราณของผู้ฝึกปีศาจจะปั่นป่วนที่สุด
โดยเฉพาะคุณหนูเฮ่อเหลียนที่มีอาการอย่างในปัจจุบัน เมื่อถึงวันนั้นนางย่อมต้องการให้ใครสักคนช่วยเป็นแน่…
ข้าว่านางน่าจะแสดงปฏิกิริยาอะไรสักอย่างออกมาในคืนนี้ นายท่านนี่จริงๆ เลย…
หลังจากกระแอมออกมาเบาๆ มันก็แอบจุดเทียนช่วยอธิษฐานให้กับคุณหนูเฮ่อเหลียนผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อยู่ในใจ
หลังจากได้รับบทเรียนสดๆ มาจากองค์ชายสาม ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนถนนเส้นยาวเส้นนั้นก็ฉายซ้ำๆ อยู่ในหัวของเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างไม่ขาดสาย
มันต่างจากก่อนหน้านี้ เพราะจูบของพวกนางในครั้งนี้แจ่มชัดเป็นอย่างยิ่ง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดถูก นางไม่ได้รู้สึกรังเกียจ ซ้ำยังเพลิดเพลินไปกับมันเสียอีก… นางปรารถนาอยากให้เขาทำต่อหลังจากเขาจูบนางไปครู่หนึ่งด้วยซ้ำ
แม้นางจะรู้สึกได้ถึงความละอายใจอันไม่อาจต้านทาน แต่ไม่ว่านางจะบ้วนปากไปสักกี่ครั้ง นางก็ยังคิดถึงสิ่งที่เขาพูดอยู่ดี
“ดูดมัน ยื่นลิ้นของเจ้ามาหาข้า หายใจทางจมูก…”
บัดซบ
เฮ่อเหลียนเวยเวยหายใจเข้าลึก ใครจะไปคิดว่าวันหนึ่งนางจะตกต่ำถึงเพียงนี้
ดูเหมือนว่านอกจากเรื่องการเสพสังวาสแล้ว มันจะยังมีอย่างอื่นอยู่ด้วย
นางคงรู้สึกรังเกียจ ถ้าคนที่ทำเช่นนั้นกับนางเป็นคนอื่น
แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ทุกอย่างถึงได้ดูสมเหตุสมผลอย่างที่มันควรจะเป็น
เฮ่อเหลียนเวยเวยตัวสั่น นางไม่ได้กลับไปที่ย่านการค้า
นางเดินกลับห้อง แล้วแช่ตัวลงในน้ำเย็นที่ถูกเตรียมเอาไว้ในห้องก่อนหน้านี้ การฝึกฝนความต้านทานทางร่างกายของนางในระยะนี้ถือว่าประสบความสำเร็จมากทีเดียว แต่นางก็เสียอาการหลังจากถูกไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกระตุ้นในวันนี้
การอาบน้ำเย็นคือหนทางเดียวที่จะสามารถลดอุณหภูมิในร่างของนางได้
หากเทียบกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแล้ว ความเข้าใจในเรื่องผู้ฝึกปีศาจของเฮ่อเหลียนเวยเวยนั้นด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด
เป็นอย่างที่หยวนหมิงบอกเอาไว้ อาการของการเสพสังวาสนั้นรุนแรงเกินกว่าจะมียาชนิดใดรักษาได้
นอกจากความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าทางร่างกายแล้ว นางอาจจะฝันถึงความฝันโง่ๆ นั่นอีกก็ได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่รู้ว่านางผล็อยหลับไปจริงๆ ตั้งแต่เมื่อใด นางตกอยู่ในอาการเหม่อลอย และสัมผัสได้เพียงว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทาบทับอยู่บนตัวนางพร้อมกับจุมพิตซอกคอของนางอยู่เช่นนั้น ในความฝัน เขากำลังหยอกล้อนางด้วยใบหน้าหล่อเหลาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย จากนั้นเขาก็สอดมือเข้าไปในชุดของนาง แล้วสัมผัสเข้ากับทุกส่วนบนร่างของนาง ทำให้นางรู้สึกชาวาบ... นางฝันเห็นแม้กระทั่งภาพของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่คว้าขาอ่อนของนางเอาไว้ขณะจูบเข้าที่ริมฝีปากของนาง และช่วงชิงลมหายใจของนางไปพร้อมกับจู่โจมริมฝีปาก รวมถึงโพรงปากด้านในของนางเช่นกัน เขาถึงกับสอนวิธีการจูบให้นางด้วยซ้ำ…
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่าร่างของนางแทบจะแตกสลายเพราะเขา แต่นางก็ไม่สามารถหลบหนีไปได้ มันเหมือนกับว่านางกำลังติดอยู่บนใยแมงงมุม จิตใจของนางไม่ยินยอมที่จะจมลงไปในความปรารถนา แต่ร่างกายของนางกลับไม่อาจต้านทานได้
ตอนที่นางลืมตาตื่นขึ้นมา เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ถึงกับตกใจ
นั่นมันฝันบ้าอะไรกัน!
สู้ให้นางฝันร้ายยังดีเสียกว่า!
ข่าวดีก็คืออุณหภูมิในร่างของนางลดลงแล้ว เฮ่อเหลียนเวยเวยปลอบตัวเอง แล้วหยิบผ้าขนหนูอย่างสุ่มๆ มาเช็ดตัว เมื่อนางมองเข้าไปในกระจก ก็เห็นว่าริมฝีปากบางของตนยังคงเป็นสีแดงอยู่
ก่อนอื่นนางต้องไปหาเฮยเจ๋อ และเตรียมตัวให้พร้อม นางไม่อยากพ่ายแพ้ให้กับอาการนี้…
เย็นวันนั้น ดวงตะวันโพล้เพล้สุกสว่างกำลังจมสู่ทะเลสาบทีละน้อย
ชายในชุดสีขาวคนหนึ่งยืนอยู่ริมทะเลสาบนั้น เส้นผมสีดำราวน้ำหมึกของเขาสยายอยู่ในสายลม ดังนั้นเขาจึงใช้ด้ายสีดำรวบพวกมันเข้าหากันอย่างลวกๆ หุ่นของเขาผอมเพรียว ดวงตาของเขาลึกล้ำเต็มไปด้วยหมอกหนา
“นายท่าน นางจำท่านไม่ได้อีกต่อไปแล้วขอรับ” คนตัวเล็กที่ถือขวดน้ำเต้าอยู่ในมือยืนอยู่ด้านหลังชายคนนั้นเอ่ยขึ้น
ชายคนนั้นส่งเสียงในลำคอบ่งบอกว่าเขารู้ดี แต่ไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น
คนตัวเล็กกะพริบตา แล้วมองชิงหลงที่กำลังว่ายน้ำอยู่ในทะเลสาบกับผู้ชายคนนั้น “นายท่านขอรับ ท่านแน่ใจหรือขอรับว่าท่านต้องการทำลายปราณมงคลที่นี่จริงๆ หากท่านทำเช่นนั้น จะมีคนต้องตายเป็นจำนวนมากนะขอรับ”
“แน่ใจสิ” ชายคนนั้นยิ้ม “ก็ยิ่งดีมิใช่หรือ”
คนตัวเล็กเล่นกับนิ้วของตัวเอง “มันก็คงไม่เลวร้ายถึงเพียงนั้นขอรับ เด็กชายหัวโล้นที่ท่านบอกให้ข้าตีสนิทด้วยก็เป็นคนที่น่าสนใจยิ่งนัก”
“แล้วเจ้าจะเลือกตัวติดอยู่กับสิ่งที่น่าสนใจนั่น หรือจะไปเยี่ยมชมขบวนแห่ราตรีร้อยอสูรแทนล่ะ” ชายคนนั้นสะบัดนิ้ว ทันใดนั้นน้ำบนผิวทะเลสาบก็กระจายออกเป็นวงเล็กๆ ราวกับสัมผัสได้ถึงตัวตนของเขา…