องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 394 ไม่ต้องรีบร้อนไป
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มหยันพลางเล่นกับถ้วยกระเบื้องเคลือบในมือของนาง บรรกาศเย็นชาแผ่ออกมาจากตัวนางในตอนที่นางเงยหน้าขึ้นมองอวิ๋นปี้ลั่วอีกครั้ง “อวิ๋นปี้ลั่ว ถ้าเจ้ายังโผล่หน้ามาให้ข้าเห็นเช่นนี้อีกละก็ ข้าจะทำให้มั่นใจว่าเจ้าจะไม่มีวันได้เป็นพระสนมอย่างแน่นอน เชื่อคำพูดข้าได้เลย!”
มันก็เป็นแค่การประชันความงามมิใช่หรือ
นางยังมั่นใจในหน้าตาของตัวเองอยู่
คาดไม่ถึงว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะพูดเช่นนั้น เสียงสะอื้นไห้ของอวิ๋นปี้ลั่วเงียบไป มือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อของนางกำเข้าหากันแน่น จากนั้นนางก็หันไปสบตากับบรรดาสหายของตนด้วยใบหน้าน่าสงสาร “ไปกันเถอะ”
คนพวกนั้นจ้องเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยสายตาข่มขู่ขณะประคองอวิ๋นปี้ลั่วลงบันไดไป แม้จะไม่ชัดเจนนัก แต่เสียงปลอบอวิ๋นปี้ลั่วของพวกเขาก็ยังลอยแว่วมาให้ได้ยิน “พี่อวิ๋นไม่ต้องเสียใจนะเจ้าคะ ท่านจะได้เป็นพระสนมหรือไม่นั้นหาได้ขึ้นอยู่กับนางไม่ ยิ่งกว่านั้น นางเคยส่องกระจกบ้างหรือเปล่า นางจะขัดขืนพระราชโองการของฮ่องเต้ได้อย่างไร…”
“ข้าไม่เป็นไร” อวิ๋นปี้ลั่วดูเหมือนพยายามฝืนตัวเองอย่างสุดชีวิตเพื่อปั้นยิ้มออกมา มุมปากของนางโค้งขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อเรียกร้องความสงสารจากทุกคน “ข้าขอโทษที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วง…”
เฮยเจ๋อสังเกตการกระทำของคนที่ชั้นล่าง แล้วเหลือบตามองดูเฮ่อเหลียนเวยเวย “นังหนู ถ้าเทียบกับสิ่งที่อวิ๋นปี้ลั่วเพิ่งทำไปเมื่อครู่นี้ เจ้ายังห่างชั้นมากจริงๆ”
“ข้ารู้” เฮ่อเหลียนเวยเวยจิบชา แต่นางก็พบว่ามันเย็นชืดเสียแล้ว
เฮยเจ๋อเลิกคิ้ว “สรุปว่าเจ้าไม่คิดที่จะสอนบทเรียนให้นางหรือ”
“ช่วงสองวันนี้ข้าน่าจะยุ่งทีเดียว” เฮ่อเหลียนเวยเวยวางถ้วยชาลง นางดูจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอย่างเห็นได้ชัด
เฮยเจ๋อยื่นมือออกไปจัดผมให้นาง “เจ้าอย่าคิดมากเลย ต่อให้อวิ๋นปี้ลั่วจะแสดงละครเก่ง แต่พวกเราก็ไม่เลวนักหรอก สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเจ้าคิดอย่างไรกับองค์ชายสามต่างหากมิใช่หรือ”
“ไม่ใช่” เสียงของเฮ่อเหลียนเวยเวยแผ่วเบา “สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือองค์ชายสามคิดอย่างไรกับอวิ๋นปี้ลั่ว”
เฮยเจ๋อหัวเราะ “เจ้าว่าอย่างไรก็ว่าตามกัน หากเมื่อใดเจ้ารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม พี่ใหญ่จะพาเจ้าไปจากที่นี่ทันที สาขาที่เจียงหนานทำเงินได้ไวทีเดียว พวกเราจะได้ใช้โอกาสนี้แผ่อิทธิพลของเวยเจ๋อออกไปด้วย”
เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบตกลงด้วยความอบอุ่นใจ เฮยเจ๋อดูแลนางดียิ่งนัก เหมือนกับพี่ชายที่พร้อมสู้กับใครก็ตามที่มารังแกน้องสาวของตัวเอง แม้ว่าสุดท้ายมันจะจบลงด้วยการที่เขาต้องเจ็บตัวเพื่อแก้แค้นแทนนางก็ตาม
ตอนอยู่ในโลกยุคปัจจุบัน นางไม่เคยได้สัมผัสกับความสัมพันธ์เช่นนี้มาก่อน นางต้องต่อสู้เพียงลำพังมาตลอดหลังจากที่แม่ตายจากไป อีกทั้งในตอนที่นางถูกปรักปรำว่าเป็นหัวขโมย ก็ไม่มีใครสักคนยืนหยัดเพื่อนางแม้แต่คนเดียว
แต่เฮยเจ๋อจะทำเช่นนั้นแน่
เขาแสดงให้นางเห็นถึงความหมายของคำว่าครอบครัว
เฮยเจ๋อมองใบหน้าเย็นชาของเฮ่อเหลียนเวยเวยที่เต็มไปด้วยความซึ้งใจแต่ก็ยังดูไม่ชินกับการกล่าวขอบคุณใครสักคน เขาจึงลูบศีรษะนาง “เด็กสาวคนอื่นที่อายุเท่าเจ้าต่างก็พากันคิดอยู่เพียงแค่ว่าผู้ชายคนนั้นหล่อเหลาเพียงใด แต่เจ้า… ตั้งแต่ตอนแรกที่ข้าได้พบเจ้า เจ้าก็เอาแต่ทำหน้าตาประมาณว่า ’ข้าเป็นคนขี้เกียจ อย่ามายุ่งกับข้า’ เช่นนี้อยู่เสมอ เจ้าจำเป็นต้องเป็นผู้ใหญ่ถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
“ถ้าเทียบกับพี่ใหญ่ที่เตร็ดเตร่อยู่ในย่านหอนางโลมมาตั้งแต่ตอนอายุสิบสอง ข้าก็ยังไม่เป็นผู้ใหญ่เลยด้วยซ้ำ” เฮ่อเหลียนเวยเวยฟาดมือเขาพร้อมกับเหน็บแนมอย่างไม่คิดที่จะปรานี
เมื่ออดีตอันดำมืดของตนถูกเปิดเผย มุมปากของเฮยเจ๋อก็ถึงกับกระตุก เจ้าน้องเทวดาของเขาไม่น่ารักเอาเสียเลย.. แต่เดี๋ยวก่อน!
“เมื่อครู่นี้เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ” ดวงตาของเฮยเจ๋อเป็นประกาย
เฮ่อเหลียนเวยเวยหันหน้าไปอีกทางแล้วเลิกคิ้ว “พี่ใหญ่”
“ฮ่าๆๆๆ” เฮยเจ๋อหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง แล้วตบไหล่เฮ่อเหลียนเวยเวย “ในที่สุดเจ้าก็ยอมเรียกข้าว่าพี่ใหญ่แล้ว!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยแทบกระอักเลือดตอนที่เขาตบไหล่นาง นางรู้ว่าตระกูลเฮยมีแต่ลูกชายติดกันมาสามรุ่น และตั้งแต่เริ่มก่อตั้งเวยเจ๋อ เฮยเจ๋อเองก็บ่นมาตลอดว่าเขาอยากมีน้องสาว
สรุปสั้นๆ ก็คือ คงไม่มีใครคาดคิดว่าคุณชายรองเฮยที่เป็นผู้นำในด้านธุรกิจการค้าของเมืองหลวงจะเป็นโรคหลงน้องสาว!
“น้องสาวข้า เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไป ต่อให้เจ้าจะเป็นคนเย็นชาและปากร้าย แต่ก็จะไม่มีใครรังแกเจ้าได้แน่” ความรู้สึกของการมีน้องสาวนั้นนับว่ายอดเยี่ยมสำหรับเฮยเจ๋อยิ่งนัก เขาลูบศีรษะของนางอีกสองสามครั้งอย่างอดไม่ไหว พร้อมกับคิดว่าต่อไปเขาก็จะมีน้องสาวให้อวดได้แล้ว เขาจะเริ่มจากการพานางไปอวดให้ตาแก่ที่บ้านเห็น
เฮ่อเหลียนเวยเวยพาตัวเองออกมาจากมือของเฮยเจ๋อ “เย็นชาและปากร้ายหรือ”
“เรื่องจุกจิกพรรค์นั้นไม่จำเป็นต้องสนใจหรอกน่า!” เฮยเจ๋อกระแอมเล็กน้อย
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วแล้วพูดต่อ “เข้าประเด็นกันดีกว่า ข้าอยากให้เจ้าช่วยเลือกผู้อารักขาที่มีวรยุทธ์เป็นเลิศมาให้ข้าสักสองคน แต่ทุกคนต้องเป็นผู้หญิง”
“ผู้หญิงหรือ” เฮยเจ๋อถามอย่างสงสัย “ทำไมล่ะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยอธิบายปัญหาของการเสพสังวาสให้เขาฟัง
หลังจากฟังจบ เฮยเจ๋อก็หัวเราะออกมา “เจ้ากระโดดใส่องค์ชายสามไปเลยไม่ดีกว่าหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยถึงกับพูดไม่ออก ตรรกะของชายคนนี้อยู่ในระดับเดียวกันกับหยวนเสี่ยวหมิงได้อย่างไร
“ข้าไม่อยากให้ปัญหาเช่นนี้มาควบคุมข้าเอาไว้”
เฮยเจ๋อครุ่นคิดอย่างตั้งใจ “อือฮึ เช่นนั้นเจ้าอยากให้พี่ใหญ่ช่วยจ่ายเงินซื้อผู้ชายสักคนมาให้ไหม”
“ไม่อยาก” เฮ่อเหลียนเวยเวยนวดหน้าผากด้วยท่าทางรังเกียจข้อเสนอนี้อย่างชัดเจน
เฮยเจ๋อมองเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างมีเลศนัย “เป็นเช่นนั้นรึ สรุปว่านอกจากองค์ชายสามแล้ว ผู้ชายคนอื่นก็คงใช้การไม่ได้สำหรับเจ้าสินะ”
ทันทีที่ได้ยินดังนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ชะงักไปชั่วขณะ
“เจ้าไตร่ตรองเรื่องนี้ดูให้ดีเถอะ” เฮยเจ๋อลุกขึ้น แววตาของเขายากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ “พี่ใหญ่จะหาผู้อารักขาฝีมือดีมาให้เจ้า แต่เจ้าต้องคิดเรื่องที่เหลือด้วยตัวเอง ระวังอวิ๋นปี้ลั่วเอาไว้ด้วย นางสร้างปัญหาเก่งทีเดียว”
เฮ่อเหลียนเวยเวยพยักหน้า “ข้ารู้”
“เช่นนั้น ข้าคงต้องขอตัวก่อน” เฮยเจ๋อลูบศีรษะของเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นครั้งสุดท้าย “ถ้าเจ้าต้องการอะไร ก็แค่สั่งให้สาวใช้ของเจ้ามาหาข้าก็แล้วกัน”
“อืม” เฮ่อเหลียนเวยเวยมองร่างของเฮยเจ๋อที่กำลังเดินออกไป จากนั้นจึงเริ่มวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่ว่าทำไมนางถึงยอมรับเพียงไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแค่คนเดียวเท่านั้น
หยวนหมิงที่อยู่ข้างหลังนางเสริมขึ้นอย่างชั่วร้ายว่า “แปลกตรงไหนกัน เดิมทีองค์ชายสามก็เป็นชายที่หน้าตาหล่อเหลาอยู่แล้ว และเจ้าก็มอบครั้งแรกของเจ้าให้กับเขา จึงย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่เจ้าจะมีความรู้สึกบางอย่างให้กับเขา สิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้คือการรวบรวมพลังปราณมาจากเขา ทันทีที่เขามีหญิงอื่น พลังปราณของเขาก็จะไม่บริสุทธิ์เหมือนอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้”
“เจ้าพูดเหมือนกับว่าข้าเป็นนางปีศาจร้ายที่จ้องจะเอาพลังปราณของผู้ชายอย่างไรอย่างนั้น” เฮ่อเหลียนเวยเวยยืนขึ้น และไม่ได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมีหน้าที่ต้องสืบราชบัลลังก์ แต่ให้นางคิดเรื่องนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์ เว้นแต่ว่าเขาจะสามารถล้มเลิกความคิดที่จะมีสนมได้
นางคิดเช่นนี้เพราะนางต้องการอิสรภาพยิ่งกว่าใคร
นางจะไม่มีทางอยู่ที่วังหลวง และทิ้งชีวิตทั้งชีวิตของตัวเองไปเพื่อไล่ตามความรักและความสนใจจากผู้ชายเพียงคนเดียวแน่
ตอนที่เดินลงมาจากชั้นสอง คนแรกที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นคือมู่หรงฉางเฟิง
หากเทียบกับในอดีต มู่หรงฉางเฟิงในเวลานี้ดูมืดมนและเข้าใจยากกว่าเมื่อก่อน
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงขวางทางนางเอาไว้ ดังนั้นนางจึงเลิกคิ้วขึ้นมองเขา ก่อนจะเดินผ่านเขาไป
“ระหว่างแต่งงานกับเขากับแต่งงานกับข้า มันต่างกันตรงไหนหรือ” น้ำเสียงของมู่หรงฉางเฟิงที่ดังขึ้นจากด้านหลังของนางฟังดูเย็นชา “ตอนนั้นเจ้าทนเห็นข้ากับเจียวเอ๋อร์เกี้ยวพาราสีกันไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้เจ้ากลับสามารถทนรับความจริงว่าข้างกายเขาจะมีอวิ๋นปี้ลั่วอยู่ด้วยได้หรือ”