องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 404 องค์ชายตกอยู่ในอันตรายหรือ
ฟ้าร้องสะเทือนเลื่อนลั่น
ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงวัน แต่ท้องฟ้ากลับมืดครึ้มชวนหดหู่
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้อยู่ที่ห้องของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยต่อนานนัก
นางยังมีเรื่องอื่นต้องจัดการ
จากที่หยวนหมิงบอก ค่ายกลเนินคนตายเป็นค่ายกลคำสาปที่ถูกสร้างขึ้นจากซากศพคนตาย ในเมื่อศพเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการสร้างค่ายกล เช่นนั้นย่อมต้องมีคนตายอีกเป็นจำนวนมาก
สิ่งที่นางจำเป็นต้องทำในเวลานี้คือการทำให้ทุกคนมารวมกัน และทำให้มั่นใจว่าจะไม่มีใครอยู่ลำพัง เพราะนั่นจะเป็นการเปิดโอกาสให้ฆาตกรลงมือฆ่าได้!
ดังนั้นสิ่งแรกที่เฮ่อเหลียนเวยเวยทำหลังออกจากหอสามัญคือขอให้ตู๋ซูเฟิงเรียกศิษย์ทุกคนมารวมตัวกัน
บรรดาคุณหนูในหอชั้นเลิศที่มาจากตระกูลร่ำรวยล้วนแต่เป็นคนเอาแต่ใจทั้งสิ้น สำหรับพวกนางแล้ว แค่อากาศในวันฝนตกเช่นนี้ก็น่าเหลืออดมากพออยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการต้องมาเบียดเสียดกับคนอื่นๆ ในห้องโถงที่ทั้งร้อนทั้งชื้นของหอน้ำชาเลย
“ท่านเจ้าสำนักคิดอะไรอยู่ ทำไมเขาถึงได้ทำตามคำสั่งของผู้หญิงอัปลักษณ์นั่นได้”
“ใครจะไปรู้ล่ะ พี่อวิ๋น ท่านคิดว่าพวกเราควรอยู่ที่นี่รวมกับคนอื่นๆ หรือไม่เจ้าคะ”
อวิ๋นปี้ลั่วมีสีหน้าเบื่อหน่าย นางส่ายศีรษะพร้อมกับไอออกมาเล็กน้อยเหมือนคนหายใจไม่ออก
นี่ยิ่งทำให้ความไม่พอใจแพร่ขยายไปทั่วทั้งห้องโถง
เฮ่อเหลียนเวยเวยเหลือบมองกลุ่มคนที่โวยวายอยู่นั้น ก่อนจะกระตุกยิ้มขึ้นอย่างชั่วร้าย ”อู่จั้วบอกว่าฆาตกรอยู่ในหอพักของสำนักไท่ไป๋ จากที่ข้าเห็นในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ ฆาตกรจะเลือกเป้าหมายที่อยู่เพียงลำพัง ที่ให้ทุกคนมารวมตัวกันที่นี่ก็เพื่อหลีกเลี่ยงทุกความเป็นไปได้ที่จะเปิดโอกาสให้ฆาตกรสามารถลงมือได้อย่างไรล่ะ แต่ถ้าเจ้าใจกล้าพอ จะออกไปจากที่นี่ก็ได้นะ”
คำพูดของนางทำให้บรรยากาศรอบข้างเงียบกริบ และทำให้คุณหนูที่รู้สึกไม่พอใจเหล่านั้นเงียบไปในทันใด เด็กสาวหลายคนมองหน้ากันพร้อมกับกระแอมออกมาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกแม้แต่คำเดียว
“ฮ่าๆ มนุษย์หนอมนุษย์ ช่างรักตัวกลัวตายกันจริงๆ” หยวนหมิงหัวเราะเยาะพลางสำรวจใบหน้าหวาดกลัวของคนในห้องโถง
เฮ่อเหลียนเวยเวยเคาะนิ้วลงบนต้นขาของตัวเองระหว่างใคร่ครวญถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นั่นเป็นนิสัยประจำตัวที่นางมักทำเวลาคิดอะไรสักอย่าง ”ข้าเพียงแค่ต้องการทำตามเป้าหมายของตนให้สำเร็จเท่านั้น ข้าจำกัดวงค้นหาลงมาให้แล้ว และข้าเชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูงทีเดียวที่ผู้กระทำผิดจะอยู่ในกลุ่มคนเหล่านี้”
ใช่แล้ว นั่นคือเป้าหมายที่แท้จริงของเฮ่อเหลียนเวยเวย
นางไม่อยากทำให้ฆาตกรรู้ตัว
ดังนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยจึงจงใจประกาศต่อหน้าสาธารณชนว่าการชุมนุมในครั้งนี้เกิดขึ้นเพียงเพื่อป้องกันไม่ให้มีใครถูกฆ่าตาย
แต่นั่นก็เป็นเพียงเหตุผลเล็กๆ ที่ทำให้นางเรียกทุกคนมารวมกันที่นี่
นางคิดว่าการนั่งเฉยและรอให้ฆาตกรลงมือโดยที่ทำอะไรไม่ได้นั้นย่อมไม่ใช่ความคิดที่ดี เมื่อถึงเวลานั้นมันคงจะสายเกินไปกว่าที่นางจะหาทางป้องกันและจับกุมตัวคนผิดได้
“ข้าเคยเห็นศพพวกนั้นแล้ว” เฮ่อเหลียนเวยเวยเอ่ยขึ้นพร้อมกับเดินเข้าไปหาลูกศิษย์เหล่านั้น ”ทั้งสองศพมีจุดสีดำอยู่บนร่างของตัวเอง และข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ”
หยวนหมิงขมวดคิ้ว แล้วถามว่า ”เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
ก่อนที่เฮ่อเหลียนเวยเวยจะทันได้ตอบคำถามของหยวนหมิง เฮยเจ๋อก็ถูกทหารสองนายพาตัวเข้ามาเสียก่อน เขามีสีหน้าเยือกเย็นขณะที่ยืนอย่างสง่างามอยู่กลางห้องโถงราวกับว่าเขาเพิ่งกลับมาจากการเดินเล่น ไม่ได้ดูเหมือนฆาตกรแต่อย่างใด
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองสำรวจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า หลังจากนางมั่นใจแล้วว่าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บ นางจึงเอ่ยขึ้นว่า ”ข้ามีเรื่องต้องถามเจ้า”
“หืม” คิ้วอันงดงามของเฮยเจ๋อเลิกขึ้น เขาชำเลืองมองทหารสองนายที่กำลังเดินจากไป แล้วถามเสียงอู้อี้ว่า ”เกี่ยวกับเรื่องคดีนี้หรือ”
ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นประกายเล็กน้อย ”เจ้ารู้ได้อย่างไร”
“เพราะว่าข้าเห็นอะไรบางอย่างในวันนั้น” เฮยเจ๋อหรี่ตาลง ”ข้าเดาว่านั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้จือฝู่คนนั้นจับกุมข้า พวกเราไปหาที่นั่งแล้วค่อยคุยกันดีกว่า”
“เอาสิ” เฮ่อเหลียนเวยเวยพยักหน้า แต่เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง นางก็เห็นร่างในชุดสีขาวสะอาดยืนนิ่งอยู่ข้างประตู ชายคนนั้นมีกลิ่นอายชั่วร้ายเปี่ยมด้วยเสน่ห์ต้องห้าม แต่เขากลับไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาแม้แต่น้อย ทำเพียงแค่จ้องมาที่นางด้วยสายตาเย็นชา
เจ้าเจ็ดก็อยู่ที่นี่ด้วย แต่เด็กชายทำตัวตามสบายและกำลังกลืนซาลาเปาลูกแล้วลูกเล่าลงท้องอยู่ในหอน้ำชา สำหรับเขาแล้วไม่มีสิ่งใดจะสามารถทำให้เขามีความสุขไปได้มากกว่าการกินอาหาร เขาลืมบรรยากาศกระอักกระอ่วนระหว่างพี่สามและพี่สะใภ้สามไปจนหมด
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเพียงชำเลืองมองเฮ่อเหลียนเวยเวยอีกเล็กน้อย ก่อนจะเดินผ่านห้องน้ำชา แล้วมุ่งหน้าไปยังหอสามัญ
เฮ่อเหลียนเวยเวยค่อนข้างตกใจกับสายตาเย็นชาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย แต่นางก็นึกขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วว่าเฮยเจ๋อยังอยู่ที่นี่ และเขาอาจจะมีเบาะแสสำคัญให้นางก็เป็นได้ ดังนั้นนางจึงตัดความกังวลทิ้งไป แล้วนั่งลงตรงข้ามเฮยเจ๋ออย่างรวดเร็ว จากนั้นนางจึงถามเขาเสียงเบาว่า ”วันนั้นเจ้าเห็นอะไร”
“มีใครบางคนในสำนักไท่ไป๋กำลังคุยกับสัตว์อสูรอยู่” เฮยเจ๋อปรายตามองไปยังบรรดาลูกศิษย์ที่ยืนรวมกันอยู่บริเวณชั้นหนึ่ง ”แม้ว่าข้ากับคนพวกนั้นจะอยู่ค่อนข้างห่างกันจนทำให้ข้ามองเห็นพวกเขาไม่ชัดนัก แต่ตอนนั้นข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของสัตว์อสูรที่ริมทะเลสาบชิงหลง และไม่ใช่เพียงแค่นั้น ข้าเองก็คิดเหมือนกันว่าคุณหนูไป๋ที่เพิ่งเสียชีวิตไปนั้นทำตัวประหลาดยิ่งนัก”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว ”แปลกประหลาดอย่างไรกัน”
“คืนนั้นนางไม่สังเกตเห็นข้าเลยด้วยซ้ำ แต่ข้าเห็นนาง” เฮยเจ๋อขมวดคิ้วหนาของตน ขณะพยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อนึกย้อนถึงภาพเหตุการณ์ในวันนั้น ”นางเดินไปเดินมาอยู่รอบทะเลสาบชิงหลงพร้อมกับสวดคาถาบางอย่างซ้ำไปซ้ำมา บางครั้งก็ดูเหมือนว่านางจะพูดกับตัวเอง แต่ก็มีหลายครั้งที่นางทำท่าเหมือนกำลังพูดคุยกับบางคนหรือบางสิ่งอยู่ แต่ในเวลานั้นบริเวณใกล้ๆ ทะเลสาบชิงหลงไม่มีคนอื่นอยู่เลย”
ทันทีที่ได้ยินเรื่องที่เขาเล่า หัวใจของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็เต้นแรง
จากนั้นนางก็จ้องมองเฮยเจ๋อด้วยสายตาเคร่งเครียด ”ข้ารู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น!”
“เกิดอะไรขึ้นหรือ” เฮยเจ๋อยังคงงุนงง
เฮ่อเหลียนเวยเวยวิ่งลงไปที่ชั้นหนึ่งพร้อมกับกล่าวว่า ”ฆาตกรของคดีนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากตัวผู้ตายเอง! พวกเขาถูกวิญญาณเข้าสิง และนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาสิ้นใจในห้องที่ถูกลงกลอนเอาไว้ได้ ความจริงก็คือวิญญาณร้ายพวกนั้นได้ดูดซับพลังชีวิตของพวกเขานั่นเอง และหลังจากที่พลังชีวิตของพวกเขาหมดลง เจ้าพวกนั้นก็จะทิ้งร่างเนื้อไป พวกเราต้องหาวิญญาณตนนั้น มิฉะนั้นผู้คนจะตายอีก และพวกเราก็จะไม่มีวันคลี่คลายคดีนี้ลงได้!”
“พูดน่ะง่ายกว่าทำ” เฮยเจ๋อกวาดตามองลูกศิษย์นับร้อยที่อยู่ตรงนั้น ”พวกเราจะหาวิญญาณตนนั้นเจอได้อย่างไร”
เฮ่อเหลียนเวยเวยกวาดตามองไปทั่วห้อง ทันใดนั้นนางก็เอ่ยขึ้นว่า ”สังเกตเงา! คนที่ถูกสิงจะมีเงามากกว่าคนทั่วไปหนึ่งเงา!”
เฮยเจ๋อยกยิ้ม น้องสาวของเขาฉลาดถึงเพียงนี้ได้อย่างไร
แน่นอนว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยพูดถูก การสังเกตเงานั้นเป็นวิธีการที่ได้ผลที่สุดในการค้นหาตัวสัตว์อสูรครึ่งปีศาจ!
พวกนางตั้งใจว่าจะเริ่มทำการค้นหาในทันที
แต่โชคร้าย ก่อนที่พวกนางจะได้เริ่มทำเช่นนั้น อาจารย์คนหนึ่งก็พูดขึ้นมาว่า ”มีศิษย์คนหนึ่งหมดสติไปเพราะที่นี่อากาศร้อนอบอ้าว และถูกส่งตัวไปที่ห้องพักส่วนตัวที่อยู่ชั้นสองแล้ว”
ให้ศิษย์คนนั้นพักผ่อนอยู่เพียงลำพังในเวลาสำคัญเช่นนี้น่ะหรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดว่าคงไม่มีใครกล้าพอที่จะอยู่เพียงคนเดียวในเวลานี้ ทันทีที่ได้ยินคำพูดของอาจารย์ นางก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน แล้ววิ่งขึ้นไปที่ชั้นสองทันที
ตอนที่นางขึ้นมาถึงชั้นสอง นางก็ได้ยินเสียงกุกกักเบาๆ
เฮ่อเหลียนเวยเวยมีสีหน้าสงสัย นางเดินตรงไปยังต้นกำเนิดของเสียงนั้น
เสียงนั้นดูเหมือนจะมาจากห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง มันดังขึ้นพร้อมกับเสียงฝนที่ตกโปรยปรายอยู่ข้างนอก เสียงนั้นดังสะท้อนไปทั่วห้อง
เฮ่อเหลียนเวยเวยขยับตัวเข้าหาประตูไม้ ก่อนที่นางจะหันหน้าและผลักประตูบานนั้นออกในทันที ดวงตาดุร้ายของนางกวาดมองไปทั่วทุกมุมห้อง
ไม่มีใครอยู่หรือ
จากนั้นสายตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็หยุดอยู่ที่หน้าต่างบานหนึ่งซึ่งหันหน้าไปทิศทางเดียวกันกับที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเพิ่งมุ่งหน้าไปเมื่อครู่นี้…