องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 410 จูบกับองค์ชายจอมเสแสร้งต่อหน้าสาธารณชน
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยพยักหน้าขึงขัง เขาโน้มตัวลงหยิบวัตถุสีดำชิ้นหนึ่งขึ้นมา แล้วส่งมันให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวย
ของสิ่งนั้นมีขนาดเกือบจะสูงกว่าองค์ชายตัวน้อยเสียอีก เวลาที่วางมันตั้งลงกับพื้น มันก็แทบจะชนกับจมูกของเด็กชายเลยด้วยซ้ำ มันทำมาจากโลหะ และยังดูมีน้ำหนักมากทีเดียว
ยังไม่ทันที่ทุกคนจะรู้ว่ามันคืออะไร เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยกมันขึ้น นางประกาศพร้อมกับรอยยิ้ม ”กองกำลังลับทำตามที่ข้าสั่ง เปลี่ยนอาวุธทั้งหมดเป็นปืนใหญ่กราดยิงศัตรู!”
จากนั้นทุกคนก็ได้ยินเสียงดังแกร๊กตามมา
ทหารในชุดสีดำทุกนายยกแขนขึ้น ใช้แขนข้างซ้ายของตนในการรับน้ำหนัก ส่วนแขนข้างขวาก็ยก ’ท่อสีดำ’ ปริศนานั้นขึ้น
“นี่คืออาวุธที่เจ้าพูดถึงหรือ”
มู่หรงอ๋องหัวเราะ เห็นได้ชัดว่าเขากำลังดูถูก ’กระบอกไม้ไผ่’ พวกนี้อยู่
แม้แต่ชายในชุดดำทั้งสิบแปดคนก็ยังมองหน้ากันด้วยความงุนงง พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมพระชายาถึงได้สั่งให้คนพวกนั้นหยิบของเล่นขึ้นมาเช่นนี้
แต่ดวงตาคู่สวยของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อเขาเห็น ’ท่อสีดำ’ พวกนั้น เขามองตาสีดำราวกับน้ำหมึกอันเยือกเย็นและเต็มไปด้วยสมาธิของเฮ่อเหลียนเวยเวย
จากนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยกปืนใหญ่กระบอกนั้นขึ้นพาดบ่า นางปรับระยะเล็งเป้า จากนั้นจึงเหนี่ยวไกด้วยรอยยิ้มอันชั่วร้าย!
ตู้ม!
ไฟสีแดงวาบขึ้น หลังคาอันแข็งแรงทนทานหลายแห่งพลิกคว่ำในทันใด พลธนูจำนวนห้าถึงหกนายร่วงลงมาจากที่ที่ตนซุ่มอยู่พร้อมกัน กระเบื้องหลังคากลิ้งตกลงมาบนถนนขณะที่เสียงสะเทือนเลือนลั่นจนหูแทบดับนั้นพุ่งตรงเข้าไปในแก้วหูของทุกคน
ท่ามกลางควันที่ลอยโขมง จือฝู่มีสีหน้าตกตะลึงกับกระสุนนัดนั้นเป็นอย่างยิ่ง เขาอ้าปากค้างพลางมองหญิงสาวที่กำลังเดินเข้ามาหาตนพร้อมกับเจ้าท่อสีดำนั้นอย่างไม่เชื่อสายตา เขาไม่รู้สึกถึงขาที่สั่นอยู่ของตัวเองได้อีกต่อไป
“นั่นมันอะไรกัน” จือฝู่ควบคุมตัวเองไม่ไหว เขาแทบจะตะโกนออกมา ”เจ้าสิ่งนั้นมันคือของบ้าอะไรกัน”
มู่หรงอ๋องเผยสีหน้าประหลาดใจออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน คำถามนี้คือสิ่งที่เขาคิดอยู่ในใจเช่นกัน!
คนเราจะสามารถทำลายบ้านทั้งหลังด้วยการยกมือขึ้นเพียงครั้งเดียวได้อย่างไร
เจ้าพวกนั้นคือระเบิดหรือ
แต่พวกเขาเอามันเข้าไปอยู่ในท่อสีดำนั้นได้อย่างไร
แล้วพวกเขาจุดให้มันระเบิดได้ในเวลาเพียงไม่กี่วินาทีได้อย่างไร
ความสงสัยมากมายแล่นผ่านมาแล้วก็ผ่านไปในสมองของมู่หรงอ๋อง
แต่มีเพียงความคิดเดียวเท่านั้นที่ยังอยู่ นั่นคือ พวกเขาจบสิ้นแล้ว!
ต่อให้มีกองทัพนับหมื่นนาย พวกเขาก็ไม่มีโอกาสชนะได้เลย
พวกเขาจะชนะได้อย่างไร!
ทำไมไม่มีใครบอกเขาเลยว่าบนแผ่นดินนี้มีอาวุธเช่นนี้อยู่ด้วย
เจ้าสิ่งนั้นมันคืออะไรกัน?!
แต่มันยังไม่จบแค่นั้น
ทันทีที่ระเบิดพวกนั้นรุกเข้ามาในหมู่พวกเขา บรรดาทหารของกองกำลังลับจำนวนนับไม่ถ้วนที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีก็ยิงเจ้าสิ่งนั้นใส่พวกเขาโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด กระสุนทุกนัดตกลงข้างเท้าของทหารของเขา ภายในควันหนาทึบนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับกำลังเดินเล่นอย่างสบายอารมณ์ด้วยท่าทางทะมัดทะแมง จากนั้นนางก็ส่งปืนใหญ่ให้กับเจ้าเจ็ด
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยยื่นมือไปรับปืนใหญ่กระบอกนั้น ก่อนจะอุ้มมันไว้ในมือ แล้วเดินตามหลังเฮ่อเหลียนเวยเวย
พลธนูของจือฝู่ที่ซ่อนตัวเตรียมซุ่มรอที่จะจู่โจมอยู่นั้นต่างก็พากันหวาดกลัวจนหัวหด การโจมตีจากเฮ่อเหลียนเวยเวยแค่ครั้งเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้การเคลื่อนไหวของพวกเขาชะงักไป ยิ่งกว่านั้นอาวุธที่กองกำลังลับถืออยู่ในมือก็ทำให้ขาของพวกเขาถึงกับเหลวเป็นวุ้น
พวกเขาไม่สามารถยกคันธนูและหยิบลูกธนูขึ้นมาได้อีกต่อไป ไม่ว่ามู่หรงอ๋องจะตะโกนเสียงดังเพียงใด แต่บรรดาพลธนูก็ยังคงอยู่ในท่าเดิม
มู่หรงอ๋องวางแผนการนี้มานานมากแล้ว ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดว่าจะสามารถคว้าชัยชนะมาไว้ในมือนี้ได้ แต่ในเวลานี้เขากลับตื่นตระหนกอย่างยิ่ง เขามองร่างที่กำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้เขาขึ้นทุกขณะ จากนั้นจึงกระชากทหารนายหนึ่งมายืนข้างหน้าเพื่อป้องกันตัวตามสัญชาตญาณ
แต่ทหารนายนั้นก็ถูกสังหารในวินาทีต่อมา
รอยเลือดสีแดงสดกระเด็นมาติดอยู่บนหน้าของเขา หญิงสาวที่ยืนอยู่ไม่ไกลคนนั้นกระตุกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย ชุดผ้าฝ้ายสีขาวของนางเริงระบำอยู่ในสายลมร้อนระอุราวกับปีกอันแสนสวยของผีเสื้อยักษ์ที่บินอยู่ในอากาศ ใบหน้าของนางสะท้อนแสงสีแดงชวนให้หลงใหล เผยให้เห็นความหยิ่งผยองและความมั่นใจอันไม่อาจปิดบังได้ แม้กระทั่งสีสันที่งดงามที่สุดก็ยังเป็นเพียงแค่ของประกอบฉากสำหรับนาง
ตุ้บ!
จือฝู่ฝืนตัวเองไม่ไหวอีกต่อไป เขาทรุดลงไปนั่งคุกเข่าลงบนพื้นทันที พร้อมกับร้องตะโกนว่า ”ได้โปรดยกโทษให้กระหม่อมด้วยเถิด พระชายา ยกโทษให้กระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
จบแล้ว มันจบสิ้นแล้ว…
ทันทีที่ผู้นำตัดสินใจยอมแพ้ แล้วพลธนูที่เหลือจะทำอะไรได้หรือ
พวกเขาวางธนูในมือลง แล้วก้มคำนับลงพร้อมกัน นับว่าเป็นภาพที่ตระการตาอย่างแท้จริง
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงถือปืนกระบอกเดิมไว้ในมือ นางเลิกคิ้วให้จือฝู่ แล้วเอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า ”ขอร้องข้าไปก็เปล่าประโยชน์ เจ้าต้องไปขอร้ององค์ชายต่างหาก”
จือฝู่ชะงัก จากนั้นเขาจึงหันไปทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
แม้จะอยู่ท่ามกลางควันตลบ แต่ชายหนุ่มก็ไม่มีแม้แต่เศษฝุ่นเปื้อนตัวเลยแม้แต่น้อย เสื้อคลุมตัวหรูคลุมอยู่บนบ่าของเขา ท่าทางของเขาเหมือนกับฮ่องเต้ที่กุมอำนาจตัดสินชี้เป็นชี้ตาย
ในเวลาเช่นนี้เขาดูเป็นคนเย็นชาและอันตรายอย่างมาก
ความกดดันมหาศาลที่แผ่ออกมานั้นให้ความรู้สึกเหมือนเขาเป็นเทพที่สามารถทำลายล้างโลกได้
จือฝู่ตัวสั่น เขายังกล้าพอที่จะร้องขอชีวิตกับเฮ่อเหลียนเวยเวยได้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้ เขาทำได้เพียงก้มคำนับครั้งแล้วครั้งเล่าเท่านั้น เสียงของแข็งกระทบพื้นนั้นดังมากเสียจนคนที่ได้ยินรู้สึกเจ็บไปกับเขาด้วย!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่แม้แต่จะสนใจเขา สายตาของเขาหยุดอยู่ที่ใบหน้าเล็กๆ ของเฮ่อเหลียนเวยเวย
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงจ้องหน้านาง ดังนั้นนางจึงขมวดคิ้วให้กับเขา
“มานี่”
ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์เช่นใด เสียงขององค์ชายสามก็ยังคงเต็มไปด้วยน้ำเสียงออกคำสั่ง ยานคาง และห่างเหินเสมอ
เมื่อสังเกตเห็นว่ารอบๆ ยังมีลูกศิษย์และพลธนูที่ยอมจำนนอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงทำได้เพียงแค่ต้องให้เกียรติกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย นางก้าวเท้าเข้าไปหาเขาอย่างรวดเร็วพร้อมกับยกปืนขึ้นพาดบ่า
แต่ก่อนที่นางจะเดินไปถึง ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ใช้มือของตนเชยคางของนางขึ้นมาเสียก่อน
ดวงตาเรียวยาวของเฮ่อเหลียนเวยเวยเบิกกว้างในทันที ราวกับสุนัขจิ้งจอกที่ตกใจจนตัวแข็งเพราะถูกเสือจับได้
เดี๋ยวนะ… เขาตั้งใจจะ… จูบข้า… ที่นี่หรือ
เอ่อ ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงคิดมากเกินไป
เพราะองค์ชายสามเห็นว่าหน้านางเปื้อน ดังนั้นเขาจึงโยนผ้าเช็ดหน้าให้นางเช็ดหน้าตัวเอง
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …
จากนั้นนางจึงเช็ดหน้าตัวเองด้วยความกระอักกระอ่วน… ทั้งที่ยังมีปืนพาดอยู่บนบ่า
เจ้าคนคลั่งความสะอาดนี่!
เฮ่อเหลียนเวยเวยทำปากยื่นอย่างจนใจพลางเช็ดหน้าตัวเองต่อ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนาง ก่อนจะยื่นมือไปจับมือนางเอาไว้ ริมฝีปากบางของเขากระตุกขึ้น นัยน์ตาสีดำนั้นมีเสน่ห์ชวนมองเช่นเคย จากนั้นเขาจึงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงยั่วยวนว่า ”เจ้ากำลังคาดหวังอะไรอยู่หรือ หืม”
“เปล่า อื้อ…”