องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 411 อ้อมกอดอันอบอุ่นขององค์ชาย
ทันใดนั้นเขาก็ย่อตัวลง คำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวยถูกขัดขวางด้วยจูบของเขา
ลมหายใจสดชื่นหอมกลิ่นดอกกล้วยไม้จางๆ พรั่งพรูเข้ามาในปากของนางอย่างกะทันหัน นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เฮ่อเหลียนเวยเวยได้สัมผัสกับอาการสมองขาดออกซิเจน ขณะที่สมองของนางกำลังพร่ามัวนั้น นางได้ยินแค่เพียงเสียงหายใจจากคนรอบข้าง และเสียงหัวใจเต้นอันเชื่องช้าและสม่ำเสมอของชายคนนั้นเท่านั้น
ท้องฟ้าที่นางเห็นหมุนกลับตาลปัตร ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปรับตัวตามแรงของนาง พร้อมกับใช้มือข้างหนึ่งคว้าข้อมือของนางไว้ขณะที่ดันท้ายทอยของนางเข้ามาประกบจูบอย่างดูดดื่มราวกับว่าไม่มีใครมองอยู่
ทุกคนตกใจจนเผยสีหน้าเซ่อซ่าออกมา พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าองค์ชายสามผู้สูงศักดิ์และบริสุทธิ์จะจูบใครได้
อวิ๋นปี้ลั่วหน้าซีดในทันที นิ้วของนางจิกเข้าไปในฝ่ามือ ดวงตาที่ปกติเคยอ่อนโยนและไร้ซึ่งพิษภัยของนางเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา!
ลมหายใจเย็นเยือกระเบิดลิ้นของนาง เฮ่อเหลียนเวยเวยอยากถอนจูบออกมา แต่ลิ้นของนางกลับถูกลิ้นของเขากวาดต้อนจนจนมุม ก่อนจะถูกเกี่ยวกระหวัดเข้าไปดูดไว้
เฮ่อเหลียนเวยเวยตัวสั่น นางงอตัวอยู่ในอ้อมกอดของเขาเหมือนกุ้งเผาไม่มีผิด นิ้วของนางสั่นระริกแต่นางกลับไม่สามารถขยับมันได้ เสียงเสื้อผ้าของพวกนางที่เสียดสีกันข้างหูดูจะดังเป็นอย่างมาก
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น เขากลับจูบนางรุนแรงขึ้นอีกราวกับพยายามที่จะดูดอากาศทั้งหมดออกไปจากร่างนางเสียให้ได้
ขาของเฮ่อเหลียนเวยเวยสูญเสียเรี่ยวแรงไปทีละน้อย ก่อนจะอ่อนยวบไปในที่สุด เพราะการจู่โจมจากทุกทิศทางของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทำให้นางไม่มีทางหนีได้
ไม่รู้ว่านางทำปืนหล่นจากมือไปตอนไหน เมื่อนางรู้สึกตัวอีกที นิ้วของนางก็กำเสื้อของเขาเอาไว้แน่น ดวงตาของนางแดงก่ำขณะที่พาดใบหน้าไว้กับไหล่ของเขาพลางหอบหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยื่นมือมาโอบนางเข้าไปกอด นิ้วของเขาลากไปตามแผ่นหลังของนาง ตัวเขาหอมเหมือนกลิ่นไม้จันทน์
“ถ้าเจ้าหนีไปอีก ข้าจะหักกรงเล็บของเจ้าซะ”
แม้จะเป็นคำขู่ แต่กลับไม่ได้มีอาการข่มขู่อยู่ในนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว น้ำเสียงทุ้มๆ อันยั่วยวนนั้นกลับแฝงไปด้วยความอ่อนโยนและอดทนอดกลั้น
นางรู้สึกว่าหูของนางแทบจะท้องได้จากเสียงนี้…
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยมองภาพนี้ด้วยสายตาจริงจัง เขาตั้งปณิธานไว้ในใจว่าสักวันหนึ่งเขาก็จะต้องจูบภรรยาของตนบนสนามรบเช่นนี้ให้ได้
อย่าถามเขาว่าทำไม! เขาก็เป็นคนเอาแต่ใจเช่นนี้ล่ะ!
ทุกคนในกองกำลังลับของเฮ่อเหลียนเวยเวยมองหน้ากันอย่างตกตะลึง
กลับกัน มู่หรงอ๋องกลับต้องการจะใช้โอกาสนี้กำจัดไป๋หลี่เจียเจวี๋ยให้สิ้นซาก แต่ทันทีที่เขาหยิบธนูของทหารนายหนึ่งขึ้นมา เขาก็ถูกองค์ชายเจ็ดซัดเข้าจนถึงกับปลิว!
ตู้ม!
แม้เขาจะเป็นนักสู้ที่มีฝีมือ แต่เขาก็ไม่สามารถต้านทานพลังอันรุนแรงนั้นได้ ร่างของเขาลอยสูงขึ้นในอากาศ ก่อนจะตกลงมากระแทกกับพื้นอย่างรุนแรง!
“จริงๆ เลย…” องค์ชายเจ็ดตัวน้อยกอดปืนใหญ่เอาไว้พลางเดินเข้าไปหาเขาอย่างใจเย็น จากนั้นเขาก็ยกเท้าขึ้น แล้วเหยียบลงบนร่างของมู่หรงอ๋อง
ตุ้บ!
มู่หรงอ๋องสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสในอก เลือดทะลักออกมาจากปากเขาราวกับน้ำพุ
เมื่อเห็นภาพนี้ ทหารทุกคนก็วางอาวุธของตนลง แล้วลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้น พร้อมกับตะโกนว่า ”ไว้ชีวิตพวกกระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ องค์ชาย!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองพวกเขาด้วยความพอใจ ในเมื่อนางเป็นคนที่ก่อปัญหานี้ให้กับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เช่นนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดาที่นางจะต้องเป็นคนแก้ไขมัน
แต่…
ดูเหมือนว่านางจะทำเกินไป
เฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกริมฝีปากบาง คิ้วคู่สวยของนางกระตุกขึ้น
ถ้านางทำอย่างนั้นแล้วจะทำไม
นี่คือสิ่งที่นางต้องการจะป่าวประกาศให้โลกรู้
ตระกูลเฮ่อเหลียนกลับมาผงาดแล้ว!
นาง เฮ่อเหลียนเวยเวย จะมาทวงสิ่งที่เป็นของของนางคืน!
ท่ามกลางกลุ่มควันที่ม้วนตัวอยู่นั้น ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกอดนางเอาไว้พลางนั่งลงบนจุดที่สูงที่สุด พร้อมกับมองทหารนับหมื่นที่อยู่ใต้เท้า แววตาที่อยู่ในดวงตาสูงส่งของเขายังคงเยือกเย็น ผมสีดำและเสื้อคลุมสีขาวของเขาผสานกันอย่างลงตัว ดูราวกับเทพเซียนที่ลงมาจากสวรรค์
เฮ่อเหลียนเวยเวยพิงตัวเข้ากับเขาอย่างเกียจคร้าน ดวงตาเรียวรีของนางมองไปที่เขาราวกับตกอยู่ในความฝัน
เมื่อเห็นภาพของทั้งสองคน ทุกคนก็คิดถึงคำพูดประโยคหนึ่งขึ้นมา
หากเจ้าสูญเสียแผ่นดินนี้ไป เช่นนั้นข้าก็จะผงาดขึ้นพร้อมกับเจ้าอีกครั้ง หากพวกเราชนะ เช่นนั้นพวกเราก็จะได้ปกครองแผ่นดินนี้ร่วมกัน
เมื่อได้ยินเสียงกู่ร้องดังขึ้นจากทุกคนรอบตัว ทันใดนั้นการก่อกบฏที่ได้รับการวางแผนมาเป็นอย่างดีก็ถึงคราวสิ้นสุดลง
มู่หรงอ๋องกับมู่หรงซื่อจื่อถูกจับขังคุก ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมีเหตุผลของตัวเองที่เลือกไว้ชีวิตพวกเขา เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าเขาต้องการพาตัวพวกเขาไปที่การประชุมราชสำนัก
ถ้าพวกเขาถูกประหารตอนนี้ ฝ่ายที่ดวงกุดก็คงมีแค่ตระกูลมู่หรงเพียงตระกูลเดียว
แต่ถ้าเป็นที่การประชุมราชสำนัก พวกเขาสามารถขุดรากถอนโคนกองทัพที่ไม่ส่งทหารมาช่วยพวกนางได้ และยังสามารถสอบสวน หรือสั่งให้ประหารชีวิตเจ้านายของพวกเขาได้ด้วย
จะต้องมีการเปลี่ยนขั้วอำนาจอย่างรุนแรงเกิดขึ้นในราชวงศ์อย่างแน่นอน
แม้จะไม่ชัดเจนนัก แต่พวกเขาก็เริ่มตระหนักถึงข้อความที่ว่านี้
ฮองเฮากำลังสูญเสียอำนาจของตนไปอย่างรวดเร็ว มิหนำซ้ำยังเร็วเกินกว่าที่ใครจะทันได้ตั้งตัว และทันใดนั้นบรรดาเสนาบดีผู้ทรงอำนาจที่เคยอยู่ข้างนางก็ถูกแทนที่ด้วยคนขององค์ชายสาม
สี่ตระกูลใหญ่เริ่มอยู่ไม่สุข…
“นายท่านขอรับ” เมื่อเรื่องใกล้จะจบลง กิเลนอัคคีก็ปรากฏตัวออกมาแล้วคุกเข่าลงกับพื้น ”พวกเราควรสั่งให้คนที่ซุ่มอยู่รอบสำนักอยู่ต่อ หรือจะให้พวกเขาถอนกำลังกลับไปพร้อมกองกำลังลับของพระชายาดีขอรับ” เขาถามด้วยน้ำเสียงเคารพ
“ถอนกำลัง” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยค่อยๆ จัดแขนเสื้อตัวเอง
“ขอรับนายท่าน” กิเลนอัคคีขยับตัว ก่อนจะหายไปทันทีที่ได้รับคำสั่งจากผู้เป็นนาย
ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเย็น เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังมองใบหน้าหล่อเหลาเหลือคณาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ”ท่านมีทหารซ่อนอยู่ในภูเขาชิงหลงหรือ”
“ใช่” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่คิดที่จะปิดบังเรื่องนี้กับนาง
“มีเท่าไหร่หรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยใจเต้น
“สามหมื่นคน” เขาตอบด้วยท่าทางราวกับไม่สนใจ
เฮ่อเหลียนเวยเวยตระหนักได้ในตอนนั้นนั่นเองว่าต่อให้นางไม่ได้มาปรากฏตัวที่นี่พร้อมกับกองกำลังลับ ผู้ชายคนนี้ก็คงไม่ได้รับอันตรายเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะเขารู้อยู่แล้วว่ามู่หรงอ๋องจะก่อกบฏ และเข้าล้อมพวกเขาเอาไว้ด้วยทหารที่ซุ่มรออยู่นับหมื่นนาย
ถ้าก่อนหน้านี้เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้ชักธงของกองกำลังลับขึ้น นางคงได้ตกเป็นเป้าหมายของกองทัพส่วนตัวของชายคนนี้แน่
“ท่านพากองทัพของตัวเองมาที่ภูเขาชิงหลงหรือ” นางถามลองเชิง อย่างไรถ้าหากมีข่าวแพร่ออกไปว่าองค์ชายพากองทัพของตัวเองมาจากเมืองหลวง คนบางส่วนอาจใส่ร้ายว่าเขากำลังจะก่อกบฏได้
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบอย่างเย็นชาว่า ”ก็แค่ข้ารับใช้ไม่กี่คน”
เฮ่อเหลียนเวยเวยถึงกับพูดไม่ออก
เขามีสามหมื่นคนนะ ไม่ใช่สามพันคน
นางไม่เคยเห็นเจ้านายที่ไหนทำเหมือนทหารสามหมื่นนายเป็นเพียงแค่ข้ารับใช้มาก่อน...
ระหว่างที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบคำถามนั้น เขาก็ออกคำสั่งกับเหล่าองครักษ์เงาไปด้วย ”บอกทุกคนว่า ’องค์ชายไม่ต้องการให้ใครนำข่าวลือเรื่องที่กองกำลังลับปรากฏตัวขึ้นในสำนักไท่ไป๋แพร่ออกไปแม้แต่นิดเดียว’”