องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 412 จูบนี้ชวนให้ใจเต้น
กองกำลังลับมองหน้ากัน ข่าวลืออะไร การปรากฏตัวของพวกเขาล้วนแต่เป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น
พวกเขาคาดไม่ถึงว่าผู้เป็นนายของตนจะเห็นด้วยกับคำพูดขององค์ชายสาม
แน่นอนว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมเห็นด้วย ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่นางจะเปิดเผยเรื่องที่ตัวเองเป็นคนควบคุมกองกำลังลับ และเรื่องที่อาวุธทั้งหมดของนางเสร็จสมบูรณ์แล้ว นางอาจจะตกเป็นเป้าสายตาเอาได้หากทำตัวเด่นเกินไป
“มานี่” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงเย็นชาอันแผ่วเบานั้นทำให้ยากที่จะคาดเดาอารมณ์ของเขาได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วขึ้น แล้วเดินตามหลังเขาเข้าไปในห้อง ทันทีที่นางปิดประตูและหมุนตัวกลับมา นางก็ถูกร่างของเขาขังเอาไว้กับบานประตู ”บอกข้ามาสิว่าใครอนุญาตให้เจ้าหนีไป”
“ข้าไม่ได้หนีไปเสียหน่อย ข้าไปตามกำลังเสริมมาช่วยต่างหาก” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะพูดต่อ ”ไม่อย่างนั้นตัวเอกเช่นข้าจะเอาวิธีไหนมาช่วยหนุ่มรูปงามล่ะ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเบียดตัวเข้าหานาง ”ตัวเอก? เจ้าน่ะหรือ”
“เมื่อครู่นี้ข้าไม่เท่หรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยหาวอย่างเกียจคร้าน นางมองตรงไปยังไป๋หลี่เจียเจวี๋ย และอยากจะเดินออกไปจากเงาของเขา ”หากว่ากันตามตรง ท่านควรต้องขอบคุณที่ข้ามาช่วยท่านในครั้งนี้ด้วยซ้ำมิใช่หรือ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยส่งเสียงรับในลำคอ แล้วดึงตัวนางเข้ามาหา เขาโน้มตัวเข้าไปหานางอย่างช้าๆ จนดวงตาของทั้งสองสบกัน นัยน์ตาสีดำราวน้ำหมึกอันนุ่มนวลคู่นั้นดูเหมือนกับทะเลสาบลึกแสนน่าดึงดูดที่สามารถล่อลวงให้ผู้คนกระโดดลงไปได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยกับการถูกเขาจ้อง ตอนที่นางกำลังจะอ้าปากขึ้น ความอบอุ่นบนริมฝีปากของนางก็ช่วงชิงคำพูดที่นางกำลังจะเอ่ยออกมาไปจนหมด
มือที่เคยอยู่บนแก้มของนาง มาตอนนี้กลับจับอยู่ที่ปลายคางของนางแทน ริมฝีปากของนางถูกอีกฝ่ายเลียชิม ฟันของนางถูกเขารุกล้ำ ปลายลิ้นพัวพันอยู่ในโพรงปาก น่าเหลือเชื่อยิ่งนักที่คนเย็นชาอย่างเขาจะมีร่างกายอบอุ่นถึงเพียงนี้ ตั้งแต่ปากไปจนถึงร่างของเขา และมือที่โอบอยู่ด้านหลังของของนาง ล้วนแต่ก่อให้เกิดคลื่นความรู้สึกอันไม่คุ้นเคยขึ้นในก้นบึ้งหัวใจของนาง
“ไป๋หลี่เจียเจวี๋ย... ไม่ได้…” นางพยายามขยับริมฝีปาก แต่ลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดอยู่นั้นก็เปลี่ยนคำพูดที่นางเค้นออกมาให้กลายเป็นเสียงที่ฟังแทบไม่ได้ศัพท์จนกระทั่งพวกเขาหลอมละลายไปกับริมฝีปากของกันและกัน ลมหายใจร้อนชื้นกำลังทำให้การต่อต้านของนางแหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เหลือทิ้งไว้ก็แต่ร่างกายที่ไม่อาจป้องกันตัวเองได้จากรสจูบของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเท่านั้น
“ไม่ได้หรือ หืม” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขยับตัวเล็กน้อยราวกับเป็นการโต้แย้ง เขากลืนกินริมฝีปากของนางอีกครั้ง ไม่ยอมให้นางได้สูดลมหายใจเข้าปอดเลยด้วยซ้ำ เขาสอดนิ้วเข้าไปในเสื้อของนาง จากนั้นจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มติดจะแหบพร่านั้นว่า ”แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ร่างกายเจ้ากำลังบอกนี่”
อาจเป็นเพราะนิ้วมือที่ติดจะเย็นของเขา หรือไม่ก็คำพูดนั้นที่ทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกราวกับว่าขาของนางกำลังกลายเป็นวุ้น และทำได้เพียงอดทนยอมอยู่ในอ้อมกอดให้เขาจูบอย่างไร้เรี่ยวแรง สติสัมปชัญญะของนางเริ่มล่องลอยไปทีละน้อย…
“อาเจวี๋ย ข้าได้ยินมาว่า…”
แต่เสียงประตูเปิดดังปังที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันก็ปลุกทั้งสองขึ้นมาจากห้วงอารมณ์แห่งความปรารถนานั้นเสียก่อน
เฮ่อเหลียนเวยเวยดันตัวออกอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าเป็นตู๋ซูเฟิง นางก็ใช้หลังมือเช็ดปากตัวเอง ลมหายใจของนางยังไม่สม่ำเสมอนัก ”ข้าจะออกไปก่อน พวกท่านคุยกันเถอะ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่กระดากอายกับการถูกจับได้คาหนังคาเขาเช่นนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว เขาจัดคอเสื้อก่อนจะเคลื่อนสายตาไปมองตู๋ซูเฟิง ”คราวหน้าถ้าจะเข้ามาก็ช่วยเคาะประตูด้วย”
ตู๋ซูเฟิงยิ้มแหย ”ข้าเคยคิดว่าคนรักสะอาดที่กลัวการแตะต้องคนอื่นอย่างเจ้าจะไม่มีวันตาสว่างได้เสียอีก แต่ใครจะไปคิดว่า… หึ… รู้สึกอย่างไรบ้างล่ะ ทำแบบนี้ในสำนักแล้วตื่นเต้นหรือเปล่า”
“ก็ไม่เลว” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทิ้งตัวลงนั่งไขว่ห้างบนเก้าอี้กุ้ยเฟย จากนั้นจึงเยาะว่า ”แต่คนโสดตลอดกาลอย่างท่านคงไม่เข้าใจหรอกกระมัง”
ตู๋ซูเฟิงรู้สึกเหมือนโดนธนูปักเข้าที่หัวเข่า เขากระตุกริมฝีปากขึ้น เจ้าคนเย็นชานี่ยังปากคอเราะร้ายเหมือนทุกครั้ง
“เจ้าคิดที่จะทำอย่างไรกับคนตระกูลมู่หรง” ตู๋ซูเฟิงนั่งลงเพื่อเตรียมตัวคุยธุระกับเขา
ริมฝีปากของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกระตุกขึ้น แต่รอยยิ้มในดวงตาของเขากลับเลือนหายไป ”แน่นอนว่าต้องเป็นการถอนรากถอนโคนพวกมันอยู่แล้วสิ ถึงเวลาแสดงตัวอย่างให้คนที่ไม่รู้จักเชื่อฟังได้เห็น และให้พวกมันอยู่กันเงียบๆ เสียที”
พวกเขาก่อเหตุเช่นนี้ขึ้นเพราะพวกเขาไม่คิดว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะรอดไปได้
ในเวลานั้นพวกเขาไม่ได้ส่งกำลังสนับสนุนไปช่วยเพราะพวกเขาคิดว่าคราวนี้มู่หรงอ๋องจะทำสำเร็จ
แต่น่าเสียดาย ฝ่ายที่อับโชคในครั้งนี้ก็คือพวกเขา
คนที่อยู่ฝั่งเดียวกับองค์ชายห้าถูกประหารจนแทบไม่เหลือ
ตอนที่พี่ชายของฮองเฮาเริ่มก่อกบฏ โชคของฮองเฮาก็หมดลงแล้วเช่นกัน นางถูกปลดออกจากตำแหน่ง และถูกขังไว้ในคุกใต้ดิน ไม่มีวันได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกเป็นครั้งที่สอง
เมื่อเฮ่อเหลียนกวงเย่าได้เห็นนาง สิ่งเดียวที่เขามีอยู่ในใจคือความเสียใจ เขาขมวดคิ้วขณะมองสายลับที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า ”ใครเป็นคนส่งกำลังสนับสนุนไปช่วยองค์ชายสามจนเขาหนีไปได้หรือ”
“ข้าไม่ทราบขอรับ เป็นไปได้หรือไม่ขอรับว่าเขาอาจจะเพียงแค่รอบคอบ และวางกับดักเอาไว้ล่วงหน้าเท่านั้น” ทหารนายนั้นตอบ
“เช่นนั้นครั้งนี้มู่หรงอ๋องก็คงจะประมาทมากเกินไป” เมื่อเฮ่อเหลียนกวงเย่าได้ยินว่ามันเป็นกับดัก เขาก็ไม่ได้ซักถามต่อ แต่กลับเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยว่า ”การประชุมประจำตระกูลใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว จากวันนี้ไป เจ้าต้องจับตาดูฮูหยินอย่างใกล้ชิด อย่าให้นางระแคะระคายอะไรได้ ข้ายังต้องใช้ตระกูลซูอยู่”
“ขอรับ” สายลับคนนั้นก้มหน้า เขาเข้าใจดีว่าเพื่อป้องกันไม่ให้แผนการของนายท่านถูกขัดขวาง เขาจะให้ฮูหยินรู้อะไรไม่ได้เด็ดขาด
เฮ่อเหลียนกวงเย่ายืนขึ้น และกำลังจะเดินออกไป ”อีกอย่างหนึ่ง ส่งของขวัญไปให้ประมุขแต่ละตระกูลด้วย เตือนให้เขาลงคะแนนเลือกข้าในการประชุมประจำตระกูล”
“ขอรับ” จากนั้นสายลับคนนั้นก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ”แต่มีผู้อาวุโสคนหนึ่งที่ข้าไม่สามารถหว่านล้อมได้ ดูเหมือนเขาตั้งใจแน่วแน่ว่าจะลงคะแนนให้กับคุณหนูขอรับ”
“ข้ารู้ว่าเจ้าหมายถึงใคร ไม่ต้องไปสนใจเขา เขาก็เป็นแค่สหายเก่าของพ่อข้าเท่านั้น ตอนนี้ในเมื่อขาของเขาใช้การไม่ได้แล้ว แค่จะยืนเองเขายังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ คะแนนเสียงในการประชุมประจำตระกูลมีทั้งหมดสิบเอ็ดเสียง แค่เขาคนเดียวย่อมไม่สามารถทำให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงได้ ยิ่งกว่านั้นข้าก็พบตัวคนที่จะสามารถติดต่อกับกองกำลังลับได้แล้วด้วย” เฮ่อเหลียนกวงเย่าเหยียดยิ้ม
“กองกำลังลับหรือขอรับ” สายลับคนนั้นเงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาเป็นประกายด้วยความชื่นชม ”นายท่านได้ติดต่อกับกองกำลังลับแล้วหรือขอรับ”
ใบหน้าของเฮ่อเหลียนกวงเย่าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ”ใช่ ข้ากำลังติดต่อพวกเขาอยู่ แต่เพื่อความปลอดภัย ข้าต้องการให้นังเด็กชั้นต่ำคนนั้นเสียความตั้งใจที่จะงัดข้อแย่งชิงอำนาจกับข้าเสียที!”
“นายท่านช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก!” สายลับคนนั้นชมเขาเสียงดัง
เฮ่อเหลียนกวงเย่ายิ้ม แล้วสะบัดแขนเสื้อด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจ…
ค่ำคืนมาเยือน
สายลมเย็นยะเยือก ดวงดาวทอประกาย
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองกระดาษในมือ แล้วเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา ”ไปบอกชื่อเหลียนว่าในเมื่อชายคนนั้นอยากได้กองกำลังลับมากถึงเพียงนั้น เช่นนั้นก็ยกให้เขาสักกอง” นางเอ่ยกับคนส่งสาส์น
“ขอรับนายหญิง” เมื่อผู้ส่งสาส์นเห็นรอยยิ้มของนาง เขาก็รู้ว่านางกำลังวางแผนอะไรอยู่ เขาพุ่งตัวออกจากสำนักไท่ไป๋พร้อมกับข้อความนั้นโดยไม่ได้เอ่ยอะไรอีก
หลังเสร็จงานนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ตัดสินใจว่าจะไปดูความก้าวหน้าของสิ่งที่นางบอกให้เฮยเจ๋อเตรียมการไว้
ทันทีที่นางเปิดประตู นางก็เห็นดวงตาเรียวอันเย็นชาคู่หนึ่ง ”ไปไหน”
“แค่ไปเดินเล่น” เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่าการไปหาเฮยเจ๋อในวันนี้คงจะไม่ใช่การตัดสินใจที่ดี ดังนั้นนางจึงก้าวถอยหลังกลับไปเงียบๆ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ้ม ดวงตาของเขากลายเป็นสีน้ำตาลเข้ม ”โอ้ จริงหรือ”
“จริงสิ” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยืนพิงกรอบประตูอย่างเกียจคร้าน ดวงตาของเขาเคลื่อนไปหยุดอยู่ที่ห่อผ้าในมือนาง ”ข้าไม่ยักรู้ว่าแค่ไปเดินเล่น แล้วเจ้าจะต้องพกเอาของสิ่งนี้ไปด้วย”