องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 420 การประเมินรูปร่างหน้าตาของเวยเวย
วันต่อมา
ณ ราชสำนัก บรรดาขุนนางทุกคนต่างก็ทำตัวแตกต่างไปจากในยามปกติที่พวกเขาเคยเป็น พวกเขาล้วนแต่ดูประหม่ายิ่งนัก
พฤติกรรมอันผิดแผกไปจากเดิมนี้เป็นผลมาจากการปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่คาดฝันขององค์ชายสาม ณ การประชุมราชสำนักในช่วงเช้าซึ่งในอดีตนั้นเขาไม่เคยเข้าร่วมมาก่อน
เขาเลือกที่จะไม่ยืน แต่กลับเอนกายลงบนเก้าอี้ไม้แกะสลักที่ตั้งอยู่ข้างตัว จากนั้นจึงเลิกคิ้วขึ้น แล้วเอ่ยกับพวกเขาว่า ”พวกเจ้าต้องการให้ข้าเลือกนางสนมหรือ”
กลุ่มขุนนางอาวุโสที่คุกเข่าอยู่ตรงนั้นต่างก็มีความคิดเป็นของตัวเอง เพราะพวกเขารู้ว่าองค์ชายห้าสูญเสียอำนาจทั้งหมดของตนไปพร้อมกับความพ่ายแพ้ของมู่หรงอ๋อง
ถ้าหากพวกเขาสามารถนำบุตรสาวของตนเข้าวังหลวงผ่านพิธีคัดเลือกพระสนมที่องค์ชายสามจัดขึ้นได้ เช่นนั้นพวกเขาก็อาจจะยังพอรักษาตำแหน่งของตนเอาไว้ได้ ยิ่งกว่านั้นพวกเขาก็คงสามารถพิสูจน์ให้องค์ชายสามเห็นได้ด้วยว่าพวกเขายืนอยู่ฝั่งเขา
แต่บรรดาขุนนางอาวุโสเหล่านี้กลับคิดไม่ถึงว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะไม่ต้องการนางสนม
“ใต้เท้าจาง” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเรียกชื่อคนคนหนึ่งขึ้นมาอย่างช้าๆ ”ในระหว่างที่ข้ากำลังกวาดล้างตระกูลมู่หรงสายย่อยอยู่ หนึ่งในนั้นบังเอิญพูดถึงท่านขึ้นมา ดังนั้นก่อนที่จะพูดถึงเรื่องการคัดเลือกสนม ท่านจะช่วยอธิบายให้ข้าฟังได้หรือไม่ว่าท่านทั้งสองคนพบกันได้อย่างไร”
ใต้เท้าจางสัมผัสได้ถึงการบรรยากาศอันผิดปกติจากไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ดังนั้นเขาจึงรีบคุกเข่าลงกับพื้น แล้วตะโกนขึ้นด้วยใบหน้าซีดเผือด ”องค์ชาย ไว้ชีวิตกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ! ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ ได้โปรดไว้ชีวิตกระหม่อมด้วย!”
กระทั่งไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ยังไม่คิดที่จะปรายตามองเขาเลยแม้แต่นิดเดียว แล้วนับประสาอะไรกับฮ่องเต้ที่ไม่เคยสนใจปัญหาภายในราชสำนักเล่า
ภายในพระราชวังจื่อจินแห่งนี้ ไม่มีผู้ใดกล้าพอที่จะแสดงความคิดเห็นของตนออกมา
แต่ต่อให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปฏิเสธที่จะมีพระสนม แต่ในฐานะองค์ชาย เขาก็อายุถึงเกณฑ์ที่จำเป็นจะต้องเลือกหญิงสาวผู้มีรูปโฉมงดงามมากพอที่จะสามารถยืนเคียงข้างเขาต่อหน้าสาธารณชนได้
ตลอดสองยุคสมัยที่ผ่านมานั้น ฮ่องเต้ทั้งสองพระองค์ต่างก็มักจะเลือกหญิงที่สง่างามที่สุดขึ้นมาเป็นฮองเฮาในระหว่างการคัดเลือกพระสนม แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับเป็นข้อยกเว้น เพราะท่ามกลางบรรดาหญิงสาวมากมายนั้น สุดท้ายเขากลับเลือกผู้หญิงหน้าตาธรรมดามาเป็นชายาแทน
การกระทำอันแปลกประหลาดนี้ล้วนแต่เป็นการกระทำที่ไม่อาจสรรหาคำใดมาอธิบายได้
ยิ่งกว่านั้นในเวลานี้ที่เมืองหลวงก็ยังมีหญิงสาวหน้าตาโดดเด่นอยู่อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นอวิ๋นปี้ลั่ว หรือเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็ตาม ดังนั้นการทำเช่นนั้นจึงยิ่งกระตุ้นความไม่พอใจให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชน
“ข้าก็เห็นด้วยว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ใช่คนไร้ค่าอย่างที่นางเคยเป็นแล้ว แต่หากว่ากันตามตรงละก็ นางดูไม่มีเสน่ห์ดึงดูดเอาเสียเลย ข้ารู้สึกสับสนกับการตัดสินใจขององค์ชายสามยิ่งนัก”
“อาจเป็นเพราะสายเลือดเฮ่อเหลียนที่อยู่ในร่างนางก็ได้ อย่าลืมสิว่านายท่านเฮ่อเหลียนคนก่อนเคยทำผลงานอันยิ่งใหญ่ไว้มากเพียงใดในอดีต”
“เลิกพูดเรื่องนั้นเถอะ นางถูกขับไล่ออกจากคฤหาสน์ผู้พิทักษ์แล้วมิใช่หรือ กระทั่งบิดาร่วมสายเลือดกับนางจะยอมรับนางหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย”
“ข้าได้ยินมาว่าเมื่อหลายเดือนก่อน คุณหนูรองของตระกูลเฮ่อเหลียนไปค้างคืนที่วัดถึงสองวันเพราะความรู้สึกผิด นางถึงกับท่องคัมภีร์พระไตรปิฎกเชียวนะ บอกตามตรงว่าข้ารู้สึกว่านางค่อนข้างน่าสงสารทีเดียว เพราะคนที่ทำความผิดลงไปก็คือฮูหยินซูต่างหาก ไม่ใช่นาง…”
เพื่อกอบกู้ชื่อเสียงของบุตรสาว ซูเหยียนโม่จึงเลือกที่จะเสียสละตัวเอง แน่นอนว่าตัวเลือกนี้ย่อมเป็นตัวเลือกอันยากลำบากสำหรับนางยิ่งนัก
ตลอดหลายวันนั้น ทุกครั้งที่นางก้าวเท้าออกไปบนถนนในเมืองหลวง ทุกคนต่างก็พากันชี้และซุบซิบเรื่องของนางกันไม่ขาดปาก
ซูเหยียนโม่เกลียดชังเฮ่อเหลียนเวยเวยจากก้นบึ้งของหัวใจ นางแทบอดทนรอวันที่จะได้ตบหน้านางไม่ไหวแล้ว
หากไม่ใช่เพราะนังคนชั้นต่ำนั่น นางก็คงไม่ต้องมาถูกดูหมิ่นเช่นนี้!
ยิ่งกว่านั้น ซูเหยียนโม่รู้ดีว่า ชื่อเสียงคือสิ่งสำคัญในการคัดหญิงสาวเข้าสู่พิธีคัดเลือกพระสนม
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้นางตัดสินใจทำเช่นนั้น!
หลายวันที่ผ่านมานี้ การกระทำของซูเหยียนโม่ยามอยู่ต่อหน้าสาธารณชนนั้นกระทบไปถึงตระกูลซู ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มเข้ามาควบคุมนาง ยิ่งกว่านั้นมู่หรงกวงเย่าก็ยังหายหน้าไปทั้งวัน เขาอาจจะรู้ว่าซูเหยียนโม่ทำให้ตระกูลซูต้องอับอาย และทำให้เขารู้สึกขายหน้าที่ต้องอยู่ใกล้กับนาง
ซูเหยียนโม่รู้ดีแก่ใจว่าชีวิตของนางในเวลานี้นั้นยากลำบากเพียงใด
แต่นางก็จัดการกู้ชื่อเสียงของเจียวเอ๋อร์กลับมาได้ก่อนการประเมินรูปร่างหน้าตาที่จะเกิดขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นข่าวดีทีเดียว
“เจียวเอ๋อร์” ซูเหยียนโม่ยืนอยู่ข้างรถม้าพลางโบกมือให้กับเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ นางพยายามเช็ดเหงื่อที่อยู่บนหน้าผากของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ด้วยผ้าเช็ดหน้าสีขาวของตน
แต่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์กลับเบือนหน้าหนี แล้วรีบมองไปยังกลุ่มคุณหนูที่เดินมาพร้อมนาง จากนั้นนางจึงดึงซูเหยียนโม่เข้าไปที่มุมหนึ่งอย่างเร่งรีบ แล้วเอ่ยว่า ”ท่านแม่ ท่านมาที่นี่ทำไม”
“ข้าเห็นว่าดึกมากแล้ว แต่เจ้ายังไม่กลับบ้านเสียที ดังนั้นข้าก็เลยเป็นห่วง” ซูเหยียนโม่ตกใจไปชั่วขณะ จากนั้นนางจึงถามว่า ”ทำไมหรือ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เลิกคิ้วพลางสะบัดผ้าเช็ดหน้าสีขาวของตนพร้อมกล่าวว่า ”พวกนางมาเที่ยวเล่นกับข้าเหมือนเมื่อก่อนแล้วเจ้าค่ะ แต่ท่านกลับเข้ามาขัดขวางช่วงเวลาแห่งความสุขของพวกข้าเข้า ข้าคิดว่าท่านแม่น่าจะกลับไปที่จวนก่อนนะเจ้าคะ ข้ารู้สึกทำอะไรไม่ถูกเวลาที่ท่านมาอยู่ที่นี่”
ซูเหยียนโม่ชำเลืองมองบรรดาคุณหนูที่ยืนอยู่ด้านหลังเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ และตระหนักได้ว่าพวกนางล้วนแต่เป็นคนที่มาจากตระกูลร่ำรวยในแวดวงสังคมของนางทั้งสิ้น จากนั้นซูเหยียนโม่ก็คลี่ยิ้มออกมา แล้วกล่าวว่า ”ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะกลับเดี๋ยวนี้ เจ้าเที่ยวให้สนุกเถอะ”
คุณหนูเหล่านั้นเดินเข้ามาใกล้เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์หลังจากที่ซูเหยียนโม่กลับไปแล้ว
“เจียวเอ๋อร์… คนคนนั้นคือท่านแม่ของเจ้าหรือ นางออกจะดูเป็นคนใจดีมีเมตตา แต่ทำไมนางถึง…”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์รู้สึกเสียใจ น้ำตาของนางเอ่อท้นขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น ”แม้นางจะเคยทำผิดมาก่อน แต่นางก็ยังเป็นท่านแม่ของข้า อันที่จริง นางไม่ได้ชั่วร้ายอย่างที่ทุกคนเข้าใจ”
“ช่างเถอะ ช่างเถอะ อะไรผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไป” บรรดาคุณหนูจากตระกูลเหล่านั้นต่างเข้ามาปลอบนาง ”เจ้ามีรูปโฉมงดงาม บางครั้งมันก็อาจจะก่อให้เกิดความอิจฉาให้กับคุณหนูคนอื่นเอาได้ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่พี่สาวบางคนมองไม่เห็นว่าน้องสาวของตนดีแค่ไหน พวกเขาจึงใช้กลอุบายสกปรกทั้งหลายทั้งปวงนั่นทำร้ายเจ้า”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เริ่มใช้กลยุทธ์ดวงตาราวกับลูกสุนัขมองพวกนางแสร้งทำเป็นน่าสงสารมากขึ้น ”ข้าไม่โทษพี่สาวของตัวเองหรอก หากคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นเป็นข้า ข้าก็คงจะหัวเสียเช่นกัน แต่ดูเหมือนว่าพี่สาวของข้ายังไม่คิดที่จะให้อภัยข้ากับท่านแม่ ไม่ว่าพวกเราจะพยายามเปลี่ยนใจนางอย่างไร แต่มันก็ไม่อาจเปลี่ยนอะไรได้เลยแม้แต่อย่างเดียว ข้าหวังเพียงแค่ว่าวันหนึ่งข้าจะได้ขอโทษนางจากใจจริงก็เท่านั้น”
“เจียวเอ๋อร์ เจ้าต้องรู้นะว่าไม่ใช่ทุกคนจะใจดีอย่างเจ้า เจ้าลองคิดดูให้ดีสิ การคัดเลือกพระสนมกำลังจะเกิดขึ้น และคนหน้าตาธรรมดาอย่างนางนั้นย่อมอิจฉาคนที่สวยกว่าตนอยู่แล้ว ดังนั้นข้าเชื่อว่าเหตุผลที่นางไม่คิดจะให้อภัยเจ้านั้นย่อมเป็นเพราะว่านางกำลังพยายามทำให้เรื่องนี้มันกระทบกับชื่อเสียงของเจ้า และทำให้เจ้าไม่สามารถเข้าร่วมการประเมินครั้งนี้ได้” หนึ่งในคุณหนูเหล่านั้นแสดงความคิดเห็นออกมาด้วยความรังเกียจ
“ใช่แล้ว! ข้ารู้สึกว่าพระชายาสามจะต้องอิจฉาคนอื่นอยู่แน่ๆ นางรู้ว่านางหน้าตาไม่ดี ดังนั้นนางถึงได้พยายามทำร้ายคนอื่นอย่างไรล่ะ… แม้กระทั่งอวิ๋นปี้ลั่วก็ยังตกเป็นเหยื่อของนางไปด้วย… หัวใจของนางชั่วร้ายอย่างกับอสรพิษไม่มีผิด”
“เลิกคุยเรื่องนางกันเถอะ นี่ก็เริ่มดึกแล้ว พวกเรารีบไปร่วมการประเมินรูปร่างหน้าตาก่อนจะสายเกินไปดีกว่า”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์พยักหน้า แล้วเตรียมตัวในทันที
การประเมินรอบแรกของการคัดเลือกพระสนมนั้นคือการประเมินรูปร่างหน้าตา
การประเมินรูปร่างหน้าตานั้นจะจัดขึ้นอย่างเป็นความลับ ผู้เข้ารับการประเมินแต่ละคนจะถูกถามเพียงแค่หมายเลขลงทะเบียน และแซ่สกุลของตนเท่านั้น ชื่อของพวกนางจะถูกปิดเอาไว้เพื่อให้ผลการประเมินเป็นไปอย่างเที่ยงธรรม
หลังกระบวนการประเมินรูปร่างหน้าตาสิ้นสุดลง เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็ยิ้มออกมาขณะเหลือบมองคะแนนของตนบนกระดาษ นางรู้สึกมีความสุขจนตัวลอย
เฮ่อเหลียนเวยเวย ดูสิว่าเจ้าจะทำอะไรได้
สิ่งเดียวที่นางทำได้ก็คือการได้เห็นองค์ชายสามเลือกพระชายาด้วยตาตัวเอง
หึ
เฮ่อเหลียนเวยเวยทั้งหน้าดำและอัปลักษณ์! ต่อให้นางอยู่ที่นี่ นางก็คงไม่ผ่านการประเมินรูปร่างหน้าตาด้วยซ้ำ!
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์หัวเราะอย่างมีความสุข แต่หลังจากที่นางจัดผมตัวเองเสร็จและกำลังจะออกจากห้องนั้น นางก็เห็นคนคนหนึ่งเดินออกมาจากอีกห้อง เรียวขาคู่ยาวอันงดงามคู่หนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์…