องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 438 ป้อนขนมให้กัน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยโอบแขนรอบคนที่พิงตัวอยู่กับชั้นหนังสือ เขาทิฐิสูงเกินกว่าจะบอกคนที่อยู่ในอ้อมแขนของตัวเองว่าอันที่จริงนั้นคนที่ไม่สามารถปล่อยมือจากนางได้ก็คือตัวเขาเอง
เขาเหมือนกับคนที่อยู่ในความมืดมานานแสนนาน แต่แล้วจู่ๆ เขาก็พลันได้เห็นแสงตะวันเป็นครั้งแรก และเพิ่งเคยได้สัมผัสกับความรู้สึกอบอุ่นและความสว่างไสวของแสงนั้น
สัญชาตญาณย่อมทำให้เขาต้องการที่จะคว้าแสงนั้นเอาไว้โดยไม่ยอมปล่อยมันไป…
แรงปะทะอันรุนแรงนำมาซึ่งความรู้สึกวาบหวามและเสียวซ่าน มันทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยกำมือแน่นเข้าหากัน แล้วดึงม้วนกระดาษที่กองรวมกันอยู่นั้นลงมา
ม้วนกระดาษเซวียน หล่นลงพื้น นางได้ยินเสียงนั้นดังมาจากทางด้านหลัง แต่นางก็เลือกที่จะไม่สนใจ
เพราะความสุขสมจนถึงขีดสุดเป็นสิ่งสำคัญเพียงสิ่งเดียวในเวลานี้
ความรู้สึกที่เชื่อมถึงกันระหว่างทั้งสองทำให้พวกเขาใกล้ชิดกันมากขึ้น และทำให้พวกเขารู้สึกดีไปกับสัมผัสทางร่างกายอันแนบชิดเช่นนี้
องครักษ์ที่รักษาการณ์อยู่ข้างนอกล้วนแต่เป็นคนหัวไว ทุกคนแสร้งทำราวกับว่าพวกเขาไม่ได้ยินเสียงอะไรแม้แต่นิดเดียว
มีขุนนางหลายคนมาขอพบองค์ชายสามเพราะเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้น เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ถูกประหารตามคำสั่งขององค์ชาย ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นฝั่งคฤหาสน์ผู้พิทักษ์หรือฝั่งอัครเสนาบดีซู ย่อมไม่มีฝั่งใดยอมปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ
แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เพราะความพยายามสังหารพระชายาโดยเจตนาของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์นั้นถือเป็นความผิดอันร้ายแรงยิ่งนัก นอกจากผู้อาวุโสจากสี่ตระกูลใหญ่แล้ว ต่อให้คนอื่นจะพยายามเท่าใด พวกเขาก็ไม่สามารถสร้างคลื่นลูกใหญ่ในสถานการณ์เช่นนี้ได้
ซูเหยียนโม่ร้องไห้โฮเพราะนางถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้าวังหลวง
ในเวลาเพียงแค่สองเดือน ตระกูลซูกลับตกต่ำลงมาจนถึงจุดนี้ได้โดยที่นางไม่รู้ตัว
ฮูหยินซูเริ่มค่อยๆ ตระหนักได้ว่าอภิสิทธิ์ที่นางเคยมีกำลังหายไปทีละอย่าง
นางเคยคิดว่านางไม่จำเป็นต้องสนใจเฮ่อเหลียนเวยเวย
ต่อให้นางมีพลังปราณ หรือต่อให้นางได้เป็นพระชายาสามก็ตาม
แต่นางก็ยังเป็นเด็กกำพร้าอยู่วันยังค่ำ นางจะไปสู้กับผู้มีอิทธิพลพวกนั้นได้อย่างไร
นางคาดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะค่อยๆ ดำเนินการไปทีละขั้นตอนเช่นนี้
เฮ่อเหลียนเวยเวยเริ่มจากทำลายแหล่งรายได้ของนางที่เจียงหนาน จากนั้นก็ฉวยโอกาสตอกหน้าท่านพ่อของนางด้วยความพ่ายแพ้อย่างแสนสาหัสอันเกิดมาจากปัญหาเรื่องการผลิตอาวุธ
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เพียงแค่คำว่า ’อัครเสนาบดีซู’ ก็สามารถเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้ทุกครั้งที่มีการเอ่ยถึงในราชสำนัก
ตอนนี้นังเด็กชั้นต่ำนั่นยังทำยิ่งกว่านั้นอีก!
นางทำถึงขั้นฆ่าบุตรสาวที่มีค่าที่สุดของนาง!
ดวงตาของซูเหยียนโม่แดงก่ำ เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป มันไม่มีเวลาให้พวกนางคิดหาทางออกหรือใช้เส้นสายใดๆ ก่อนจะทันได้รับข่าวการตายของเจียวเอ๋อร์เลยด้วยซ้ำ จะมีสิ่งใดโหดร้ายไปกว่าการที่คนผมหงอกส่งคนผมดำอีกหรือ
ทุกอย่างล้วนแต่เป็นความผิดของนังเด็กชั้นต่ำนั่น!
หากไม่ใช่เพราะนาง พวกนางสองแม่ลูกก็คงไม่มีทางตกลงมาอยู่ในสภาพน่าสังเวชเช่นนี้ได้!
คนหนึ่งเสียชีวิต คนหนึ่งเสียชื่อเสียง!
นางจะต้องทำให้นังเด็กชั้นต่ำนั่นได้ชดใช้อย่างสาสม!
นางอยากกลับมาที่นี่หรือ
นางไม่มีทางปล่อยให้ความปรารถนาของนางได้เป็นจริงแน่!
“ซูอัน ไปเตรียมตัวให้พร้อม ใช้เส้นสายทั้งหมดที่ท่านพ่อของข้ามีซะ ข้าต้องการรู้ว่าแม่ทัพคนปัจจุบันของกองกำลังลับอยู่ที่ไหน หาตัวเขาให้เจอไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม!”
“ขอรับ”
“แล้วก็ไปหาบรรดาผู้อาวุโสจากสี่ตระกูลใหญ่ ถามพวกเขาว่าในเมื่อเด็กสาวที่เป็นพระชายากลับชาติมาเกิดตายแล้ว เช่นนั้นพวกเขาก็ควรจะมีคำอธิบายมิใช่หรือ”
“ขอรับ”
“หลังจากเสร็จเรื่องแล้ว ไปหาคนที่รับผิดชอบตระกูลเฮ่อเหลียน ทำให้แน่ใจว่าพวกเขาจะให้การสนับสนุนท่านพี่ในการประชุมประจำตระกูล! ข้าอยากเห็นตอนที่นังเด็กชั้นต่ำนั่นมันถูกไล่ออกจากบ้านอย่างหมาข้างถนนด้วยตาตัวเอง!”
“ขอรับฮูหยิน”
หลังจากที่ซูอันออกไป ใบหน้าของซูเหยียนโม่ก็พลันบิดเบี้ยวด้วยความเกลียดชัง สิ่งเดียวที่นางต้องการในเวลานี้ไม่ใช่สิ่งใดอื่นนอกไปเสียจากการทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยได้ลิ้มรสกับความเจ็บปวดของการสูญเสียใครสักคนเหมือนกันกับนาง!
ยามค่ำคืนมีหมอกหนาทึบ
ฝูงชนที่เคยส่งเสียงจอแจอยู่บนถนนค่อยๆ แยกย้ายกันไปในที่สุด เหลือไว้เพียงร่างสูงชะลูดราวกับต้นไผ่ของชายคนหนึ่งเท่านั้น ชายคนนั้นสวมเสื้อคลุมสีขาว มีเด็กชายตัวเล็กสะพายขวดน้ำเต้าเอาไว้บนหลังอยู่กับเขาด้วย
“นายท่าน” เด็กชายตัวน้อยเงยหน้าขึ้นสังเกตสีหน้าของชายคนนั้นอย่างอดไม่ไหว จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปสัมผัสกับนิ้วของอีกฝ่าย
มันเย็นมาก!
เด็กชายตัวน้อยอดรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาไม่ได้ ”นายท่าน กลับกันเถอะขอรับ” นายท่านยืนอยู่ที่นี่มาทั้งวันแล้ว ขืนยังยืนอยู่ที่นี่ต่อไป ร่างกายของเขาคงทนไม่ไหวแน่
ชายคนนั้นไอออกมาเบาๆ ดวงตาสีเข้มของเขาดูชุ่มชื่น อบอุ่นและใสสะอาด ”เมื่อครู่นี้เจ้าเห็นหรือเปล่า นางขอเขาแต่งงาน”
“นายท่าน...” เด็กชายตัวน้อยรีบขานรับ ”นายท่านขอรับ ก่อนหน้านี้ท่านเคยบอกว่าในเวลานี้นางยังตื่นขึ้นมาไม่สมบูรณ์ เมื่อถึงวันที่นางตื่นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ นางจะต้องจำนายท่านได้อย่างแน่นอนขอรับ!”
ชายคนนั้นหัวเราะ แล้วยกมือขึ้นทาบลงบนหน้าผากของตัวเอง สายลมส่งเสียงหวีดหวิว สายฝนเทกระหน่ำลงมาบนแผ่นหลังของเขา ในเมฆสีเข้มเต็มไปด้วยพลังปราณแห่งความโกรธแค้น ”ไปหาทางทำให้นางตื่นขึ้นมาซะ!”
“ขอรับนายท่าน!” ดวงตาสีแดงปรากฏขึ้นจากทุกซอกมุมถนน พวกมันดูทั้งชั่วร้ายและเศร้าสร้อย ดูเหมือนว่าหลังจากนี้ความสงบสุขคงจะหมดไปจากที่แห่งนี้เสียแล้ว…
…….
เฮ่อเหลียนเวยเวยตื่นขึ้นจากฝันร้าย นางมองคนที่นอนอยู่ข้างๆ อย่างใจลอย ใบหน้าหล่อเหลาของเขาดูราวกับเป็นภาพฝันภายใต้แสงสว่างรำไร
เฮ่อเหลียนเวยเวยจ้องมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงยกนิ้วขึ้นจิ้มใบหน้านั้น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขมวดคิ้วยาวเข้าหากัน และกำลังจะสั่งให้คนที่กวนเขาอยู่ไสหัวไปตามความเคยชิน
แต่เมื่อเขาลืมตาขึ้น เขาก็เห็นเฮ่อเหลียนเวยเวยอยู่ในอ้อมแขน
บุรุษมักจะดูน่าดึงดูดที่สุดในยามที่พวกเขาเพิ่งตื่นนอน เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่เคยเข้าใจประโยคนี้มาก่อน แต่ตอนนี้เมื่อนางได้พบกับองค์ชาย นางก็ตระหนักได้ว่าคนประเภทนี้นี่เองคือคนประเภทที่เราอยากจะโถมตัวเข้าใส่เขาทันทีที่เห็น
“เจ้าอยากกินอะไรหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดึงนิ้วของนางเข้าหาตัว แล้วยกมันขึ้นมาใกล้ริมฝีปาก ก่อนจะประทับจูบลงที่นิ้วของนาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยขบคิดกับคำถามของเขาอย่างเอาจริงเอาจัง สุดท้ายนางจึงตอบคำถามไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับไปด้วยสิ่งที่ยากจะเข้าใจ ”ข้าอยากกินทิรามิสุ”
“มันคืออะไร” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลิกคิ้วขึ้น เขาไม่เคยได้ยินชื่อของมันมาก่อน
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลียริมฝีปากบางของตน แล้วอธิบายว่า ”มันเป็นขนมชนิดหนึ่ง มันทั้งนุ่มและหวานเวลาที่ท่านกินมันเข้าไป แต่มันก็มีรสชาติขมเล็กน้อย อืม… ข้าอยากกินจัง”
“นุ่ม หวาน แต่ก็ขมเล็กน้อยหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนางพลางเอ่ยทวน ทันใดนั้นเขาก็โน้มตัวลงมาจูบริมฝีปากของนาง ”นี่หรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม แล้วจูบเขาตอบ ”ไม่ใช่ แต่ข้าคงเอามันมาที่นี่ไม่ได้ ดังนั้นพวกเรามากินขนมซิ่งกันดีกว่า มันก็เหมือนกันนั่นล่ะ”
“ได้” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยส่งเสียงตอบ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ในใจ
เขาสามารถบอกได้ว่าสถานที่ที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเคยอยู่นั้นเป็นอย่างไรจากคำพูดของนาง
มันมีขนมหวานชื่อทิรามิสุที่ไม่สามารถหาได้จากที่นี่
ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดำทะมึน เขากระชับกอดร่างของนางเอาไว้
เฮ่อเหลียนเวยเวยกัดขนมซิ่งไปหนึ่งคำ แล้วมองเขาด้วยแก้มพองๆ ของตน ”มีอะไรหรือ”
“ไม่มีอะไร” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยรู้ว่านางคงกำลังหิว แต่พวกเขาก็ยังไม่ลุกออกจากเตียง ขนมกล่องเล็กอัดแน่นไปด้วยของหวานนานับชนิดเป็นสิ่งเดียวที่วางอยู่ใกล้มือ เขาช่วยเช็ดคราบขนมที่ติดอยู่ตรงมุมปากให้กับนาง
ระหว่างที่นางกำลังกินขนมอยู่ นางก็ยังไม่ลืมที่จะป้อนเขาไปด้วย นางเอ่ยขึ้นว่า ”ชิ้นนี้อร่อยกว่า”
จริงๆ แล้ว ขอเพียงนางป้อน จะเป็นอะไรเขาก็กินทั้งนั้น
ขันทีซุนถึงกับตกตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้า…
องค์ชายไม่ชอบกินอาหารร่วมโต๊ะกับใครมาตั้งแต่ยังเด็ก
เมื่อเขาโตขึ้น ทุกอย่างที่เขาใช้นั้นจะต้องเป็นของที่หรูหราที่สุด
ทั่วทั้งเมืองหลวงคงได้เข้าสู่การเฉลิมฉลองแน่หากเขาเลิกนิสัยเลือกกิน กลายเป็นคนเอาใจง่าย และสามารถรักษาโรคคลั่งความสะอาดได้เสียที!
แต่ทว่า…
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง