องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 440 ไปเที่ยวกันเถอะ
ซ่าซ่า
เม็ดฝนตกกระทบกับใบไม้กว้าง ภายในอุทยานหลวงมีขันทีและนางกำนัลเดินกันขวักไขว่ เว้นก็แต่บริเวณที่มีองครักษ์เงาขวางอยู่เท่านั้น
อดีตฮ่องเต้ยืนอยู่ในศาลาอันเงียบสงบ มือทั้งสองข้างของเขาไพล่กันอยู่ที่ด้านหลัง เขาชำเลืองมองหลานชายคนโปรด แล้วกล่าวว่า ”อาเจวี๋ย เจ้าบอกปู่มาตามตรงดีกว่าว่าเวยเวยถูกสิงจริงหรือไม่”
ตั้งแต่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ตาย คนของสี่ตระกูลใหญ่ก็ดูเหมือนจะเสียสติกันไปโดยสิ้นเชิง
พวกเขายืนกรานว่าพระชายาคนใหม่ถูกวิญญาณเข้าสิง และนางกำลังใช้ทุกวิถีทางเพื่อทำให้ทุกคนสับสน
แม้กระทั่งองค์ชายสามก็ยังฆ่าเด็กสาวที่เป็นพระชายาเพื่อนาง ในภายภาคหน้าจักรวรรดิจะต้องพบกับความพินาศอย่างแน่นอน
เมื่อเรื่องดำเนินมาจนถึงขั้นนี้ เขาจึงจำเป็นต้องถามออกมา
ในเวลานี้จักรวรรดิจ้านหลงยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา เขาจึงจำต้องทำให้อำนาจของทุกฝ่ายสอดคล้องกันอย่างสมดุล
เขาสามารถอนุญาตให้อาเจวี๋ยทำทุกอย่างได้ตามที่เขาต้องการ
แต่ถ้าหากนางถูกสิงอยู่จริงๆ ล่ะ…
ดวงตาของอดีตฮ่องเต้หม่นแสง เขาไม่มั่นใจในสิ่งที่เขาจะทำต่อไปเอาเสียเลย
“นางไม่ได้ถูกสิง” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบเสียงเบา สีหน้าของเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง ”นางเพียงแค่ฉลาดกว่าเมื่อก่อนเท่านั้น และเรื่องเล็กน้อยนั่นก็กลับกลายเป็นหัวข้อให้คนนินทา”
อดีตฮ่องเต้ยิ้มแล้วเอ่ยว่า ”เด็กสาวคนนั้นไม่ได้ฉลาดขึ้นเพียงแค่เล็กน้อย”
“หากนางถูกสิงจริง เป้าหมายหลักของนางก็ควรจะเป็นราชวงศ์ ไม่ใช่เพียงแค่ตระกูลซูที่เหลืออยู่” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขยับถ้วยชาในมือ มือคู่นั้นยิ่งดูงดงามล้ำค่าเมื่อมีแหวนเงินที่นิ้วนาง ”คนคงไม่พูดถึงนางแบบนั้นหากนางไม่ได้แต่งงานกับข้า”
อดีตฮ่องเต้รู้สึกเสียใจขึ้นมาทันทีที่เขาได้ยินเช่นนั้น เขาถอนหายใจแล้วกล่าวว่า ”สายตาของทุกคนจับจ้องมายังเจ้าเพราะเจ้าคือองค์ชายของจักรวรรรดิจ้านหลง จึงเป็นธรรมดาที่ทุกคนจะเห็นว่าความผิดพลาดเล็กน้อยที่สุดของเจ้าเป็นเรื่องใหญ่” อดีตฮ่องเต้เงียบไปเล็กน้อยหลังจากพูดจบ จากนั้นจึงพูดต่อว่า ”เจ้าจะทำอย่างไรถ้าหากเวยเวยถูกสิงจริงๆ”
“ข้าจะทำอะไรน่ะหรือ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลยทีเดียว” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยกถ้วยชาในมือขึ้น แล้วจิบน้ำในนั้นพลางเอ่ยออกมา ดวงตาของเขามืดมิดจนไม่มีใครสามารถบอกถึงอารมณ์ที่อยู่ในดวงตาของเขาได้
บ่าวรับใช้ที่ยืนอยู่ข้างๆ ขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น
อดีตฮ่องเต้ตบบ่าเขา แล้วเอ่ยว่า ”ผู้คนสงสัยเด็กสาวคนนั้นเพราะนางเป็นคนมีความสามารถมาก โดยเฉพาะเมื่อนางมีแม่เลี้ยงเช่นนั้น เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะช่วยปิดเรื่องนี้ให้ แต่ในระหว่างนี้เจ้าต้องระวังให้ดี”
“อืม” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบเสียงเบา
หลังจากหัวข้อสนทนานั้นสิ้นสุดลง ปู่กับหลานชายจึงเริ่มเปิดประเด็นเรื่องอื่นกัน…
…….
“พี่สามพูดเช่นนั้นจริงๆ หรือ” องค์ชายห้าที่อายุน้อยกว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่กี่ปีกระตุกยิ้ม แล้วเอ่ยว่า ”ช่างเป็นชายที่ไร้หัวใจจริงๆ”
ที่ในเวลานี้เขาต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างยากลำบากก็เป็นเพราะเฮ่อเหลียนเวยเวยกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
ท่านแม่ของเขาถูกส่งไปตำหนักเย็นและถูกห้ามไม่ให้ออกจากสถานที่แห่งนั้นอีก
ท่านลุงของเขาต้องโทษประหารเพราะเป็นกบฎ
ในเวลานี้จวนอ๋องมู่หรงมีผ้าสีขาวถูกผูกไว้ทั่ว
องค์ชายห้าเช่นเขาช่างมีชีวิตที่ไร้ค่ายิ่งนัก
เขานึกถึงวันคืนอันรุ่งโรจน์ แล้วหันกลับมามองสถานการณ์ที่เขาอยู่ในตอนนี้…
องค์ชายห้ากำมือเข้าหากันพร้อมกับมองไปยังหญิงสาวคนที่อยู่ด้านหลังเขา ”แม่นางอวิ๋น คิดแผนการให้ข้าทีสิ”
หญิงสาวในชุดเครื่องแบบองครักษ์เงาเดินเข้าไปหาเขาอย่างช้าๆ ใบหน้าของนางมีผ้าคลุมเอาไว้ นางหลุบตาลง แล้วถามกับบ่าวรับใช้เบาๆ ว่า ”องค์ชายสามพูดกับปากตัวเองจริงๆ หรือว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ”
“ขอรับ องค์ชายยังบอกอีกด้วยว่าวังหลวงไม่ต้อนรับคนที่ถูกวิญญาณสิง” บ่าวรับใช้คนนั้นก้มหน้าลงต่ำ ”มันฟังดูเหมือนกับว่าเขาไม่สนใจพระชายาเลยขอรับ”
องค์ชายห้าไม่พอใจ ”หากเป็นเช่นนั้นข้าจะจัดการกับเขาได้อย่างไร!”
“องค์ชายโปรดระงับโทสะก่อนเพคะ” อวิ๋นปี้ลั่วยิ้มอย่างนุ่มนวลแล้วพูดต่อ ”องค์ชายสามไม่สนใจเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยซ้ำหรือ หึๆ… หม่อมฉันไม่แน่ใจเลยว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะคิดอย่างไรหากนางได้ยินเรื่องนี้เข้า”
ทันใดนั้นองค์ชายห้าก็เข้าใจ ”เจ้าคิดที่จะ… ฮ่าๆ เยี่ยม! ช่างเป็นแผนการที่เยี่ยมยอดยิ่งนัก! ขันทีหลี่ เขียนทุกอย่างที่เจ้าได้ยินลงในกระดาษ แล้วหาทางส่งมันให้กับพี่สะใภ้สามผู้โหดเหี้ยมของข้าเสีย มาดูกันว่าพวกเขาจะทะเลาะกันเองอย่างไร!”
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีหลี่คำนับเขาก่อนจะขอตัวกลับ เขาชำเลืองมองอวิ๋นปี้ลั่วก่อนจะออกไป
ว่ากันตามหลักเหตุผลแล้ว ฮองเฮาสั่งให้อวิ๋นปี้ลั่วกลับมาเพื่อช่วยสร้างความขัดแย้งระหว่างอดีตฮ่องเต้กับองค์ชายสาม
ตอนนี้เมื่อฮองเฮาสูญเสียอำนาจไปแล้ว อวิ๋นปี้ลั่วกลับไม่ได้ซ้ำเติมบาดแผลของนาง ซ้ำยังยินยอมช่วยเหลือนายน้อยของตนรับมือกับคนอื่นๆ ต่ออีกด้วย
แต่เขาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์นี้มากนัก ต่อให้เขาจะเข้าใจ มันก็ไม่มีสิ่งใดที่เขาจะสามารถทำได้อีก
เขาต้องลองสู้เพื่อโอกาสรอดชีวิตอันน้อยนิดก่อนที่อดีตฮ่องเต้จะส่งเขาไปยังชายแดนของจักรวรรดิ!
ตะวันลับฟ้า ความมืดปกคลุมไปทั่วทั้งแผ่นดิน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั่งอยู่ในห้องทรงอักษรทางทิศใต้ เขาสวมเสื้อคลุมสีขาวกับเสื้อสีดำ เขากำลังอ่านสาส์นที่อยู่ในมือ ม้วนกระดาษเก่าๆ ดูแปลกตาไปเมื่ออยู่ในมือของเขา
คงไม่มีใครเชื่อว่ามือคู่นี้จะสามารถฆ่าคนได้อย่างโหดเหี้ยมอำมหิต
“ฝ่า… ฝ่าบาท…” ขุนนางคนหนึ่งคุกเข่าอยู่กับพื้นห้องทรงอักษรทางทิศใต้แห่งนี้มาได้ครู่ใหญ่ แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะลุกขึ้น
พู่กันในมือของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชะงักไปเล็กน้อย สายตาของเขาดูอ่อนโยนขึ้นเมื่อมองแหวนเงินบนนิ้วนาง ”เจ้าไปได้แล้ว อย่าทำผิดซ้ำสองอีก”
“ไป.. ไปได้หรือพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางคนนั้นไม่เชื่อหู เขากลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ความยินดีเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน และเขายังไม่พร้อมที่จะรับมัน เขาควรทำเช่นไรดี!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยขึ้นหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ”เอาล่ะ เจ้าไม่ต้องไปแล้ว”
ขุนนาง : …
ไม่นะพ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมขอร้องล่ะฝ่าบาท ปล่อยกระหม่อมไปทีเถิด ได้โปรด!
ต่อให้ความยินดีนั้นจะเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่มันก็ยังดีกว่าไม่มีเลย!
“ได้ยินมาว่าเจ้ามีอนุภรรยาหลายคน” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา
ขุนนางคนนั้นถึงกับคอแข็ง เขาเอ่ยออกมาเสียงดังว่า ”นั่นเป็นเพียงแค่ข่าวลือพ่ะย่ะค่ะ!”
“หืม” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยวางพู่กันในมือลง ดวงตาเรียวแคบของเขาเลิกขึ้นเล็กน้อย
ขุนนางคนนั้นรีบพูดความจริงทันที เขาไขว้นิ้วเข้าหากัน แล้วตอบว่า ”อัน… อันที่จริง… ก็มีไม่มากนักพ่ะย่ะค่ะ…” จบสิ้นแล้ว องค์ชายจะยึดทรัพย์สินของข้าเพียงเพราะเรื่องนี้หรือ!
ถ้าองค์ชายยืนกรานที่จะทำเช่นนั้นละก็ ข้า.. ข้าจะ… ข้ายอมตายต่อหน้าเขาแทนเสียยังดีกว่า!
“ปกติแล้วเจ้าเอาใจพวกนางอย่างไร”
อะไรนะ?
ขุนนางคิดว่าหูของเขาคงจะมีปัญหา
เขาเงยหน้าขึ้นทั้งที่ยังตัวสั่นจากความกลัว เขาเอ่ยถามหลังจากมั่นใจแล้วว่าผู้เป็นนายถามเขาเช่นนั้นอย่างแน่นอน ”เอา… เอาใจอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ทำอย่างไรถึงทำให้ผู้หญิงพวกนั้นมีความสุขได้หรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดเสียงเบา คิ้วยาวของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
ขุนนางคนนั้นถึงกับอึ้ง!
องค์ชายกำลังถามเขาอยู่จริงๆ หรือ
“องค์ชาย ท่านไม่จำเป็นต้องทำอะไร เพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นให้พวกนางเห็นหน้า พวกนางก็คงจะพากันเป็นลมหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” เขาไม่เคยซื่อตรงขนาดนี้มาก่อน!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกระตุกยิ้มชั่วร้าย พลางใช้นิ้วลูบใบหน้าด้านข้างของตน ”นางต้องชอบใบหน้าของข้ามากอยู่แล้ว”
จะมีใครไม่ชอบชายหนุ่มที่รูปงามที่สุดบนแผ่นดินด้วยหรือ! ขุนนางคนนั้นมองผู้เป็นนายของตน แล้วจากนั้นจึงหันกลับมามองร่างท้วมๆ ของตัวเอง เขารู้สึกเสียใจขึ้นมาทันที และคิดว่าสวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย
“นอกจากหน้าตาล่ะ”