องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 441 องค์ชายกับเวยเวยไปเดินเล่น
นอกจากหน้าตาหรือ
“เงินพ่ะย่ะค่ะ!” ขุนนางคนนั้นไม่เคยเห็นผู้เป็นนายพูดจาดีเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นเขาจึงรู้สึกใจชื้นขึ้นมาทันที ”องค์ชายดูสารรูปกระหม่อมสิพ่ะย่ะค่ะ ท่านคิดว่าทำไมถึงยังมีคนอยากกระโจนใส่กระหม่อมอยู่ล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกวาดสายตามองเขาเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า ”ไม่ใช่เพราะพวกเขาตาบอดหรอกรึ”
ขุนนาง : …
เขาคิดผิด!
ถึงแม้ว่าองค์ชายจะทำตัวไม่เหมือนกับปกติ แต่เขาก็ยังปากคอเราะร้ายไม่เปลี่ยน!
“เป็นเพราะฐานะของกระหม่อมต่างหากพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางคนนั้นดูกระดากเล็กน้อยขณะกล่าวถึงเรื่องนี้ ”กระหม่อมมีหน้าที่รับผิดชอบท้องพระคลัง ดังนั้นกระหม่อมจึงมีเงินอยู่ในมือเป็นกอบเป็นกำพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยส่งเสียงต่ำตอบรับคำพูดของเขา
ขุนนางคนนั้นรู้สึกเสียใจขึ้นมาหลังจากที่พูดจบ เขาคิดในใจว่าโอ้สวรรค์!
เขาเผลอเปิดเผยเบื้องลึกเบื้องหลังของตัวเองออกไปได้อย่างไร
เป็นไปได้หรือไม่ว่านี่คือวิธีการสอบปากคำแบบใหม่ขององค์ชาย
ขุนนางคนนั้นเริ่มรู้สึกไม่มั่นใจ เขาจึงลอบมองไปที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
แน่นอนว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยย่อมรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เขาค่อยๆ หมุนแหวนบนนิ้วนางของตัวเอง แล้วเหยียดยิ้ม อย่างเย็นชา ”วันนี้ข้าไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าใคร แต่ข้าอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้หากเจ้ายังมัวแต่ถ่วงเวลาอยู่”
“องค์… องค์ชาย อย่าทรงกริ้วไปเลยพ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมจะพูดต่อเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ!” ขุนนางคนนั้นเช็ดเหงื่อเย็นๆ ออกจากหน้าผาก แล้วกล่าวต่อ ”หากเป็นเรื่องเงิน ท่านจะต้องรู้จักใช้มันให้ถูกวิธีด้วยพ่ะย่ะค่ะ การที่ท่านมอบเงินให้กับนางนั้นใช่ว่าจะทำให้นางชอบได้เสมอไป ท่านจะต้องมอบเงินส่วนหนึ่งในกับพวกนาง และใช้เงินอีกส่วนหนึ่งไปกับการจับจ่ายใช้สอยพ่ะย่ะค่ะ ยกตัวอย่างเช่น เย็นนี้หม่อมฉันจะพาอนุภรรยาคนใหม่ไปทานอาหารที่ภัตตาคารจุ้ยเซียง จองห้องส่วนตัว แล้วให้นางสั่งอาหารทุกอย่างได้ตามใจพ่ะย่ะค่ะ หลังจากนั้นพวกเราก็จะไปเดินเล่นที่จวนปู้อวิ๋น หากนางเห็นผ้าผืนใหม่ หรือเครื่องประดับผมที่นางถูกใจ ข้าก็จะซื้อให้นางพ่ะย่ะค่ะ! พูดสั้นๆ ก็คือซื้อทุกอย่างให้นางพ่ะย่ะค่ะ!”
นิ้วเรียวยาวของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเคาะลงบนม้วนกระดาษโบราณนั้น ท่าทางของเขาดูสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง ”ไม่มีแล้วหรือ”
“เบื้องต้นก็มีเพียงเท่านี้พ่ะย่ะค่ะ…” อย่างไรเขาก็คิดว่าเงินคือพระเจ้าหากเราใช้ให้ถูกทาง!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเก็บม้วนกระดาษม้วนนั้น เขาเลิกคิ้วขึ้นราวกับกำลังยับยั้งชั่งใจ ”ง่ายกว่าที่ข้าคิดเอาไว้เสียอีก”
อะไรง่ายกว่าหรือ ขุนนางรู้สึกสับสน เขาฟังมาก็ตั้งนาน แต่ก็ยังไม่เข้าใจเลยว่าเจ้านายของตนคิดที่จะทำอะไร
หรือว่า…
ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็วาบเข้ามาในหัว ขุนนางคนนั้นลอบมองนิ้วเรียวของผู้เป็นนาย แล้วเขาก็เข้าใจในทันที
มีความเป็นไปได้สูงทีเดียวที่ฝ่าบาทถามคำถามพวกนี้ก็เพราะพระชายา!
เขาเดาถูก ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทำเช่นนี้เพราะอยากให้เฮ่อเหลียนเวยเวยมีความสุข
นางคงเบื่อที่ต้องอยู่คนเดียว เพราะนางไม่ได้ไปที่สำนักไท่ไป๋มาหลายวันแล้ว
เขาไม่เคยลืมว่านางเกลียดการถูกกักขังและรักอิสระมากเพียงใด
เพื่อทำให้นางเลิกคิดที่จะไปจากวังหลวง เขาต้องแก้ไขปัญหานี้ตั้งแต่ต้นเหตุ
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นางยื่นมือออกไปหาเขาตามปกติตอนที่นางเห็นเขาเดินเข้ามา จากนั้นนางก็หยิบขนมขึ้นมา แล้วป้อนมันใส่ปากของเขา ริมฝีปากของนางกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มขณะถือกล่องขนมเอาไว้ในมือ ”ข้าเจอขนมรสใหม่ เป็นอย่างไรบ้าง”
“อืม พอได้ หอมกลิ่นใบป๋อเหอดี” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดึงนางเข้ามาใกล้ แล้วโอบแขนรอบตัวนางพร้อมกับนั่งลงบนม้านั่งตัวยาวอย่างเป็นธรรมชาติ และบอกกับนางว่า ”เราจะออกไปกินข้าวข้างนอกกัน เจ้าไปเปลี่ยนชุดสิ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มตอบเขา ”เข้าใจแล้ว ชุดผู้หญิงหรือชุดผู้ชายดี”
“ชุดผู้ชาย” ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขาก็ไม่อยากให้นางปรากฏตัวบนถนนอีกเพราะนางมีแต่จะดึงดูดความสนใจของทุกคน!
หลังรับคำเขา เฮ่อเหลียนเวยเวยก็เดินออกมาในไม่ช้า ตอนนี้นางอยู่ในชุดสีขาว นางดูดีเป็นอย่างมาก และเพราะชุดผู้ชายที่นางสวมอยู่ ไฝเสน่ห์ที่ใต้ตาของนางก็ยิ่งดูน่ามอง มันดึงดูดให้ทุกคนต้องหันกลับมามองอีกครั้ง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนางอยู่ครู่หนึ่งพร้อมกับขมวดคิ้วยาวเข้าหากัน จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อแล้วทำอะไรสักอย่างกับใบหน้าของนาง ”ตอนนี้ค่อยดีขึ้นหน่อย”
ดีขึ้นหรือ เฮ่อเหลียนเวยเวยนึกสงสัยในรสนิยมความงามขององค์ชายระหว่างมองใบหน้าที่ปรากฏอยู่ในกระจก มันดำจนไม่สามารถดำไปกว่านี้ได้อีกแล้ว
ก่อนที่นางจะทันได้ถามอะไร ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็โน้มตัวเข้ามาแล้วจูบนางอย่างดุดัน
จูบนั้นติดจะรุนแรงแต่ก็ยังอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน มันเหมือนกับสายลมที่โหมกระหน่ำ จูบนั้นแทบจะพัดให้นางจมหายลงไปในทะเลอันไร้จุดสิ้นสุด เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่อาจทำอะไรได้อีก นอกจากกอดเขาเอาไว้แน่น และพยายามหายใจต่อเท่านั้น
“ข้าไม่อยากปล่อยเจ้าออกไปจริงๆ” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ เขาฟังดูยั่วยวนและอ่อนโยน เสียงนั้นไพเราะน่าฟังจนทำให้หัวใจของนางเต้นผิดจังหวะ นางอยากตอบสนองทุกคำขอร้องของเขา
ใบหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยเริ่มแดงระเรื่อ ริมฝีปากแดงของนางชุ่มฉ่ำ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยละอองน้ำ นางดูเย้ายวนมากขึ้นเรื่อยๆ ”เช่นนั้นก็ไม่ต้องออกไป”
“ไม่เป็นไร ข้าจองร้านเอาไว้แล้ว” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยโอบแขนรอบเอวนาง แล้วกัดใบหูของนางอย่างอดไม่ไหว ”ไปกันเถอะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าถ้าองค์ชายไม่ได้จองร้านเอาไว้ แล้วเขาจะทรมานนางต่อหรือเปล่า
นางสะดุ้งราวกับต้องของร้อนเมื่อคิดถึงเรื่องนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยหมดแรงแล้วฝังหน้าเข้ากับอกของเขาในทันที นางสูดกลิ่นกายของเขาแล้วหลับตาลงอย่างผ่อนคลาย
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพานางขึ้นรถม้าทั้งอย่างนั้น ทั้งสองนั่งจับมือกันอยู่บนรถม้า แสงที่สะท้อนออกมาจากแหวนยิ่งทำให้ทั้งสองดูใกล้ชิดสนิทสนมกันอย่างไม่อาจอธิบายได้
ทั้งสองคนเลือกที่จะใช้ชื่อปลอม และเที่ยวเล่นอย่างสนุกสนานในวันนี้
พวกเขาสะบัดแขนเสื้อเป็นสัญญาณบอกให้บรรดาขันทีและองครักษ์ของวังกลับไป ทั้งสองคนเพียงสั่งให้องครักษ์เงาที่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างไร้ร่องรอยอยู่ต่อ
พวกเขาเดินเล่นบนถนน ร่างของทั้งสองดูดีเป็นอย่างมาก แม้ทั้งคู่จะปลอมตัวแล้ว แต่เพราะบุคลิกที่มีมาตั้งแต่เกิดของทั้งสอง จึงทำให้ผู้คนมากมายเผลอหันหน้ากลับมามองทั้งคู่โดยไม่รู้ตัว
เฮ่อเหลียนเวยเวยซื้อมันเผามาชิ้นหนึ่ง หลังจากปอกเปลือกออก นางก็หักมันเป็นสองซีก แล้วส่งครึ่งหนึ่งในกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ก่อนจะส่งมันเผาหวานๆ อุ่นๆ เข้าปากตัวเอง
“อย่าให้มันเลอะไปทั่วเช่นนี้สิ”
องค์ชายสามไม่ลืมที่จะเช็ดมือของตนอยู่เสมอ
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกอยากบอกเขาว่าเวลากินมันเผา เขาควรจะรีบกิน แต่ในวินาทีที่นางหันไปเห็นท่าทางการกินของเขา นางก็ต้องยอมรับกับความพ่ายแพ้
อย่างไรเสียมันก็เป็นเรื่องยากนักที่จะได้เห็นใครสักคนที่สามารถกินมันเผาด้วยท่าทางเหมือนกำลังถ่ายตัวอย่างหนังเช่นนี้ได้
มือของนางเปรอะไปทั่วตอนที่กินเจ้าสิ่งนี้ แต่เขากลับมีรอยเปื้อนแค่บริเวณปลายนิ้วเท่านั้น เขาดูดีเป็นอย่างยิ่งแม้กระทั่งตอนกินอะไรสักอย่าง
ทันทีที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกินมันเผาชิ้นนั้นหมด เขาก็หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดมือ ”เริ่มมืดแล้ว เราไปที่ภัตตาคารจุ้ยเซียงกันดีกว่า ร้านนั้นมีอาหารโปรดของเจ้าด้วยนะ”
“อื้ม พอกินเสร็จ ค่อยห่อเนื้ออบกลับไปฝากเจ้าเจ็ดก็แล้วกัน” เฮ่อเหลียนเวยเวยจับมือเขาพลางเดินขึ้นบันได
ห้องส่วนตัวงดงามอย่างมาก มันเต็มไปด้วยข้าวของหรูราคาแพงทั่วทุกมุมห้อง
แม้จะแต่งตัวเป็นสามัญชน และแฝงตัวไปกับคนอื่นๆ แล้ว แต่องค์ชายสามก็ยังคงชื่นชอบสถานที่ที่สงบอยู่ดี
โดยปกตินั้นภัตตาคารจุ้ยเซียงจะมีเมล็ดแตงโมและถั่วเอาไว้ให้กับลูกค้าก่อนอาหารจานหลักจะมา
เฮ่อเหลียนเวยเวยดูเชื่อฟังเป็นอย่างยิ่งตอนที่นางถือกล่องใส่เมล็ดแตงโมเอาไว้และหยิบเมล็ดพวกนั้นขึ้นมากิน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั่งอยู่ข้างนาง เขาพาดแขนของตัวเองไว้กับพนักเก้าอี้ของนางเหมือนปกติ แล้วเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ ว่า ”ข้าก็อยากกินเหมือนกัน”
“หืม” เฮ่อเหลียนเวยเวยส่งเสียงพร้อมกับยื่นเมล็ดแตงโมให้เขา
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้รับเมล็ดพวกนั้นไป แต่กลับยังคงเอนหลังอยู่อย่างนั้น เขาใช้นิ้วลูบผมของนางเบาๆ แล้วบอกว่า ”ข้าคิดว่าฮูหยินจะป้อนข้าเสียอีก…”
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง