องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 444 ความรักที่พวกเขามีให้กันนั้นลึกซึ้งเพียงใด
แน่นอนว่าเราต้องรักคนสำคัญของตัวเองอย่างมีสติ นี่เป็นความรู้ทั่วไปจากเรื่อง ’เจ้าพ่อค้าอาวุธ’ แม้กระทั่งเรื่องพื้นฐานเช่นนี้คนพวกนั้นก็ยังตระหนักไม่ได้เลยหรือ คนไม่อ่านนิยายนี่น่ากลัวจริงๆ คนพวกนี้ช่างไม่มีอารยธรรมเอาเสียเลย!
ในเวลานี้ที่อีกมุมหนึ่งของวังหลวง องค์ชายห้าและอวิ๋นปี้ลั่วที่กำลังตั้งหน้าตั้งตารอดูเฮ่อเหลียนเวยเวยกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทะเลาะกันเองอาจไม่เข้าใจไปตลอดชีวิตเลยด้วยซ้ำว่าทำไมแผนการของพวกเขาจึงไม่ได้ผล และมันไปผิดพลาดที่ตรงไหน
ถ้าให้เฮ่อเหลียนเวยเวยเฉลยให้พวกเขาฟัง ก็คงเป็นเพราะการที่ทั้งสองไม่เคยอ่านนิยายมาก่อนนั่นเอง
ผลสุดท้ายคงจะเป็น… แค่กแค่ก
ส่วนจดหมายฉบับนั้น มันไม่ได้อยู่ในมือของเฮ่อเหลียนเวยเวยนานนัก
มันตกไปอยู่ในมือของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยภายในเวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูป
ขันทีซุนรู้สึกไถึงอุณหภูมิรอบตัวที่เริ่มเย็นลงได้อย่างชัดเจน
แต่เจ้านายของเขากลับทำเพียงแค่ยิ้มออกมา ดวงตาดำขลับของเขาเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาราวกับน้ำแข็ง ”จดหมายฉบับนี้ถูกเขียนขึ้นมาเป็นอย่างดี คนที่จดบันทึกคำพูดนี้เอาไว้ก็จัดว่าน่าสนใจทีเดียว มันไม่ขาดตกบกพร่องไปเลยแม้แต่คำเดียว พวกเขาทำงานได้ดียิ่งนัก”
ขันทีซุนไม่กล้าพูดอะไรแม้แต่คำเดียว และทำได้เพียงแค่กลืนน้ำลายด้วยความกระวนกระวายเท่านั้น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถือถ้วยชาอยู่ในมือ แต่แล้วมือของเขาก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ตามมาด้วยเสียงของแตกดังเพล้ง!
เขาโยนมันลงตรงหน้า!
น้ำชาสาดกระเซ็นไปทั่วโต๊ะจนทำให้กระดาษเซวียนที่อยู่บนนั้นเปียกชุ่ม
“ไปตรวจสอบเรื่องนี้มาให้ข้า!” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยขึ้นพร้อมกับหรี่ตา ความกดดันที่เขาแผ่ออกมาสามารถทำให้คนหยุดหายใจได้เลยทีเดียว ”หลังจากตรวจสอบจนได้เรื่องแล้ว เจ้าจงนำตัวคนคนนั้นไปพบเสด็จปู่ พวกมันทุ่มเทกับงานนี้เป็นอย่างมาก ข้าควรจะต้องดูแลพวกมันให้ดีสมกับความทุ่มเทนั้น”
ขันทีซุนรู้ว่า ’การดูแล’ ที่เจ้านายของตนพูดถึงนั้นย่อมเป็นสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าการถูกส่งไปยังคุกใต้ดิน
เพียงแต่หากเป็นในอดีต การจะได้เห็นฝ่าบาทเดือดดาลถึงเพียงนี้นั้นนับว่าเป็นเรื่องที่หายากอย่างยิ่ง
แม้กระทั่งตอนที่เขาฆ่าคน เขาก็ยังไม่สงบเยือกเย็น ไม่สะทกสะท้านกับกลิ่นคาวเลือดนั้นเลยแม้แต่น้อย หลังจากเสร็จเรื่อง เขาก็เพียงแค่ล้างมือและเปลี่ยนเสื้อผ้า คงไว้ด้วยภาพลักษณ์อันบริสุทธิ์ไร้ซึ่งมลทิน
การที่เขาจะลงมือจัดการกับใครโดยตรงอย่างในวันนี้นั้นนับว่าเป็นสิ่งที่เห็นได้ยากยิ่งนัก
ดูเหมือนว่าครั้งนี้คนพวกนั้นจะแตะขีดจำกัดล่างขององค์ชายเสียแล้ว จดหมายฉบับนั้นไม่ใช่สิ่งที่พระชายาควรจะได้อ่านจริงๆ
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ขันทีซุนก็เอ่ยขึ้นมาอย่างลังเลว่า ”แล้วเรื่องพระชายา…”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น นิ้วของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็พลันหยุดชะงัก ดวงตาของเขาหม่นแสง จากนั้นจึงตอบว่า ”ไปเรียกหนานกงเลี่ยมา”
“นายน้อยเลี่ยหรือพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีซุนไม่เข้าใจว่าในเวลานี้เขาจะเรียกตัวนายน้อยเลี่ยมาทำไม
คิ้วยาวของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขมวดเข้าหากัน จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นยิ่งกว่าเดิม ”เขารับมือกับเรื่องพวกนี้ได้ดีกว่าข้า”
ขันทีซุนเข้าใจได้ในทันทีว่า ถ้าเป็นเรื่องปลอบใจผู้หญิง นายน้อยเลี่ยมักมีวิธีของตัวเองเสมอ
ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป หนานกงเลี่ยในชุดเสื้อคลุมตัวยาวก็เดินเข้ามาหาเขา แล้วรีบนั่งลงบนเก้าอี้ไม้พร้อมกับคลายกระดุมตรงคอเสื้อของตัวเองอย่างรวดเร็ว ”อาเจวี๋ย เจ้าเรียกข้ามาที่นี่ก็ดีแล้ว ไม่รู้ว่าช่วงนี้คุณหนูพวกนั้นเป็นอะไรกันไปหมด พวกนางทำตัวอย่างกับคนเสียสติแน่ะ ทุกคนเอาแต่ใส่ร้ายว่าเวยเวยเป็นวิญญาณที่มาสิงร่างคนอื่นอยู่ แล้วก็ขอร้องให้ข้าไปปัดเป่านางให้ทุกวี่ทุกวัน จริงสิ เจ้าตามหาตัวข้าทำไมรึ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้พูดอะไร เขากลับโยนจดหมายฉบับนั้นให้อีกฝ่ายแทน
หลังจากหนานกงเลี่ยอ่านจบ เขาก็ยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย ”ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีคนกล้าแอบฟังบทสนทนาระหว่างเจ้ากับอดีตฮ่องเต้จริงๆ คนพวกนั้นเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้วหรือ”
“ข้าได้จดหมายฉบับนี้มาจากเวยเวย” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยราวกับไม่แยแส นิ้วของเขาเคาะลงบนโต๊ะไม้เบาๆ ราวกับกำลังคิดอะไรอยู่
สีหน้าไม่เชื่อปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหนานกงเลี่ย ”จดหมายเช่นนี้ไม่ควรตกไปถึงมือนาง มันย่อมก่อให้เกิดความเข้าใจผิดและกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าทั้งสองแน่”
“นางไม่ได้เข้าใจผิด” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก เขากระตุกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทำให้หนานกงเลี่ยรู้สึกสับสนเล็กน้อย
“หากเจ้าพูดเช่นนั้น แล้วข้าควรจะทำอย่างไร” หนานกงเลี่ยไม่เข้าใจ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยื่นมือออกไปคว้าเสื้อคลุมตัวนอกขึ้นมา จากนั้นจึงกลัดกระดุมเสื้ออย่างช้าๆ ”ไม่มีอะไร ข้าแค่อยากอวดความสัมพันธ์ของข้ากับนางก็เท่านั้น”
หนานกงเลี่ย : …
“เดี๋ยวก่อน อาเจวี๋ย กลับมาคุยกับข้าให้รู้เรื่องก่อน! เจ้ามาทรมานข้าเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่สนใจเสียงที่อยู่ด้านหลังของเขาเลยด้วยซ้ำ เขาสาวเท้าเดินกลับไปที่ห้องบรรทม
ในเวลานั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังคุยกับทหารรับจ้างในชุดดำอยู่ และเมื่อเห็นเขาเข้ามา นางก็หันไปบอกทหารนายนั้นว่า ”ตามนี้ เจ้าไปทำตามที่ข้าสั่งได้”
“ขอรับ” ทหารรับจ้างนายนั้นเดินออกไปพร้อมกับหลุบตาลงมองพื้น เวลาที่เขาเฉียดผ่านไหล่ของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เขามักจะรู้สึกเสียวสันหลังวาบไปเสียทุกครั้ง
เขาตระหนักถึงเรื่องนี้ดี ถ้าหากไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ชายคนนี้ เขาก็คงไม่สามารถเข้ามาข้างในได้ด้วยซ้ำ แม้ว่าเบื้องหน้านั้นจะเหมือนกับว่าองค์ชายสามเป็นคนที่ลิดรอนอิสรภาพของนายน้อย แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่านายน้อยจะทำอะไร ชายคนนี้ก็ไม่เคยพยายามห้ามเลยแม้สักครั้ง…
“ข้าสั่งให้ห้องเครื่องทำขนมรสกุหลาบเอาไว้ให้ เจ้าเคยกินหรือเปล่า” หลังจากที่ทหารรับจ้างนายนั้นออกไป ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ยื่นมือไปอุ้มนางขึ้นมานั่งบนตักของเขาทันที น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำฟังสบายหูยิ่งนัก
เฮ่อเหลียนเวยเวยหาว แล้วเริ่มเล่นกับมือของเขาด้วยการนำมือของตัวเองกับเขามาเทียบกัน ”ข้ากินไปหนึ่งชิ้น มันไม่ได้อร่อยเท่าขนมซิ่ง แต่เจ้าเจ็ดดูเหมือนจะชอบ ดังนั้นข้าก็เลยยกที่เหลือให้เจ้าเจ็ดกิน”
“ตอนนี้เขาฟันหลออยู่นี่ ยังสามารถลิ้มรสชาติขนมได้อีกหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหัวเราะเล็กน้อย จากนั้นจึงประสานนิ้วตัวเองเข้ากับนิ้วของนาง ก่อนจะเอ่ยอย่างช้าๆ ว่า ”เรื่องจดหมายวันนี้ ส่วนหนึ่งนั้นเป็นสิ่งที่ข้าพูดจริง แต่ก็มีหลายส่วนที่ไม่ใช่ แต่ตอนที่ข้าพูดเช่นนั้นออกมา ข้าพูดไปก็เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีใครมาแอบจับตามองเจ้าอีก วังหลวงเป็นสถานที่ที่ไว้ใจใครไม่ได้มาแต่ไหนแต่ไร ในไม่ช้านี้ข้าจะกำจัดคนจากสี่ตระกูลใหญ่ให้หมดเอง เจ้ารอดูก็แล้วกัน เมื่อเวลานั้นมาถึงเมื่อใด ข้าจะทำให้พวกมันทุกคนต้องหุบปากแน่”
บนโลกใบนี้มีก็แต่คนตายเท่านั้นที่ปลอดภัยที่สุด
เฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นความโหดร้ายที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของเขา หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางจึงโน้มตัวเข้าไปหาเขาแล้วประทับจูบลงที่เปลือกตา ”ข้ารู้ แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ทำให้ข้าโกรธมาก”
“เรื่องอะไรหรือ” หัวใจของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเต้นผิดจังหวะ
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว แล้วพูดขึ้นพร้อมกับหาวออกมาอย่างเกียจคร้าน ”ท่านคิดว่าคนที่ส่งจดหมายฉบับนี้มาคิดอะไรอยู่หรือ พวกเขากำลังดูถูกสติปัญญาข้าอยู่หรือไร ทุกวันนี้ท่านปฏิบัติต่อข้าเช่นไร ข้าเองก็รู้ดีอยู่ลึกๆ ในใจ ขนาดเราเลี้ยงสุนัข สุนัขมันก็ยังไม่กัดเจ้านายของมันเลย นับประสาทอะไรกับมนุษย์หรือ พวกเขาไม่เห็นหรือว่าคอของข้ามีปลอกคออยู่ บุคลิกของข้าดูไม่เหมือนประธานจอมเผด็จการหรือยังไงกัน เจ้าคนพวกนั้นมันโง่ชัดๆ!”
“หืม” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยลูบผมของนาง ริมฝีปากบางของเขาขยับเข้าไปใกล้ด้านหลังใบหูนั้น ก่อนจะพึมพำด้วยเสียงทุ้มต่ำแหบพร่าติดจะยั่วยวน ”พูดสองคำนั้นใหม่ทีสิ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยชะงักไปด้วยความสับสน ”สองคำไหน”
“มันไม่กัดอะไรหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดอย่างผ่อนคลาย มือของเขาสอดอยู่ใต้เสื้อของนาง ใบหน้าหล่อเหลานั้นราบเรียบไม่แยแส ทำราวกับว่าคนที่กำลังทำเรื่องพวกนี้อยู่ไม่ใช่เขาแต่อย่างใด
อาจเป็นเพราะปัญหาทางด้านนิสัยเฉพาะตัวเช่นนี้นี่เองที่ทำให้นางรู้สึกว่าการกระทำที่แตกต่างจากคำพูดของเขากระตุ้นให้นางมีอารมณ์มากยิ่งขึ้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกได้ว่าร่างของตนเริ่มร้อนผ่าว นางไม่ยอมพูดสองคำนั้นออกมาอีก
แต่มีหรือที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะปล่อยนางไปง่ายๆ หลังผ่านการสัมผัสอันเร่าร้อนไปได้ครู่หนึ่ง เขาจึงเคลื่อนริมฝีปากจูบไปตามแนวไหล่ของนางทั้งที่นางยังสวมเสื้อผ้าอยู่ มือข้างหนึ่งของเขาคว้าเอวของนางไว้จากด้านหลัง ในขณะที่มืออีกข้างก็กำลังคลายสายคาดเจ้าปัญหาบนชุดนั้นออก เขาขบหูของนางแล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ อย่างชั่วร้ายว่า ”เป็นเด็กดีแล้วบอกข้ามาเสียว่ามันจะไม่กัดอะไร”