องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 449 อนาคตของฮ่องเต้ตัวน้อย
แต่กลับนึกไม่ถึงว่า
ประโยคถัดมาจากปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยจะเป็น ”แต่ข้าชอบ! ถ้ามีเวลาท่านก็ช่วยสอนข้าบ้างสิ ถึงข้าจะไม่คิดว่าตัวเองจะฉลาดเท่าท่านก็เถอะ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเคลื่อนสายตาขึ้นมามองนางจนพบเข้ากับสีหน้าอันเด็ดเดี่ยวที่อยู่บนใบหน้าเล็กๆ นั้น เขาผ่อนแรงที่นิ้วลง และไม่สามารถสะกดกลั้นเสียงหัวเราะของตัวเองได้อีกต่อไป เสียงหัวเราะนั้นเต็มไปด้วยความชั่วร้าย ”เจ้าบอกว่าตัวเองหัวไม่ดี เช่นนั้นเจ้าจะเรียนรู้เรื่องได้อย่างไร แต่ถึงเจ้าจะสมองทึบก็คงไม่เป็นไรกระมัง ตอนที่เจ้าคลอดลูกชายออกมาให้ข้า สติปัญญาของลูกชายเราจะได้สมดุลกัน”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …หรือพูดอีกอย่างก็คือ เขากำลังบอกว่านางต้องรับผิดชอบที่มีส่วนทำให้สติปัญญาของคนในตระกูลมีค่าเฉลี่ยลดลงหรือ!
“ถ้าท่านอยากให้มันสมดุล ข้าก็ไม่มีปัญหา ข้าไม่คิดที่จะต่อล้อต่อเถียงกับท่านหรอก” เฮ่อเหลียนเวยเวยเอนหลังอย่างเกียจคร้าน แต่แล้วนางก็ทำท่าเหมือนคิดอะไรออก และหัวเราะออกมา ”ข้าว่าช่วงนี้ข้าชอบแมวมากกว่า”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยรู้ว่านางพยายามจะสื่ออะไร ริมฝีปากบางของเขาขยับเล็กน้อย จากนั้นเสียงทุ้มต่ำยานคางก็ดังออกมาจากริมฝีปากนั้นราวกับจงใจ
“เหมียว…”
เสียงนั้นนุ่มนวลเป็นอย่างมาก เพียงแค่ฟังก็แทบทำให้ท้องได้เลยทีเดียว
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองหน้าไป๋หลี่เจียเจวี๋ย บนใบหน้าของเขามีรอยยิ้มบางๆ ปรากฏอยู่ รอยยิ้มนั้นทำให้นางนึกถึงพ่อบ้านปีศาจในหนังสือการ์ตูน
นางถึงกับรู้สึกสงสัยในตัวเขาขึ้นมา
ในร่างกายขององค์ชายมีกรรมพันธุ์ของชาวปีศาจผสมอยู่หรือไม่
ถ้าไม่มี ทำไมความสง่างามที่ออกมาจากชายผู้แสนบริสุทธิ์อย่างเขานั้นกลับทั้งแข็งแกร่งและแฝงไปด้วยความชั่วร้ายได้ถึงเพียงนี้
“เขาไม่ใช่ปีศาจ” เสี่ยวไป๋ที่อยู่ในมิติสวรรค์เอ่ยขึ้นหลังจากจับความคิดของเฮ่อเหลียนเวยเวยได้ ”ถ้าเขาเป็นปีศาจ ย่อมไม่มีทางที่ข้าจะสัมผัสไม่ได้”
เขาพูดถูก สัตว์ศักดิ์สิทธิ์มีความสามารถเป็นเลิศในการระบุตัวปีศาจ
การระบุตัวปีศาจย่อมทำได้ยากหากสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ห่างจากมัน แต่ถ้าอยู่ใกล้กันถึงเพียงนี้ ย่อมไม่มีทางที่พวกเขาจะสัมผัสถึงมันไม่ได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยหาว แล้วส่งกระแสจิตหาเสี่ยวไป๋อย่างเกียจคร้าน ”ข้าก็แค่คิดเล่นๆ”
“อาจไม่ใช่เช่นนั้นเสมอไป” แต่ทว่าจู่ๆ หยวนหมิงก็หัวเราะขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง ”สำหรับปีศาจที่ทรงพลังแล้ว หากพวกเขาคิดที่จะปกปิดมัน ก็ใช่ว่าจะมีคนสังเกตเห็นได้ง่ายๆ แต่ชายคนนี้เกิดมาในตระกูลราชวงศ์ โอกาสที่เขาจะก้าวเข้าสู่เส้นทางสายมารนั้นย่อมมีน้อยมาก แต่เรื่องแปลกก็คืออดีตฮ่องเต้ของราชวงศ์นั้นกลับกลัวว่าองค์ชายสามจะก้าวเข้าสู่เส้นทางสายมารมาตั้งแต่แรก ข้าว่าภายในราชวงศ์นี้จะต้องมีเรื่องที่พวกเรายังไม่รู้อยู่อีกแน่นอน ส่วนเจ้า เวยเวย ถ้าเจ้าไม่อยากเห็นองค์ชายสามต้องสูญเสียความเป็นมนุษย์ไปในวันใดวันหนึ่ง เจ้าก็ควรเริ่มคิดหาวิธีช่วยผ่อนผันกรรมชั่วเพื่อช่วยเขาได้แล้ว เขาสังหารเข่นฆ่าผู้คนมามากมายเหลือเกิน จากมุมมองของผู้ฝึกปีศาจ คนเราจะกลายเป็นปีศาจก็ต่อเมื่อสังหารผู้คนด้วยมือตัวเองไปนับหมื่น จากที่ข้ารู้มา เวลานี้คนที่ตายด้วยน้ำมือเขาก็มีอยู่หลายพันทีเดียว ร่างกายของเขามีกลิ่นเลือดมนุษย์ติดจนฉุนมาตั้งแต่ก่อนที่เจ้าจะได้รู้จักกับเขาเสียอีก แต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอันใด กลิ่นนั้นกลับสงบลงเวลาที่เขากอดเจ้า ข้าไม่เคยพบเจอคนที่มีความพิเศษเช่นนี้มาก่อนเลย น่าสนใจและอันตรายจริงๆ”
หลังจากที่เฮ่อเหลียนเวยเวยได้ฟังคำพูดของหยวนหมิง ดวงตาของนางก็หม่นแสงลง ”เจ้าหมายความว่าอย่างไรที่บอกว่าน่าสนใจและอันตราย”
“ข้าก็หมายความว่าวันหนึ่งหากเขาร่วงลงสู่เส้นทางสายมาร ก็จะไม่มีใครสามารถหยุดยั้งเขาได้น่ะสิ” หยวนหมิงกระตุกริมฝีปากบางขึ้นเล็กน้อย ดูจากสีหน้าแล้ว เขาดูจะตื่นเต้นกับความเป็นไปได้นั้นมากทีเดียว
เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้วสวยของตัวเองเข้าหากัน แล้วหันไปสบตากับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ทันใดนั้นคำพูดประโยคหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในใจของนาง
คำพูดประโยคนั้นมีเนื้อความดังนี้:
หากข้ากลายเป็นพระพุทธองค์ เช่นนั้นบนโลกนี้ก็จักไม่มีปีศาจ
หากข้ากลายเป็นปีศาจ แล้วพระพุทธองค์จะทำอะไรข้าได้หรือ
ประโยคนี้บรรยายตัวตนของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้อย่างครบถ้วน
ราวกับว่าเขาควรที่จะได้ยืนอยู่ตรงจุดนั้นและก้มหน้าลงมามองมนุษย์ต่ำต้อย ได้ใช้ชีวิตอันหรูหราของตัวเองโดยไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับโลกแห่งความเป็นจริง
ตอนเขาดี เขาก็เป็นเหมือนชายท่าทางใจดีน่านับถือที่ถือหนังสืออยู่ในมือ และทำท่าคล้ายกำลังพลิกหน้ากระดาษของคัมภีร์พระไตรปิฎกอยู่
ตอนเขาร้าย เขาก็จะกลายเป็นคนชั่วร้ายอันตราย แม้บนใบหน้าจะมีรอยยิ้มบางๆ ปรากฏอยู่เสมอ แต่เขาก็จะเข่นฆ่าผู้คนอย่างโหดร้ายและเพลิดเพลินไปกับการกระทำนั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้กังวลว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะตกสู่เส้นทางสายมาร แต่นางกังวลกับคำทำนายของหยวนหมิงที่บอกว่าเขาจะสูญเสียความเป็นมนุษย์ไปมากกว่า
นางคิดในใจว่า ถ้านางมีเวลาว่างสักสองสามวัน นางจะลองแวะไปที่วัดหลิงอิ่นดู
แน่นอนว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่อาจล่วงรู้ถึงการตัดสินใจของนาง จิตใจของนางยังคงพะวงอยู่กับเรื่องอื่น น้ำเสียงอันนุ่มนวลของเขาดึงความคิดของนางให้กลับมาสู่ความเป็นจริง ”เจ้าไม่ชอบที่ข้าเป็นฮ่องเต้หรือ”
“ไม่เกี่ยวกับว่าข้าจะชอบหรือไม่ชอบหรอก” เฮ่อเหลียนเวยเวยจับมือเขามาอยู่ในมือตัวเอง ”เมื่อก่อนข้าเคยคิดว่ามันเป็นเรื่องน่ารำคาญ ถ้าท่านอยากเป็นฮ่องเต้ ท่านก็จะต้องขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์โดยมีหญิงรูปงามสามพันคนในตำหนัก ข้าไม่อยากแบ่งปันท่านร่วมกับหญิงอื่น แต่ความเป็นจริงก็อยู่ตรงหน้าท่านแล้ว ถ้าท่านไม่ได้เป็นฮ่องเต้ แล้วนับประสาอะไรที่คนอื่นจะเป็นได้ แต่ฮ่องเต้กับองค์ชายห้าคงจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นแน่ ดังนั้นไม่ว่าท่านจะทำอะไรก็ตาม จงทำให้เต็มที่ ข้าจะช่วยท่านสู้ศึกในครั้งนี้อีกแรง”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น หัวใจของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย เขากอดเฮ่อเหลียนเวยเวยแล้วเอ่ยถามเบาๆ ว่า ”เด็กโง่ เรายังมีองค์ชายเจ็ดอยู่มิใช่หรือ”
“องค์ชายเจ็ดคงไม่อยากเป็นฮ่องเต้หรอก” เฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกริมฝีปากบางขึ้นเล็กน้อย ถ้าเขาขึ้นเป็นฮ่องเต้ เขาจะต้องผลาญทรัพย์สินในคลังแผ่นดินหมดไปกับการกินอย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้นเขาก็ยังมีนิสัยชอบประกาศสงครามกับคนอื่นไปทั่วอีกด้วย ความคิดที่จะให้เขาขึ้นนั่งบัลลังก์นั้นไม่ใช่เรื่องตลกเลยแม้แต่นิดเดียว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยค่อยๆ อ้าปากขึ้นก่อนจะบอกว่า ”การช่วยแบ่งเบาภาระของพี่ชายก็ถือเป็นหนึ่งในความรับผิดชอบของเขา”
การเป็นฮ่องเต้ถือเป็นภาระหรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยเผยสีหน้าอึดอัดใจออกมา ”ท่านไม่ชอบการที่จะได้มีอำนาจของทั้งประเทศอยู่ในมือหรือ” ผู้ชายอย่างไป๋หลี่เจียเจวี๋ยย่อมไม่มีทางเกลียดความรู้สึกที่มีอำนาจปกครองแผ่นดิน
“ในแผ่นดินนี้ยังมีวิธีที่จะได้มาซึ่งอำนาจในมืออีกมากมายหลายวิธี ไม่จำเป็นต้องเป็นฮ่องเต้” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดเสียงยานคางราวกับกำลังอธิบายความเป็นจริงให้นางฟังอยู่ ”เมื่อถึงเวลานั้น ข้าขอเป็นเพียงแค่ผู้สำเร็จราชการของฮ่องเต้ก็พอ”
ในที่สุดเฮ่อเหลียนเวยเวยก็เข้าใจ องค์ชายไม่ได้มีความตั้งใจที่จะเป็นฮ่องเต้มาตั้งแต่แรก
ในการตัดสินใจของเขามีความจริงซ่อนอยู่ และนั่นคือการเป็นฮ่องเต้นั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยากยิ่งนัก เขาต้องรับฟังข้อเสนออันยืดยาวจากบรรดาขุนนาง เวลาที่เขาอยากทำอะไร เขาก็ต้องทำตามกฎที่บรรพบุรุษได้ตั้งไว้ เหมือนอย่างตอนที่เขาจำเป็นต้องเลือกสนมเข้ามาในวังนั่นเอง ในอดีตที่ผ่านมานั้นการเลือกพระสนมเป็นสิ่งที่สร้างความขัดแย้งระหว่างฮ่องเต้และฮองเฮามานักต่อนัก
ถ้าเขาเป็นเพียงผู้สำเร็จราชการของฮ่องเต้ ทุกอย่างก็จะง่ายกว่ามาก ทุกคนในประเทศรวมถึงฮ่องเต้จะต้องฟังคำพูดของเขา
เขาไม่จำเป็นต้องตื่นเช้ามาเข้าร่วมการประชุมในราชสำนัก และไม่จำเป็นต้องฟังคำร้องทุกข์จากบรรดาประชาชนอีกด้วย…
เมื่อถึงเวลานั้นองค์ชายเจ็ดตัวน้อยจะเป็นคนที่ต้องทนกับความทรมานนั้น
ชั่วร้าย ชั่วร้ายเสียไม่มี!
เฮ่อเหลียนเวยเวยเล่าสิ่งที่ตัวเองวิเคราะห์ให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยฟัง
“เจ้าคิดว่าข้าทำทั้งหมดนี้เพื่อใครกัน” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยขึ้นแล้วกอดเฮ่อเหลียนเวยเวยจากด้านหลัง พร้อมกับรั้งนางลงไปนอนบนเบาะ นิ้วสวยของเขาง่วนอยู่กับการลูบไล้ร่างของเฮ่อเหลียนเวยเวยอยู่ครู่หนึ่ง
เฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นว่าท้องฟ้าข้างนอกยังสว่างอยู่ นางจึงทำท่าจะลุกขึ้น แต่ข้อมือของนางก็ถูกไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกดเอาไว้ สุดท้ายนางจึงไม่มีทางเลือกนอกจากให้เหตุผลกับเขาว่า ”เพิ่งจะเลยเที่ยงวันมาไม่นาน ถ้ามีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น คงจะมีขุนนางมาเข้าพบท่านแน่ ถ้ามีใครเข้ามา…”
“เช่นนั้นก็ปล่อยให้พวกเขารอไป” ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเต็มไปด้วยความสงบเยือกเย็น เขาพรมจูบลงบนใบหน้ากระวนกระวายของเฮ่อเหลียนเวยเวย นิ้วของเขาไล้ลงมาตามร่างกายของนาง สัมผัสกับความนุ่มนวลที่ปลายนิ้วนำพามาให้ ในขณะเดียวกันก็โน้มตัวเข้าไปกระซิบที่ข้างหูของเฮ่อเหลียนเวยเวยแล้วหัวเราะในลำคอ ”จะมีอะไรสำคัญไปกว่าการสืบสายราชวงศ์หรือ หืม”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น ใบหูของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็แทบจะลุกเป็นไฟ เมื่อเห็นนิ้วของเขาที่สอดเข้าไปในร่าง นางก็ตอบเสียงสั่นว่า ”อย่า… หยุดก่อน… ข้างนอกยังมีคนอยู่ เดี๋ยวพวกเขาจะได้ยิน…”