องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 451 เปิดม่านการประชุมประจำตระกูล
“ข้าว่าเราควรพิจารณาเปลี่ยนสถานที่ดูบ้าง สำหรับเจ้าแล้วห้องสมุดทางทิศใต้น่าจะตื่นเต้นเร้าใจที่สุดกระมัง…” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดต่อด้วยสายตามีเลศนัย
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …
ความหน้าเนื้อใจเสือขององค์ชายสามนั้นแฝงอยู่ในทุกการกระทำและคำพูดของเขา เฮ่อเหลียนเวยเวยเอาชนะเขาไม่ได้ ดังนั้นนางจึงตัดสินใจกินข้าวต่ออย่างเงียบๆ
ระหว่างที่กินข้าวอยู่นั้น นางก็ปลอบใจตัวเองว่าประธานจอมเผด็จการต้องรู้จักยอมอ่อนข้อให้กับคนสำคัญของตัวเอง และนางก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
ขันทีซุนไม่เข้าใจว่าพวกเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ แต่เมื่อเห็นว่าทั้งสองกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เขาก็หวังว่าชีวิตของพวกเขาจะดำเนินต่อไปอย่างมีความสุขเช่นนี้ตลอดไป
ใช่แล้ว!
องค์ชายทรงยิ้มบ่อยขึ้น
การสร้างความบาดหมางในครั้งนี้ไม่เพียงแต่ไม่ได้สร้างปัญหาให้กับความสัมพันธ์ของทั้งสองแต่ตรงกันข้าม มันกลับยิ่งทำให้ทั้งสองรู้สึกสนิทใจต่อกันขึ้นเสียอีก
ดูเหมือนวันที่พวกเขาจะได้ต้อนรับองค์ชายตัวน้อยคงอยู่อีกไม่นานเกินรอ
ขันทีซุนจมอยู่ในภวังค์ความคิดอันสุขสมของตัวเองแม้ว่าเขาจะยุ่งจนมือเป็นระวิงกับการจัดจานอาหารอยู่ก็ตาม
หลังจากนั้นเขาจึงนำเรื่องนี้ไปทูลให้อดีตฮ่องเต้ทรงทราบ
อดีตฮ่องเต้มีความสุขยิ่งนักกับข่าวนี้ เขายกชาขึ้นจิบด้วยรอยยิ้ม แล้วกล่าวว่า ”ดีๆ ยอดเยี่ยมจริงๆ”
“จากมุมมองของกระหม่อม องค์ชายมิได้มีแม่นางอวิ๋นอยู่ในใจเลยแม้แต่น้อยพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีซุนเปรียบเทียบอดีตกับปัจจุบัน ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมาเช่นนั้น ”บางทีอาจเกิดการเข้าใจผิดกันขึ้นก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
ทันทีที่ได้ยินดังนั้น รอยยิ้มของอดีตฮ่องเต้ก็หายไป ”ภายนอกนั้นเจวี๋ยเอ๋อร์ดูเหมือนจะสบายดี แต่แท้จริงแล้วลึกลงไปในใจของเขาก็ยังคงยึดติดอยู่กับสิ่งที่เสด็จแม่เคยปฏิบัติต่อเขาเอาไว้ อย่างไรเสียนางก็ยังเป็นมารดาร่วมสายเลือดกับเขา และเขาก็หวังที่จะได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้เป็นมารดาของตน ข้ายังจำได้ว่าตอนที่เจวี๋ยเอ๋อร์ยังอายุน้อยกว่าองค์ชายเจ็ดในเวลานี้ น่าจะยังไม่ถึงสามขวบดีด้วยซ้ำกระมัง ในเวลานั้นเขาสามารถเดินด้วยตัวเองได้แล้ว ตอนที่เขาได้รับรางวัล เขาอยากนำสิ่งนั้นไปให้เสด็จแม่ของตัวเอง แต่เสด็จแม่ของเขากลับไล่เขาออกไป เขามาหาข้าแล้วถามว่า ’เสด็จปู่ ข้าทำอะไรผิดหรือ ทำไมเสด็จแม่ถึงเกลียดข้าล่ะ’ เหล่าซุนเอ๋ย ตอนที่เขาถามคำถามพวกนั้นกับข้า เจ้าคงไม่รู้ว่าข้ารู้สึกเสียใจเพียงใด ในเมื่อแม่นางอวิ๋นเป็นคนที่เสด็จแม่ของเขาทิ้งไว้ให้ อีกทั้งหน้าตาของนางก็ยังดูคล้ายกับเสด็จแม่ของเขา ดังนั้นเขาจึงให้เกียรตินางเสมอ ข้าเพียงแค่เป็นกังวลกับคำทำนายของพระมหาเทวะเท่านั้น…”
“อดีตฮ่องเต้เกรงว่าองค์ชายจะตกสู่เส้นทางสายมารหรือพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีซุนลดเสียงลงแล้วเอ่ยว่า ”กระหม่อมเห็นว่าองค์ชายมีพัฒนาการขึ้นจากเมื่อก่อนมากทีเดียว เพราะมีพระชายาอยู่ด้วย เขาถึงได้ระวังตัวขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
อดีตฮ่องเต้วางถ้วยชาในมือลงพร้อมกับทอดสายตามองออกไปไกล จากนั้นจึงเอ่ยว่า ”เขาไม่ได้ระวังตัว แต่อันที่จริงเขากำลังซ่อนพวกมันให้ลึกกว่าเดิมต่างหาก ตัวอย่างก็เหมือนเมื่อคราวก่อนที่บรรดาคนที่เรียกเวยเวยว่าแพศยาถูกเขาฆ่าจนไม่เหลือนั่นอย่างไร นอกจากนี้ยังมีข้ารับใช้จำนวนหนึ่งที่หายตัวไปจากวังหลวงอีกด้วย หากข้าไม่ได้เป็นผู้ตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เขาก็คงจะปิดบังความลับนี้เอาไว้จากข้าเสียด้วยซ้ำ เหล่าซุน ข้าเองก็แก่แล้ว จึงทำอะไรได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เจ้าจงจำไว้ว่าหากสักวันเขาตกลงสู่เส้นทางสายมารจริง เจ้าจะต้องลงมือซะ ข้าทนเห็นสิ่งที่สี่ตระกูลใหญ่จะทำกับเขาไม่ได้ คนพวกนั้นจะปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็นปีศาจ และเข้าทำร้ายเขาแน่ ด้วยความเย่อหยิ่งของเขา เขาย่อมไม่ยอมให้ตัวเองเปื้อนฝุ่นอย่างแน่นอน แล้วนับประสาอะไรกับการสูญเสียความเป็นมนุษย์เล่า ต่อให้มันไม่ใช่เพื่อเขา แต่ข้าก็ต้องมีความรับผิดชอบต่อจักรวรรดิจ้านหลง เมื่อใดที่ราชวงศ์กลายเป็นปีศาจ เมื่อนั้นผลที่ตามมาย่อมไม่ใช่เรื่องดี”
“กระหม่อม…” ขันทีซุนมองใบหน้าอันเหนื่อยล้าของอดีตฮ่องเต้ เขาแทบจะสำลักเสียงของตัวเองตอนที่ขานรับว่า ”พ่ะย่ะค่ะ”
ออกมา…
หลังจากที่องค์ชายห้าถูกคุมขังได้ระยะหนึ่ง ในราชสำนักจึงเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบรรดาสี่ตระกูลใหญ่ เพราะเดิมทีนั้นพวกเขาก็ฝากความหวังไว้กับองค์ชายห้า
อย่างไรเสียเขาก็เป็นคนที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้มาอย่างยาวนาน และด้วยฐานะองค์ชายของเขา เขาน่าจะสามารถแข่งขันกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้
ถ้าองค์ชายห้าได้เป็นฮ่องเต้ พวกเขาก็จะมีหุ่นเชิดอีกตัวคอยทำงานให้
เมื่อถึงเวลานั้น พวกเขาก็จะสามารถทำทุกอย่างได้ตามแต่ใจปรารถนา และสามารถรีดเลือดออกมาได้มากเท่าที่พวกเขาต้องการโดยไม่ต้องกังวลสิ่งใด
เช่นเดียวกับในทุกวันนี้ ที่พวกเขาสามารถลงมือได้อย่างไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใดก็เพราะในวันนั้นพวกเขาชักจูงให้ฮ่องเต้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการปรุงโอสถนั่นเอง
แม้กระทั่งฮ่องเต้ก็ยังอยากมีชีวิตเป็นอมตะ
แต่ระยะนี้หลายอย่างกลับอยู่เหนือการควบคุมของพวกเขา
มิหนำซ้ำกองทัพจ้านหลงก็ยังแอบสืบอะไรบางอย่างอยู่
พวกเขาจำเป็นต้องระวังในการกระทำของตัวเองมากขึ้น และเรื่องนี้ทำให้พวกเขารู้สึกไม่พอใจเอาเสียเลย!
“หากเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเราจะเป็นอมตะได้อย่างไร” ผู้อาวุโสในชุดสีขาวเอ่ยขึ้น ดวงตาของเขามีประกายสีแดงอันผิดแผกจากปกติวาบผ่าน
แต่เขากลับไม่ได้สังเกตเห็นมันแต่อย่างใด เขาลูบใบหน้าของตนเองแล้วเอ่ยว่า ”ข้าไม่มีวันยอมกลับไปผอมซูบเหมือนอย่างวันนั้นอีกแล้ว”
“ไม่ใช่แค่เจ้า พวกข้าก็ไม่ต้องการเช่นกัน” ไม้เท้าหัวมังกรปักลงบนพื้น ใบหน้าของผู้อาวุโสอีกสามคนที่เหลือเย็นชา หน้าผากของพวกเขาดำคล้ำ ”เลือดของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จวนจะหมดแล้ว พวกเราควรหาทางเลือกอื่น ข้าได้ยินมาว่าเลือดของเด็กทารกช่วยยืดเวลาได้ยาวนานกว่า แต่ข้าก็ไม่รู้ว่ามันใช้ได้ผลจริงหรือไม่”
“มันใช้ได้ผลจริง แต่เจ้าจะกระทำการเช่นนั้นต่อหน้าคนอื่นไม่ได้”
เสียงทุ้มลึกดังขึ้นจากด้านหลังม่านลูกปัดพร้อมกับกลิ่นชาจางๆ ”ตอนนี้ข้าจำเป็นต้องให้พวกเขาสร้างปราณแห่งความโกรธแค้นให้มากขึ้น ตราบใดที่ผนึกถูกทำลาย สิ่งที่พวกเราจะได้นั้นไม่ใช่เพียงแค่เทพมังกร แต่พวกเจ้าทุกคนเองก็จะได้รับชีวิตที่เป็นอมตะเช่นกัน”
ทันทีที่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด ความละโมบที่ไม่เคยมีมาก่อนก็พลันปรากฏขึ้นในดวงตาของบรรดาผู้อาวุโส ”ตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไรดี”
“ข้ามีวิธี” ชายชุดขาวลุกขึ้นยืน เขาวางหวีไม้เล่มหนึ่งลงในมือของหนึ่งในผู้อาวุโส แล้วบอกว่า ”ทั้งหมดที่เจ้าต้องทำก็คือการนำสิ่งนี้เข้าไปในวังหลวง แล้ววางมันเอาไว้ใกล้ๆ เฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วมันจะแสดงผลของมันออกมาเอง”
ผู้อาวุโสเก็บหวีไม้เล่มนั้นกลับด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
แต่ไม่มีใครในนั้นตระหนักได้เลยว่าชีวิตอมตะที่พวกเขาตั้งตารออยู่นั้น แท้จริงแล้วกลับเป็นความโลภที่คอยป้อนเงามืดที่มองไม่เห็นซึ่งอยู่ด้านหลังพวกเขา เงานั้นกำลังขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และสุดท้ายมันก็จะเข้าควบคุมและสลับตัวกับพวกเขา…
ในเวลาเดียวกัน ณ คฤหาสน์ผู้พิทักษ์ อวิ๋นปี้ลั่วในชุดเสื้อคลุมปิดบังใบหน้านำจดหมายฉบับหนึ่งมาส่งให้กับข้ารับใช้
จดหมายฉบับนั้นระบุชื่อผู้รับถึงเฮ่อเหลียนกวงเย่าและซูเหยียนโม่
เมื่อซูเหยียนโม่ได้อ่านจดหมายฉบับนั้น นางก็เหยียดยิ้มขึ้น แล้วเอ่ยว่า ”นังคนชั้นต่ำนั่นชักจะเหิมเกริมขึ้นทุกวัน”
“ทำไมหรือ” เฮ่อเหลียนกวงเย่าหยิบจดหมายฉบับนั้นไปอ่านด้วยสายตาราวกับเคลือบยาพิษ ”องค์ชายสามเป็นคนเจ้าเล่ห์มาแต่ไหนแต่ไร ดังนั้นมันจึงดูไม่เหมือนกับว่าเขาทำเพื่อนาง ครั้งนี้เขากระทำการโหดเหี้ยมเช่นนั้นกับน้องชายตัวเองหรือ ชื่อเสียงของเขาคงได้ฉาวโฉ่อย่างถึงที่สุดแน่… อดีตฮ่องเต้คงจำเป็นต้องคิดให้ดีหากคิดที่จะส่งต่อตำแหน่งฮ่องเต้ให้กับเขา”
ซูเหยียนโม่หรี่ตาลงพร้อมกล่าวว่า ”พวกมันสองคนเป็นคนที่ผลักลูกสาวของเราไปสู่ความตาย! ข้าจะแก้แค้นพวกมันให้สาสม!”
“ไม่ต้องห่วง ข้าเตรียมการสำหรับการประชุมประจำตระกูลเอาไว้แล้ว กองกำลังลับเองก็จะส่งตัวแทนมาด้วย และเมื่อถึงเวลานั้นละก็…”