องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 456 องค์ชายจอมเจ้าเล่ห์และชั่วร้าย
เฮ่อเหลียนเวยเวยกัดริมฝีปากตัวเองอย่างประหม่า นางไม่อยากเชื่อเลยว่านั่นคือเสียงของนาง นางขมวดคิ้วแล้วหันมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ขณะพยายามหลบหนีจากความปรารถนาอันแสนทรมานนั้นไปด้วย ”พอแล้ว หยุดสักที..” นางเอ่ยเสียงแข็ง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเมินนาง และกระแทกตัวเข้าใส่จุดที่ลึกที่สุดของนางพร้อมกับจับมือของนางไว้
เฮ่อเหลียนเวยเวยถูกรังแกจนแทบหมดสภาพ เสื้อของนางยังคงอยู่บนตัว แต่เสียงของนางกลับเต็มไปด้วยความปรารถนา
ขันทีได้ยินสิ่งที่พระชายาพูดไม่ชัดเจนนัก ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงยืนเกาศีรษะรออยู่ข้างนอกเท่านั้น
เขาไม่กล้าตัดสินใจโดยพลการตราบใดที่ไม่ได้มีคำสั่งมาจากพระชายา แต่แล้วในที่สุดเขาก็นึกหนทางในการแก้ปัญหาอันเหมาะสมที่สุดขึ้นมาได้ ดังนั้นเขาจึงตะโกนออกไปว่า ”พระชายาพ่ะย่ะค่ะ ให้กระหม่อมพาแขกไปรอที่ห้องข้างๆ ก่อน และรอจนกระทั่งจะสะดวกดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยตัวสั่น นางอยากยันตัวลุกขึ้น แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ผลักนางกลับลงไปบนฟูกแล้วกระแทกร่างของตนเข้าไปลึกกว่าที่เคย
“ขอร้องล่ะ… ช้าลงหน่อย! ข้าไม่ไหวแล้ว ขอร้อง… ไม่เอา…”
เฮ่อเหลียนเวยเวยทนไม่ไหวอีกต่อไปเพราะจุดที่อ่อนไหวที่สุดของนางกำลังถูกเสียดสีอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
“พระชายาพ่ะย่ะค่ะ?” ขันทีคนนั้นถามขึ้นอีกครั้ง จากนั้นจึงถอนหายใจยาวเพราะไม่ได้รับคำตอบใดๆ กลับมา
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหัวเราะต่ำๆ ในลำคอ เขาคว้าขาทั้งสองข้างของนางไว้พลางออกแรงสอดใส่ส่วนนั้นเข้าไปในร่างของนางจนสุด!
“โอ้ สวรรค์…”
เฮ่อเหลียนเวยเวยอยู่ในสภาพจวนจะหมดสติอยู่รอมร่อเพราะความตื่นเต้นสุดขีดที่ถาโถมเข้าสู่ร่างกาย นางนอนอยู่บนผ้าสีแดงผืนใหญ่พร้อมกับมีน้ำตาซึมขึ้นบริเวณหางตา
ดวงตาเยือกเย็นของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ่งลึกล้ำขึ้นอีกในตอนที่มองนาง เขาโน้มตัวเข้าไปหานางแล้วเอ่ยปลอบนางว่า ”เด็กดี ข้าขออีกครั้งก็แล้วกัน…”
การแสดงความรักของพวกเขาเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยอมปล่อยนางเอาก็ตอนที่ถึงเวลามื้อเที่ยงแล้ว นางกำนัลนำเสื้อผ้าเข้ามาให้เขาเปลี่ยน
นางนอนอยู่ในอ้อมแขนของเขา นางแทบไม่อยากลืมตาขึ้นมาเสียเลย นอกจากสีทองดูสูงส่ง และสีแดงที่ดูหรูหราแล้ว เส้นผมของนางที่โผล่พ้นออกมาให้เห็นเพียงรำไรนั้นก็ยิ่งทำให้ภาพนี้ดูสง่างามจนยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
ทุกครั้งที่ขันทีซุนเข้ามาในห้อง สิ่งแรกที่เขาทำคือการจุดธูปที่อยู่อีกด้านหนึ่งของม่านบังตา จากนั้นเขาจึงสั่งให้คนนำถังไม้เข้ามา เขาไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบมองตอนที่ร่างของนางชุ่มโชกไปด้วยน้ำ
ทันทีที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยช่วยเฮ่อเหลียนเวยเวยสวมชุดนอนเสร็จ เขาก็เดินออกมาอย่างกระฉับกระเฉงขณะที่เฮ่อเหลียนเวยเวยอ้าปากหาวด้วยความเหน็ดเหนื่อย
“เจ้าอยากกินอะไรอ่อนๆ หรือเปล่า” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถามพร้อมกับกอดนางไว้ในอ้อมแขน จากนั้นจึงติดกระดุมหินเม็ดสุดท้ายบนเสื้อตัวนอกของตัวเอง ใบหน้าด้านข้างของเขาดูมีเสน่ห์เป็นอย่างมาก เขาดูไม่เหมือนคนที่เพิ่งทำเรื่องที่ใช้กำลังมาเลยแม้แต่นิดเดียว
“อืม” เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่คิดที่จะออกความเห็นใดๆ เพราะรู้ว่าเขาเป็นคนเจ้าเล่ห์มาแต่เกิด นางพร้อมจะกินทุกอย่างที่เขาป้อนให้
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอดใจไม่ไหวเมื่อเห็นสีหน้านั้น ดังนั้นเขาจึงขยับตัวเข้าไปหานาง แต่เขาก็ยั้งตัวเองเอาไว้ได้ทันเพราะรู้ว่านางยังมีเรื่องที่ต้องจัดการอยู่ เขาหันกลับไปสั่งขันทีซุนว่า ”เอายาเม็ดอสูรที่แคว้นตะวันออกมอบให้พวกเราเมื่อคราวก่อนมาให้ข้า บดมันให้เป็นผงแล้วผสมกับน้ำกุหลาบก่อนนำมาให้พระชายา”
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีซุนก้มหน้าลงและคิดในใจว่า ยานี้มีสรรพคุณในการบำรุงและฟื้นฟูพลังชีวิตก็จริง แต่บนแผ่นดินนี้ก็มียาเม็ดอสูรอยู่เพียงแค่สามเม็ดเท่านั้น เม็ดหนึ่งสำหรับฮ่องเต้ ส่วนอีกเม็ดหนึ่งนั้นเป็นของอดีตฮ่องเต้ การทำเช่นนี้ย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าองค์ชายทรงรักใคร่เอ็นดูพระชายาจากใจจริง
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกได้ว่าสรรพคุณของยาเม็ดอสูรนี้ดีจริงดังว่า เพราะนางรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่อยู่ภายในร่างได้ทันทีที่ดื่มน้ำกุหลาบเข้าไป เมื่อนางลองขยับนิ้วดูก็พบว่าเรี่ยวแรงของนางกลับคืนมาจริงๆ
“ข้าน่าจะตุนยาตัวนี้เอาไว้ให้มากขึ้น” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดขึ้นข้างหูนางพร้อมด้วยรอยยิ้ม ”เผื่อเจ้าสลบไปตอนครึ่งทางเช่นนี้อีก…”
เฮ่อเหลียนเวยเวยถึงกับสำลักกับคำพูดของเขาจนแทบพ่นน้ำกุหลาบที่อยู่ในปากออกมา
“เจ้ามีอารมณ์กับเรื่องนี้หรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถามด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายพลางบิดเบือนสิ่งที่นางต้องการจะสื่อ
เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดไม่ออก
เขาใช้ตาข้างไหนดูถึงเห็นว่านางมีอารมณ์!?
“หึๆ” เขาหัวเราะเสียงต่ำพลางใช้สายตาคมกริบมองนางระหว่างกล่าวว่า ”เจ้ายังไม่ได้ทายาที่หมอหลวงทำให้ใช่หรือเปล่า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหน้าแดงในทันที นางไม่ตอบแต่กลับลุกขึ้นยืนแล้วเตรียมตัวที่จะออกไป
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยรั้งนางไว้แล้วเอ่ยเบาๆ ว่า ”ให้ข้าช่วยเจ้าดีไหม ฤทธิ์ยาคลายแล้วเจ้าค่อยออกไป”
มันไม่ใช่ยาแต่เป็นขี้ผึ้งนุ่มๆ เย็นๆ ขนาดเล็กที่สำหรับใช้กับส่วนสงวนของสตรีเพื่อป้องกันการอักเสบ และยังมีฤทธิ์ในการบรรเทาอาการปวดจากระดูอีกด้วย
แต่ถึงมันจะช่วยได้จริง เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยังรู้สึกไม่สบายตัวยิ่งนักเพราะขี้ผึ้งตัวนี้จำต้องอยู่ในร่างของนางอย่างน้อยก็หนึ่งก้านธูป
นางคิดว่านางจะสามารถหนีไปได้ แต่คาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้ในวันนี้
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยสั่งให้คนนำขี้ผึ้งอันนั้นมาให้ ก่อนสั่งให้พวกเขาออกไป จากนั้นเขาก็โอบเฮ่อเหลียนเวยเวยเอาไว้ แล้วสอดนิ้วของตัวเองเข้าไปในส่วนสงวนของนาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยยืนนิ่งเพราะนางรู้ว่าท่านี้ค่อนข้างอันตรายทีเดียว ถ้านางขยับตัว คนที่จะต้องเจ็บก็คือนางเอง
เฮ่อเหลียนเวยเวยตัวสั่นตอนที่เขาสัมผัสข้างในของนาง
ทั้งสองนั่งอยู่บนตั่งโดยมีนางนั่งอยู่บนตักเขา นางซุกใบหน้าของตัวเองเข้ากับอกเขา และคว้าเสื้อของเขาเอาไว้แน่นเพราะไม่อยากเห็นมืออันร้ายกาจข้างนั้น นางตัวสั่นเมื่อขี้ผึ้งนุ่มๆ อันนั้นแทรกเข้าไปอยู่ในตัว แม้กระทั่งใบหูของนางก็ยังพลอยขึ้นสีแดงระเรื่อไปด้วย
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองใบหน้าน่าสงสารของนาง แล้วหอมแก้มนางเบาๆ ลมหายใจของเขาร้อนแรงขึ้นทีละน้อย ”อึดอัดหรือ” เขาถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“อืม” นางจะรู้สึกสบายตัวได้อย่างไรในเมื่อมีบางอย่างอยู่ในนั้น เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ขี้ผึ้งนั้นก็เริ่มละลาย จมูกของเฮ่อเหลียนเวยเวยเริ่มมีเหงื่อซึมชื้น นางขยับตัวด้วยความประหม่าและเอ่ยว่า ”เมื่อไหร่จะเสร็จหรือ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองตอบนาง แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่าติดจะเสียดายว่า ”ข้าน่าจะช่วยเจ้าทายาให้เร็วกว่านี้ สีหน้าของเจ้าในเวลานี้ดูเหมือนเจ้ากำลังขอร้องข้าอยู่ไม่มีผิด”
“เงียบไปเลย” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดเสียงเบา นางเหงื่อแตกพลั่กไปทั้งร่าง เวลานี้นางไม่สามารถใช้น้ำเสียงเยือกเย็นอย่างที่นางใช้ในเวลาปกติได้อีกต่อไป นางหวังเพียงแค่ว่าความร้อนในร่างของนางจะจางหายไปให้เร็วที่สุด
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังไม่ละมือออกจากร่างนาง แต่กลับออกแรงบังคับให้นางเอนตัวเข้าหาเขาราวกับจะไม่ปล่อยให้นางห่างกาย
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่าร่างกายของนางร้อนขึ้นขณะที่จุดนั้นถูกสัมผัส นางมองเขาโดยไม่พูดอะไรขณะที่กัดริมฝีปากของตัวเองแน่น จากนั้นนางจึงยกมือขึ้นโอบรอบคอเขา แล้วขยับตัวเข้าหาเขาทันที
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเป็นคนตรงไปตรงมา ทันทีที่ยาละลายจวนจะหมด เขาก็เลิกเสื้อของนางขึ้นแล้วบดเบียดตัวเข้าหานางทันที ข้างในนั้นทั้งร้อนระอุและชื้นแฉะ ความรู้สึกนั้นทำให้เขาถึงกับเคลิบเคลิ้ม
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยอมรับว่าเขาไม่สามารถยั้งตัวเองได้อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงรั้งนางเข้ามาในอ้อมกอด เขากระแทกร่างเข้าหานางอย่างแรงจนชุดของนางเลื่อนหลุด ขณะเดียวกันก็เอ่ยเตือนนางด้วยรอยยิ้มบางๆ ว่า ”เจ้าอย่าส่งเสียงจะดีกว่า มิฉะนั้นข้าเกรงว่าวันนี้เจ้าคงไม่ได้ออกไปไหนแน่…”