องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 462 กรรมตามสนองฮูหยินซูแล้ว
เห็นได้ชัดว่าเฮ่อเหลียนกวงเย่าไม่ต้องการอธิบายเรื่องส่วนตัวภายใต้สายตามากมายเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงตอบอย่างร้อนใจว่า ”เจ้าจะเสียงดังทำไม กลับไปแล้วค่อยคุยกัน”
“กลับไปหรือ” ซูเหยียนโม่รู้สึกเหมือนศีรษะของนางแทบจะระเบิดออกมา โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นไม่คิดที่จะปล่อยมือจากเขาเลยแม้แต่นิดเดียว ด้วยความเป็นคนหยิ่งผยองมาแต่ไหนแต่ไร นางจึงไม่สามารถทนกับเรื่องแบบนี้ได้ นางก้าวเท้าออกไป หมายจะกระชากมือของหลานเหลียนออก!
หลานเหลียนตัวสั่นและดูหวาดกลัวอย่างมาก นางซุกตัวเข้ากับวงแขนของเฮ่อเหลียนกวงเย่าพร้อมกับเอ่ยเบาๆ ว่า ”กวงเย่า ข้า… ข้าทำอะไรผิดหรือ”
“เด็กดี เจ้าไม่ผิดหรอก” หลังจากเฮ่อเหลียนกวงเย่าปลอบหลานเหลียนเสร็จ เขาจึงเงยหน้าขึ้นมองซูเหยียนโม่ ”เจ้าก่อเรื่องพอแล้วหรือยัง วันนี้เจ้ายังทำให้พวกเราขายหน้าไม่พออีกหรือ”
ก่อนหน้านี้เขายังเป็นห่วงอยู่เลยว่าซูเหยียนโม่จะรู้เรื่องอนุภรรยาของเขาเข้า แต่ตอนนี้เขากลับไม่หวาดกลัวอีกต่อไป ตาแก่จากตระกูลซูกำลังนอนรอความตายอยู่บนเตียง และในไม่ช้าเขาก็จะได้ตระกูลซูมาไว้ในมือ ส่วนผู้หญิงคนนี้ ตราบใดที่นางทำตัวมีเหตุผล เขาก็จะให้นางได้กินอาหารดีๆ มีเสื้อผ้าสวยๆ ใส่ แต่ถ้าไม่ละก็ เช่นนั้นก็ให้นางดูแลตัวเองก็แล้วกัน!
“คนที่สร้างความอับอายคือข้าหรือท่านกันแน่! ดูสิว่านางยังเด็กเพียงใด ท่านทำได้อย่างไร… ท่าน!” ยิ่งซูเหยียนโม่พูด นางก็ยิ่งรู้สึกเหมือนอากาศเบาบางลงเท่านั้น นางยกมือขึ้นแนบหน้าผาก เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้งดงามหรือสาวเท่าผู้หญิงคนนั้น ความสิ้นหวังที่กัดกินจิตใจนั้นทำให้นางสูญเสียซึ่งความสง่างามที่เคยมีไปจนหมดสิ้น นางกระชากผมของหลานเหลียนอย่างแรง ”นังแพศยา!”
ด้วยฝีมือของหลานเหลียน การจะหลบเลี่ยงอีกฝ่ายนั้นย่อมเป็นสิ่งที่นางสามารถทำได้โดยง่าย แต่นางก็ไม่ได้หลบ นางกลับเซถลาไปตามแรงของซูเหยียนโม่ จนล้มลงกับพื้นอย่างแรง ใบหน้าของนางซีดจนขาว ขณะที่นิ้วของนางก็กุมหน้าท้องของตัวเองไว้พร้อมกับร้องออกมาเสียงดังว่า ”กวงเย่า กวงเย่า ข้าเจ็บ”
หัวใจของเฮ่อเหลียนกวงเย่าบีบรัดด้วยความเจ็บปวด เขาพยุงหลานเหลียนขึ้นมา แล้วถีบซูเหยียนโม่อย่างแรง
ซูเหยียนโม่ไม่คิดว่าเขาจะกล้าลงมือกับนาง ตอนที่ความรู้สึกเจ็บนั้นพุ่งเข้าปะทะนาง ที่มุมปากของนางก็มีเลือดซึมออกมาเสียแล้ว นางกำมือทั้งสองข้างเข้าหากันแน่น และกัดฟันด้วยความเกลียดชัง ”พวกเรา… พวกเราเป็นสามีภรรยากันมาเจ็ดปี ท่านทำกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไร!”
“ข้าก็ไม่ได้อยากทำเช่นนี้เหมือนกัน” ความจริงเฮ่อเหลียนกวงเย่าไม่ได้ตั้งใจจะถีบนางรุนแรงถึงเพียงนั้น แต่ทันทีที่เห็นหลานเหลียนถูกทำร้าย เขาก็ไม่อาจควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป ”เหลียนเอ๋อร์ท้องอยู่ แต่เจ้ากลับทำตัวเหมือนหญิงเสียสติและทุบตีนาง! ถึงจวนแล้วเราค่อยมาคุยกัน” เขาเสียสิทธิ์ในการสืบทอดตระกูลเฮ่อเหลียนไปแล้ว เขาไม่อาจปล่อยให้ตัวเองต้องเสียหน้าได้
ทันทีที่ซูเหยียนโม่ได้ยินคำว่าท้อง นางก็ตัวสั่นไปถึงขั้วหัวใจ ความสิ้นหวังพุ่งเข้ามาในหัวของนางอีกระลอก ”ท่าน… ท่านอยู่กับมันมาตลอด! มันเกิดขึ้นตอนที่ท่านเอาแต่หาข้ออ้างบอกว่ายุ่งใช่ไหม ท่านไปหานังแพศยานี่ใช่หรือเปล่า เฮ่อเหลียนกวงเย่า เจ้ายังเป็นคนอยู่ไหม!”
“ข้าไม่อยากคุยกับเจ้าตอนนี้” เฮ่อเหลียนกวงเย่าเห็นว่าคุยกับนางไปก็คงไม่เป็นผล เขาจึงสะบัดแขนเสื้อยาวของตนแล้วหมุนตัวต้องการจะเดินออกไป
ผู้นำทุกคนล้วนแต่สับสนมึนงงกับเหตุการณ์ที่เปลี่ยนสลับไปมาตรงหน้า แต่สายตาที่พวกเขามองซูเหยียนโม่นั้นกลับแฝงไปด้วยความสงสารเห็นใจ
ความจริงนั้นมีน้อยคนนักที่รู้ว่าเฮ่อเหลียนกวงเย่ามีอนุภรรยาอยู่นอกบ้าน นั่นจึงหมายความว่าเขาปิดบังความลับเรื่องนี้เอาไว้ได้ดีทีเดียว แต่ซูเหยียนโม่กลับโง่เชื่อในตัวเขา อีกทั้งยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตระกูลซูตกไปอยู่ในกำมือของเฮ่อเหลียนกวงเย่าแล้ว
“เฮ่อเหลียนกวงเย่า!” ซูเหยียนโม่ใช้มือข้างซ้ายทุบพื้นอย่างแรงพร้อมกับตะโกนออกมาสุดเสียง ”ถ้าท่านกล้าไปก็ลองดู! ท่านลืมไปแล้วหรือว่าหากไม่มีตระกูลเฮ่อเหลียน ท่านก็ไม่เหลืออะไรเลย ตระกูลซูของเรามีวิธีจัดการท่านเป็นร้อยพันวิธีเชียว!”
ความสงสารเห็นใจในดวงตาของทุกคนยิ่งเพิ่มมากขึ้นทันทีที่พวกเขาได้ยินคำพูดนี้
ต้าสงยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาเกาศีรษะแล้วถามเฮ่อเหลียนเวยเวยว่า ”นายน้อย เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยส่งเมล็ดแตงโมให้กับเขา บนใบหน้าของนางปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยพลางถือถ้วยชาไว้ในมือ แล้วจึงเอ่ยเพียงว่า ”ดูให้สนุกก็แล้วกัน”
ต้าสงไม่เข้าใจว่ามันสนุกตรงไหน แต่เพื่อนของเขาคนนี้และเจ้าเจ็ดก็มีอาการไม่ต่างกัน ตราบใดที่มีอาหาร ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ดีทั้งนั้น
ดังนั้นเขาจึงใช้ศอกดันทหารที่ยืนอยู่ข้างๆ ออกอย่างเบิกบาน แล้วบอกเบาๆ ว่า ”รีบหลบไปสิ!”
ชื่อเหยียนเป็นคนมีนิสัยจริงจังที่สุดในหมู่พวกเขา ดังนั้นเมื่อเขาเห็นภาพทหารกล้าจากกองกำลังลับนั่งยองๆ กินขนม และร่วมวงสนทนาว่าเรื่องนี้จะเป็นไปในทิศทางใด เขาก็อยากแสร้งทำเป็นไม่รู้จักคนกลุ่มนี้ยิ่งนัก!
เห็นได้ชัดว่าภาพนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น ในความคิดของทุกคน พวกเขาเหล่านี้ล้วนแต่เป็นชายผู้หล่อเหลา ยิ่งใหญ่และทรงอำนาจอยู่เสมอ แต่บังเอิญว่าตอนนี้พวกเขาดันมีนายน้อยเป็นคนไม่ค่อยน่าเชื่อถือก็เท่านั้น…
เมื่อเห็นชื่อเหยียนเอาแต่ขมวดคิ้วใส่ตลอดเวลา เฮ่อเหลียนเวยเวยก็คิดว่าเขาคงไม่พอใจเพราะนางไม่แบ่งเมล็ดแตงโมให้กับเขา ดังนั้นนางจึงทำตาโต แล้วยื่นมือออกไปหาเขาอย่างซื่อๆ ”นี่อันสุดท้ายแล้ว”
“ไม่ล่ะ ขอบใจ!” ชื่อเหยียนเอ่ยอย่างเย็นชา แต่มุมปากของเขากลับกระตุกขึ้น พร้อมกับลอบถอนหายใจอยู่ในใจ เป็นอย่างที่คิด นางต่างไปจากเมื่อก่อนจริงๆ…
…..
เมื่อถูกล้อมเอาไว้เช่นนี้ เฮ่อเหลียนกวงเย่าย่อมรู้สึกอึดอัดเป็นธรรมดา เดิมทีนั้นเขาไม่คิดจะหันหลังให้นาง แต่คาดไม่ถึงเลยว่าหลานเหลียนที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาจะเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ว่า ”กวงเย่า ท่านควรหยุดได้แล้ว ถ้า… ถ้าข้าทำให้ท่านต้องสูญเสียทุกอย่างไป ข้าคงรู้สึกผิดยิ่งนัก”
เมื่อเฮ่อเหลียนกวงเย่าหันหน้ากลับไป ซูเหยียนโม่ก็เหยียดยิ้มขึ้น และหายใจเข้าลึก ความกดดันในอกของนางค่อยๆ จางลงเล็กน้อย แต่นิ้วของนางก็ยังคงสั่นอย่างควบคุมไม่ได้อยู่ ”กวงเย่า คิดดูให้ดี หากท่านเดินออกไปจากประตูนี้ ท่านคงรู้นะว่าจะต้องเจอกับอะไร”
“เจ้าขู่ข้าหรือ” เฮ่อเหลียนกวงเย่าหัวเราะอย่างเย็นชา ”ตลอดหลายปีมานี้ เจ้าเอาแต่ใช้ตระกูลซูเพื่อกดดันข้า แต่เจ้าอย่าลืมล่ะว่าถ้าไม่ใช่เพราะข้า ตระกูลซูก็คงไม่มีวันมีฐานะเช่นนี้ได้แน่ ตอนนี้ท่านพ่อของเจ้าก็แก่แล้ว ข้าขอแนะนำให้เจ้าอยู่เงียบๆ เสีย ทำเช่นนั้นย่อมส่งผลดีต่อเราทั้งสองมากกว่า”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูเหยียนโม่ก็ตัวสั่น นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอันแหบแห้งว่า ”ท่านหมายความว่าอย่างไร?!” พูดจบนางก็ปรี่เข้าไปหาเฮ่อเหลียนกวงเย่าแล้วเขย่าแขนของเขาอย่างแรง ”พูดออกมาให้ชัดๆ ว่าท่านหมายความว่าอย่างไรกันแน่?!”
“กวง… กวงเย่า ข้าปวดหัว…” ใบหน้าของหลานเหลียนซีดเผือดเพราะแรงเขย่านั้น นางยกมือขึ้นกุมศีรษะตัวเองด้วยสีหน้าทรมาน
เมื่อเห็นภาพนี้ เฮ่อเหลียนกวงเย่าก็สลัดซูเหยียนโม่ออกอย่างรุนแรง แล้วเอ่ยอย่างเหน็บแนมว่า ”เจ้าต้องการให้ข้าทำตัวชัดเจนถึงเพียงใดกัน เจ้าก็รู้อยู่แล้วมิใช่หรือว่าเวลานี้ตระกูลซูอยู่ในสถานะใด ตำแหน่งอัครเสนาบดีของท่านพ่อเจ้าก็ไม่เหลือแล้ว เจ้าจะยังสามารถเอาเรื่องใดไปโอ้อวดกับคนอื่นได้อีกรึ”
“เฮ่อเหลียนกวงเย่า!” ซูเหยียนโม่นอนอยู่บนพื้น นางจิกเล็บเข้ากับกำปั้นเต็มแรงจนเลือดซึมออกมาโดยไม่รู้ตัวขณะที่แผ่นอกของนางกระเพื่อมขึ้นลง นางโกรธจนพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
เฮ่อเหลียนเวยเวยเพลิดเพลินกับละครฉากนี้จนพอใจแล้ว นางลุกขึ้นยืนพลางปัดเสื้อคลุมของตัวเอง แล้วสั่งกับคนที่ยืนอยู่ด้านหลังนางสองสามคนอย่างไม่ใส่ใจว่า ”เอาเปลือกแตงโมไปทิ้ง อย่าให้หกเรี่ยราดบนพื้นล่ะ”