องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 463 องค์ชายผู้ชั่วร้ายปรากฏตัว
“เอ๋? เอ๋? เอ๋?” ต้าสงตั้งตัวไม่ทัน
เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าซูเหยียนโม่พร้อมกับเผยรอยยิ้มเกียจคร้านแต่ก็ดูซุกซนออกมา ”ฮูหยินซู ท่านชอบของขวัญที่ข้ามอบให้หรือเปล่า”
ซูเหยียนโม่เงยหน้าขึ้นมองนางด้วยดวงตาชั่วร้ายเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ”เป็นเจ้านี่เอง! ทุกอย่างล้วนแต่เป็นการจัดฉากของเจ้า!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้ปฏิเสธ แต่รอยยิ้มที่อยู่บนริมฝีปากของนางกลับเหยียดกว้างขึ้น รอยยิ้มนั้นเผยความเย็นชาอันไม่เคยปรากฏมาก่อน ”ซูเหยียนโม่ เจ้าคิดว่าความผิดที่เจ้าก่อไว้จะได้รับการละเว้นเพียงเพราะไม่มีใครรู้เรื่องนั้นหรือ บาปกรรมจะตามทันเมื่อไหร่ก็ขึ้นอยู่กับเวลา เจ้ากับเจ้าผู้ชายเฮงซวยนั่นแย่งทรัพย์สมบัติของตระกูลเฮ่อเหลียนไป แต่กลับร่ำไห้เสียใจกับความทุกข์ของตัวเองอย่างหน้าไม่อาย ทำลายชื่อเสียงของท่านแม่ของข้า อีกทั้งยังเป็นตัวการที่ทำให้ข้าต้องสูญเสียพลังปราณทั้งหมดไป วันนี้ข้าอยากให้เจ้าได้ลิ้มรสชาติของการถูกอนุภรรยาแย่งสามีไปบ้าง และทำให้เจ้าได้เข้าใจถึงความรู้สึกของการถูกสามีตัวเองแย่งทรัพย์สินในตระกูลไปบ้างเหมือนกัน!”
ซูเหยียนโม่ยกมือขึ้นกุมคอเสื้อตัวเองราวกับมันเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้นางหายใจออก
แต่ในที่สุดนางก็ไม่สามารถต้านทานความรู้สึกนั้นได้
นางกระอักเลือดออกมาเต็มปาก!
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับทำเหมือนกับว่านางไม่สังเกตเห็นภาพนี้เลยด้วยซ้ำ นางยืนหลังตรงแล้วค่อยๆ ปัดฝุ่นที่ไม่มีอยู่บนชุดของตัวเอง
ใบหน้าซีดเผือดราวกับคนตายของซูเหยียนโม่หงายไปด้านหลัง ขณะที่นิ้วมือของนางเหยียดมาด้านหน้า นางกระเสือกกระสนอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนที่นางจะทุบอกตัวเอง ในเวลาเดียวกันนั้นริมฝีปากของนางก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำ
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่านี่คืออาการเริ่มต้นของโรคประจำตัวของนาง แต่มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับนาง
หนี้ชีวิต ก็ต้องจ่ายด้วยชีวิต
ซูเหยียนโม่ควรได้ชดใช้ในความผิดของตัวเองมาตั้งนานแล้ว!
“กวง กวง…” ดูเหมือนนางกำลังพยายามที่จะเรียกชื่อของเฮ่อเหลียนกวงเย่า
แต่มีหรือที่เฮ่อเหลียนกวงเย่าจะปรายตามองนาง ในเมื่อสิ่งเดียวที่เขาทำอยู่ในเวลานี้คือการประคองหลานเหลียนในอ้อมแขนเอาไว้อย่างอ่อนโยน และปกป้องไม่ให้หลานเหลียนถูกนางทำร้าย ผู้หญิงคนนี้เป็นคนรักคนสำคัญของเขา
ซูเหยียนโม่มองดูท่าทางรังเกียจที่อยู่บนใบหน้าของเขา และแล้วความหวังเดียวที่นางมีก็พลันมลายหายไป ดวงตาว่างเปล่าของนางจ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอันพร่ามัว
มันคล้ายกันมากเกินไป มันแทบจะเป็นเหตุการณ์เดียวกันกับเมื่อหลายปีก่อน
ครั้งหนึ่ง นางคือคนที่อยู่ในอ้อมกอดของเขา
แต่ตอนนี้ กลับกลายเป็นคนอื่น…
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ลมหายใจสุดท้ายของซูเหยียนโม่ก็จุกอยู่ในลำคอ นางไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีกต่อไป นางขดตัวด้วยความทรมานราวกับคนที่กำลังจมน้ำ และหยุดหายใจไปในที่สุด
เมื่อเห็นอาการของซูเหยียนโม่ เฮ่อเหลียนกวงเย่าย่อมต้องรู้สึกตื่นตระหนก มันทำให้เขายิ่งรู้สึกอยากหนีไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เขาลนลานบอกกับหลานเหลียนว่า ”นางตายเพราะแรงโทสะของตัวเอง ไม่เกี่ยวกับใครทั้งนั้น เหลียนเอ๋อร์ ไปกันเถอะ พวกเรากลับไปได้แล้ว!”
“กลับหรือ” หลานเหลียนไม่ได้ตอบ แต่กลับเป็นเฮ่อเหลียนเวยเวยเสียอีกที่ระเบิดหัวเราะออกมาจากทางด้านหลังของเขาพร้อมกับบอกว่า ”ก่อนที่ท่านจะกลับ อย่างน้อยก็น่าจะทำให้มั่นใจเสียก่อนนะว่าคนที่ท่านอยากพากลับไปด้วยเขาอยากกลับไปพร้อมท่านหรือเปล่า”
หมายความว่าอย่างไร
เฮ่อเหลียนกวงเย่าหันกลับไปมองทันที ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำด้วยเส้นเลือดหลังถูกกระหน่ำด้วยเรื่องมากมายในวันนี้
หลานเหลียนที่ตอนแรกซบตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างว่าง่ายผลักเขาออกอย่างเย็นชา ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวย
เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ใบหน้าของเฮ่อเหลียนกวงเย่าก็ซีดจนกลายเป็นสีขาว เขาแทบพูดไม่ออก ”หลานเหลียน เจ้า…”
“ที่ข้ายอมคบกับท่านก็เพราะเป็นแผนการที่องค์ชายวางไว้ต่างหาก มิฉะนั้น ท่านคิดหรือว่าข้าจะสนใจคนมีอายุและพฤติกรรมอย่างท่านได้” หลานเหลียนยิ้มเยาะเย้ย ”ท่านทิ้งได้แม้กระทั่งภรรยาและลูกๆ ของตัวเอง… ท่านนี่มันเลวยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานเสียอีก!”
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเฮ่อเหลียนกวงเย่าเต้นตุบๆ ด้วยความโกรธ ”ข้าปฏิบัติกับเจ้าเป็นอย่างดี เจ้ามองข้าเช่นนี้ได้อย่างไร!”
“เพราะอย่างนั้นข้าถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่าท่านมันเป็นคนสารเลว” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับพาดแขนตัวเองไว้บนไหล่ของหลานเหลียน และเอ่ยขึ้นอย่างชั่วร้ายว่า ”ตั้งแต่ตอนอยู่กับท่านแม่ของข้า แม้ตระกูลของเราจะปฏิบัติต่อท่านเป็นอย่างดีแค่ไหน ท่านก็ไม่เคยคิดว่ามันดีพอ มิหนำซ้ำยังแว้งกัดมือของคนที่เลี้ยงดูเสียอีก แต่กับคนภายนอกที่ไม่สนใจไยดีท่าน ท่านกลับเรียกร้องความสนใจจากพวกเขาราวกับหญิงสำส่อนไม่มีผิด ข้าได้ยินมาว่าตอนแรกท่านเป็นคนที่เริ่มเรียกร้องความสนใจจากหลานเหลียนด้วยนี่ แต่ข้าก็ไม่แปลกใจเลย เพราะมันก็สมกับความต่ำช้าของท่านดี ถ้าท่านไม่ได้เป็นคนเช่นนั้นแผนการทั้งหมดของพวกข้าก็คงยากจะสำเร็จได้”
เฮ่อเหลียนกวงเย่ารู้สึกได้เพียงเสียงอื้ออึงในหัวสมอง มันทำให้เขานึกอยากบีบคอเฮ่อเหลียนเวยเวยขึ้นมาเสียเดี๋ยวนั้น
แต่เขารู้ว่าไม่ว่าเขาจะทำอะไรในเวลานี้ มันก็มีแต่จะยิ่งทำให้ตัวเองต้องขายหน้าเท่านั้น
เขายังไม่ลืมว่าที่นี่มีคนอยู่มากมายเพียงใด!
ถ้าเขายังขืนอยู่ที่นี่ต่อ เขาอาจจะต้องกลายเป็นตัวตลกของเมืองหลวงไปก็ได้
เขายังไม่แพ้ อย่างน้อยเขาก็ยังมีตระกูลซูอยู่!
ใช่แล้ว เขายังมีตระกูลซูอยู่!
เฮ่อเหลียนกวงเย่าสงบสติอารมณ์ของตนลง พร้อมกับเดินออกจากห้องประชุมอย่างรวดเร็ว!
เมื่อเห็นร่างที่กำลังวิ่งหนีไปของเฮ่อเหลียนกวงเย่า มุมปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ค่อยๆ กระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
หลานเหลียนไม่เข้าใจ นางถามเสียงเบาว่า ”พระชายา ทำไมท่านถึงไม่ฆ่าเขาล่ะเพคะ”
“อย่าลืมว่าตระกูลซูยังมีอัครเสนาบดีซูอยู่” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม ”ข้าไม่มีหลักฐานในสิ่งที่อัครเสนาบดีซูทำลงไปในเวลานั้น นอกจากนั้นหากข้าฆ่าเขา มันก็จะยิ่งกลายเป็นการสร้างปัญหาให้กับองค์ชาย แต่ตอนนี้เฮ่อเหลียนกวงเย่าได้หมายตาตระกูลซูเอาไว้ทั้งที่ตัวเองเพิ่งทำให้ซูเหยียนโม่โกรธจนอกแตกตาย เจ้าคิดว่าอัครเสนาบดีซูจะปล่อยเขาไปหรือ”
ต้าสง : …เอ่อ คนที่ทำให้ซูเหยียนโม่ต้องถึงแก่ความตายไม่ใช่นายน้อยหรอกหรือ…
เฮ่อเหลียนเวยเวยเมินสายตาซื่อๆ ที่จ้องมองมานั้น นางกระแอมออกมาก่อนจะเอ่ยต่อ ”เฮ่อเหลียนกวงเย่าประเมินจิ้งจอกเฒ่าอย่างอัครเสนาบดีซูเอาไว้ต่ำเกินไป แผนการของเขาคงไม่ราบรื่นอย่างที่เขาอยากให้เป็นแน่เมื่อเขากลับไปถึงที่นั่น หึ ความบาดหมางภายในเช่นนี้ย่อมจบลงด้วยการตายของใครสักคนเสมอ” ระหว่างที่นางพูดประโยคนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็หันหน้าไปเอ่ยกับคนที่อยู่ข้างหลังว่า ”ไปส่งแม่ทัพกวงเย่ากลับ และนำข่าวการตายของซูเหยียนโม่ไปแจ้งให้อัครเสนาบดีซูได้รู้ด้วย เขาจะได้รู้ว่าเขามีลูกเขยที่ดีขนาดไหน”
ในใจของหลานเหลียนเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายทันทีที่นางได้ยินคำสั่งของเฮ่อเหลียนเวยเวย
เพียงแค่วันนี้วันเดียวนางก็ได้ประจักษ์ถึงความเก่งกาจของคนคนนี้ด้วยตาตัวเอง
ต่อให้เทียบกับฝ่าบาท แต่นางก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
การจะกำจัดนางทิ้งในเวลานั้นย่อมเป็นเรื่องง่ายสำหรับนาง
แต่นางกลับยอมให้นางมีชีวิตอยู่
หลานเหลียนตกตะลึง เมื่อนางมองไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวยอีกครั้ง ในดวงตาของนางก็พลันปรากฏบางสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนขึ้น
ถ้ามีใครที่นางยินยอมพร้อมใจจะก้มหัวให้ ก็คงเป็นนางนี่เอง…
หลังจากผ่านไปราวครึ่งก้านธูป ข่าวการตายของซูเหยียนโม่ก็ไปถึงหูอัครเสนาบดีซู เขาแทบจะหมดสติเลยทีเดียว ร่างกายของเขาอยู่ในสภาพอ่อนแอมาจากการที่เขานั่งคุกเข่ากลางสายฝนอยู่นอกวังหลวงตลอดทั้งคืนก่อนหน้านี้ ดังนั้นทันทีที่รู้ข่าวนี้ มืออันแก่ชราของเขาก็แทบจะถือถ้วยชาเอาไว้ไม่อยู่ เมื่อบวกกับเรื่องต่ำช้าที่เฮ่อเหลียนกวงเย่าได้ทำลงไป เขาก็รู้สึกเพียงแค่ว่าเขาได้เชื้อเชิญตัวอันตรายเข้ามาในบ้านเสียแล้ว ความรู้สึกเยือกเย็นแผ่ไปทั่วศีรษะของเขา พลางกวาดยาทั้งหมดที่อยู่บนโต๊ะไม้ลงกับพื้น!
ท่ามกลางความวุ่นวายที่เกิดขึ้น พ่อบ้านคนหนึ่งก็รีบเข้ามาพยุงเขา แล้วตะโกนขึ้นว่า ”ไปตามหมอมา! เร็วเข้า! นายท่าน! ท่านต้องไม่เป็นอะไรนะขอรับ นายท่าน!”
ในเวลาเดียวกัน ณ ห้องพักแห่งหนึ่งภายในวังหลวง ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่เพิ่งอ่านฎีกาจบกำลังปลดกระดุมเสื้อด้วยมือข้างหนึ่งระหว่างฟังรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชา ปากของเขากระตุกขึ้นกลายเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย…