องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 466 เวยเวยพิชิตใจองค์ชาย
นางเพียงอยากเร่งเรื่องการแต่งงานกับมู่หรงฉางเฟิงเข้ามาเพื่อปกปิดความเจ็บปวดนั้น
เมื่อเวลาผ่านพ้นไป นางเลือกจะลืมชายที่ทำให้นางรู้สึกเจ็บเจียนตายทุกครั้งที่นางคิดถึงคนนั้น เหมือนอย่างที่นางจงใจลืมความจริงเกี่ยวกับการตายของผู้เป็นแม่…
เพราะความทรงจำที่เริ่มปรากฏขึ้นมาอีกครั้งนั้น จึงทำให้นางไม่ทันสังเกตเห็นร่างที่กำลังเดินเข้ามาหานางจากบริเวณใกล้ๆ นั้น
แต่มีหลายคนที่สังเกตเห็นถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้น และทันทีที่พวกเขาหันหน้าไปมอง ความประหลาดใจก็พลันปรากฏขึ้นในดวงตาของพวกเขา
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยผู้หล่อเหลาถือช่อดอกกุหลาบเอาไว้ในมือด้วยสีหน้าเรียบเฉย สายตาของเขาจ้องเขม็งไปยังชายหนุ่มคนที่ยืนอยู่ตรงข้ามเฮ่อเหลียนเวยเวย ดวงตาของเขาดำทะมึนในเวลาเพียงชั่วพริบตา
แขนขาทั้งสี่ข้างของเฮ่อเหลียนเวยเวยเกร็งราวกับร่างกายนั้นไม่เชื่อฟังคำสั่งของนางอีกต่อไป นางกำมือแน่นเพื่อพยายามข่มความรู้สึกหนักอึ้งอันท่วมท้นที่นางรู้สึกอยู่ลงไป
“เวยเวย”
ทุกครั้งที่เฮ่อเหลียนเวยเวยนึกถึงเรื่องในอดีต นางมักจะลืมตัวอยู่เสมอ หากไม่ใช่เพราะน้ำเสียงอันคุ้นเคยที่เอ่ยเรียกนาง สติของนางก็คงลอยหายไปแล้ว
ทันใดนั้นนางก็ได้สติและสามารถกลับมาควบคุมร่างกายของตัวเองได้ จากนั้นนางจึงหันหน้าไปทางต้นเสียงนั้น
สีแดงของดอกกุหลาบตัดกับฉากหลังที่มีองค์ชายถือพวกมันอยู่ เกิดเป็นภาพอันน่ามองเสียจนยากจะหาคำใดมาอธิบายความงดงามนั้นได้
แต่…
ทำไมไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถึงถือดอกกุหลาบมาล่ะ
ยิ่งกว่านั้น สีหน้าของเขาดูเหมือนไม่มีความสุขเอาเสียเลย
ก่อนที่เฮ่อเหลียนเวยเวยจะทันได้พูดอะไร ใครบางคนก็ใช้มือของตัวเองโอบเอวนางเอาไว้ และส่งช่อกุหลาบให้กับนางด้วยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วขึ้นด้วยความงุนงง องค์ชายมักจะอ่านยากที่สุดเวลาตกอยู่ในสภาพนี้ อะแฮ่ม! มันคงถึงเวลาที่นางต้องพูดอะไรสักอย่างแล้วกระมัง
“ให้ข้าหรือ”
“อืม”
“กุหลาบสวยจัง ข้าชอบมากเลย” ไม่ว่าจะอย่างไร นางก็ต้องเอาใจเขาก่อน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชำเลืองมองเฮ่อเหลียนเวยเวยพลางโน้มตัวเข้าไปแล้วใช้นิ้วเรียวยาวของตนจัดปอยผมที่ด้านหลังใบหูของนางอย่างอ่อนโยน เขากระซิบด้วยน้ำเสียงลุ่มลึกและชั่วร้ายว่า ”เช่นนั้นเจ้าคิดดูให้ดีก็แล้วกันว่าหลังจากนี้จะตอบแทนข้าอย่างไร”
มือที่กำลังเล่นกับดอกกุหลาบของเฮ่อเหลียนเวยเวยชะงักไป ปลายหูของนางเปลี่ยนเป็นสีแดง
เมื่อเห็นนางเช่นนี้ ความเย็นชาในดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจึงค่อยๆ ละลายหายไป ”ตอนนี้การประชุมประจำตระกูลน่าจะจบลงแล้ว เมื่อไหร่เจ้าจะกลับหรือ”
“ท่านมาที่นี่เพื่อมารับข้าหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยพยายามซ่อนความดีใจของตัวเองเอาไว้ พร้อมกันนั้นบนใบหน้าของนางก็พลันปรากฏรอยยิ้มอันสว่างไสวขึ้นมา ”อืม พวกเรากลับกันเลยก็ได้ อย่างไรข้าก็มีเรื่องที่ต้องคุยกับเสด็จปู่อยู่พอดี” ระหว่างพูดถึงเรื่องนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็หันหน้ากลับไปมองชื่อเหยียน ”ขอบคุณแม่ทัพชื่อที่เคยช่วยข้าไว้ในอดีต ไม่ว่าในเวลานั้นเวยเวยจะเอ่ยถ้อยคำเสียมารยาทอันใดกับท่านไว้ ข้าหวังว่าท่านจะปล่อยให้มันผ่านไป ตอนนั้นข้ายังเด็กและฝันเฟื่องเกินไป”
ชื่อเหยียนมองนางด้วยดวงตามีเลศนัย แล้วตอบช้าๆ ว่า ”ข้าไม่เคยคิดว่ามันเป็นการเสียมารยาท”
เอ่อ… หมายความว่าอย่างไรกัน
นางควรจะตอบอย่างไรดีล่ะ
เฮ่อเหลียนเวยเวยเผลอหันไปหาไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตามสัญชาตญาณ ก่อนจะใจลอยเพราะใบหน้าด้านข้างอันหล่อเหลาจนแทบลืมหายใจ ในเวลาเดียวกันนั้นรอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าของเขาก็เหยียดกว้างขึ้น
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่เชื่อว่ารอยยิ้มนี้เกิดขึ้นจากความสุข คนอย่างองค์ชายไม่มีทางยิ้มเช่นนี้แน่ถ้าเขารู้สึกมีความสุขจริงๆ
เป็นอย่างที่คาดเอาไว้
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยรั้งนางเข้ามาแนบตัว พร้อมกับมองชื่อเหยียนตาไม่กะพริบ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะว่า ”คงเป็นการดีที่สุดหากในอนาคตเจ้าทิ้งความคิดไร้สาระพรรค์นั้นไปเสีย มิฉะนั้นอาจมีใครบางคนคิดเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาได้ ลองคิดดูสิว่าการจัดการกับเรื่องนั้นจะยุ่งยากเพียงใด เจ้าเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันมิใช่หรือ คุณชายชื่อ”
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยที่อยู่ข้างๆ และได้ยินเรื่องนี้เข้าพอดีถึงกับคิดจากใจจริงว่าฝีปากอันคมกริบของพี่สามยกระดับขึ้นอีกแล้ว ต่อไปนี้เขาต้องทำตัวเชื่อฟังเข้าไว้ มิฉะนั้นเหยื่อรายต่อไปที่ได้รับบทเรียนจะต้องเป็นเขาแน่
แต่ไม่น่าแปลกใจนักที่ชื่อเหยียนกลับยังนิ่งเงียบอยู่เช่นเดิม เขามองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยด้วยดวงตาดำสนิทราวกับรัตติกาล ไม่สะทกสะท้านและไร้ซึ่งความกังวล
ด้วยเหตุผลบางประการ เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกได้ถึงกลิ่นดินปืน นางมองทั้งสองคนสลับไปสลับมาอยู่ระหว่างพวกเขา
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่เปิดโอกาสให้นางได้คิดอะไรอีก ทันใดนั้นน้ำเสียงทุ้มต่ำของเขาก็ดังขึ้นอีกครั้ง ”เจ้ามีเรื่องจะปรึกษากับเสด็จปู่มิใช่หรือ พวกเราควรรีบกลับได้แล้ว ตาแก่นั่นจะได้พักผ่อนเร็วๆ”
“อืม” ปกตินั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ไม่ได้มีความฉลาดทางด้านอารมณ์สูงอยู่แล้ว และยิ่งเมื่อครู่นี้วิญญาณของนางก็เพิ่งขาดสมดุลไปหมาดๆ จึงทำให้นางรู้สึกว่าสิ่งที่ดีที่สุดตอนนี้ก็คือการกินขนมกุ้ยฮวาสักชิ้นแล้วค่อยทำความเข้าใจกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นไปพร้อมกัน ดังนั้นนางจึงถามขึ้นว่า ”รถม้าที่พาท่านมาคือคันไหนหรือ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลิกคิ้ว เขารู้สึกสับสนกับจุดประสงค์ในคำถามของนาง ”ข้าขึ้นคันนั้นมา”
“โอ๊ะ เช่นนั้นก็ดีเลย ในเมื่อท่านเอารถม้าคันใหญ่มา ข้าจะได้เอาขนมทั้งหมดขึ้นรถ แล้วข้ากับองค์ชายเจ็ดจะได้กินมันด้วยกัน” เฮ่อเหลียนเวยเวยเพียงพูดสิ่งที่อยู่ในหัวออกมาเท่านั้น
มุมปากของชื่อเหยียนกระตุกขึ้นสองครั้ง นี่คือคำตอบเดียวที่นางมีหลังจากฟังบทสนทนานั้นมาตั้งแต่ต้นจนจบหรือ
กลับกัน เสี้ยวหนึ่งในหัวใจของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับดูเหมือนจะพอใจเป็นอย่างมากกับความหัวช้าของเหยื่อตัวเอง เขาหัวเราะออกมาเบาๆ ”ข้าเตรียมของว่างให้เจ้าแล้ว ในนั้นเต็มไปด้วยเครื่องดื่มและผลไม้แช่อิ่มหลายอย่าง นอกจากนั้นยังมีชาชนิดใหม่อีกด้วย เจ้าลองชิมดูระหว่างทางกลับวังก็ได้”
“ได้เลย” เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบอย่างเบิกบาน นางเพลิดเพลินกับสิทธิพิเศษจากการถูกเอาอกเอาใจเช่นนี้เป็นอย่างยิ่ง
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยรู้สึกสงสารชื่อเหยียนอย่างเงียบๆ เขาเดินต้วมเตี้ยมตามพี่สามและพี่สะใภ้สามของตัวเองไป
ระหว่างที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพานางเดินออกไป เฮ่อเหลียนเวยเวยก็หันหน้ากลับไปมองชื่อเหยียน
ชายหนุ่มที่ถูกเรียกขานว่าเป็นคนที่เย็นชาดั่งหยกและไม่เคยสะทกสะท้านกับสิ่งใดกลับยืนก้มหน้าอยู่ตรงนั้นพร้อมกับเผยบรรยากาศแห่งความโดดเดี่ยวออกมา…
“มีอะไรหรือ เจ้าไม่อยากกลับแล้วรึ” มืออีกข้างของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกำเข้าหากันจนเป็นกำปั้น แต่รอยยิ้มของเขากลับไปไม่ถึงดวงตาที่เต็มไปด้วยความมืดมิดนั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยรีบไล่ความรู้สึกแปลกประหลาดนั้นออกไปอย่างรวดเร็ว ดวงตาของนางเป็นประกาย ”ข้าอยากกลับแล้ว”
“เช่นนั้นก็ไม่ต้องหันกลับไป” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่มีวันบอกนางว่าเขารู้สึกตื่นตระหนกเพียงใดเมื่อเห็นสายตาในดวงตาของนางตอนที่นางหันไปมองชื่อเหยียน
ใช่
มันคือความตื่นตระหนก
เขานึกภาพไม่ออกเลยจริงๆ
เขานึกภาพไม่ออกเลยว่าจะเป็นอย่างไรหากวันหนึ่งเหยื่อของเขาเลิกมองเขา แล้วหันไปมองคนอื่น
เขาจะสามารถทำอะไรได้บ้าง
บางทีเขาอาจจะหักแขนขาของนางกับมือตัวเอง นางจะได้ไปไหนไม่ได้
หรือบางที เขาอาจจะฆ่าทุกคนทิ้งซะ
หากเขาไม่ต้องสูญเสียนางไป ไม่ว่าจะเป็นวิธีการใดเขาก็พร้อมทำทั้งนั้น
ต่อให้นั่นหมายถึงการที่เขาจะต้องกลายเป็นปีศาจก็ตาม!
ทันใดนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยก็เห็นเมฆสีดำทะมึนที่ก่อตัวขึ้นจากทางทิศตะวันตก นางไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ สภาพอากาศถึงเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันเช่นนี้ได้ แต่นางก็สังเกตเห็นว่ามือคู่นั้นที่กุมมือของนางอยู่กลับเย็นยะเยือกเป็นอย่างยิ่ง และโดยไม่ลังเล นางจับมือของเขาขึ้นมาจ่อที่ริมฝีปาก แล้วเป่าลมหายใจอันอบอุ่นให้กับมัน จากนั้นนางจึงเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยว่า ”คราวหน้าทุกครั้งที่ท่านออกมาข้างนอกก็อย่าลืมสวมชุดไว้หลายๆ ชั้นด้วย ความต่างของอุณหภูมิในช่วงนี้จัดว่าแตกต่างกันมากทีเดียว คนที่รับใช้ท่านน่าจะใส่ใจกว่านี้และเตรียมเสื้อคลุมเอาไว้ให้ท่าน”
ความอบอุ่นจากนิ้วของนางแผ่เข้าไปถึงเสี้ยวมุมอันมืดมิดในหัวใจของเขา ขับไล่ความมืดออกไปจากดวงตาคู่นั้น ริมฝีปากของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มโดยไม่รู้ตัว ”เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว เจ้ากลายเป็นคนจุกจิกเหมือนขันทีซุนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“เดี๋ยวก่อน!” เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดว่านี่คือเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการแสดงความรักหวานซึ้งต่อกัน ดังนั้นนางจึงเริ่มพลิกคู่มือ ’เอาใจภรรยา’ ของตัวเอง ท้ายที่สุดนางจึงหัวเราะขึ้นมา แล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างที่สุดว่า ”ถึงข้าจะเป็นคนจุกจิก แต่ข้าก็จุกจิกกับท่านแค่คนเดียว”
ใช่! ประธานจอมเผด็จการในนิยายมักจะใช้ประโยคทำนองนี้เพื่อพิชิตใจคนที่ตัวเองต้องการ!
องค์ชายเจ็ดตัวน้อย : …
เขาแทบทนมองต่อไปไม่ไหว พี่สามคงลำบากไม่น้อยที่คนที่เขาต้องมาอยู่ด้วยคือคนอย่างพี่สะใภ้สาม…