องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 469 มีใครบางคนประเมินองค์ชายกับเวยเวยไว้ต่ำเกินไป
- Home
- องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!
- บทที่ 469 มีใครบางคนประเมินองค์ชายกับเวยเวยไว้ต่ำเกินไป
วันต่อมา เฮ่อเหลียนเวยเวยและไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจึงเดินทางออกจากเมืองกันอย่างลับๆ
พวกเขาจะอยู่ที่นั่นทั้งหมดเจ็ดวัน ทั้งสองปลอมตัวปิดบังฐานะเพราะไม่อยากดึงดูดความสนใจจากคนอื่นๆ
ในเวลาเดียวกันนั้น ผู้นำหลายคนในตระกูลเฮ่อเหลียนต่างมารวมตัวกันเข้าพบผู้อาวุโส พวกเขาดูโกรธเคืองอย่างเห็นได้ชัด
“หากนางยังทำตัวไร้เหตุผลเช่นนี้ต่อไปละก็ พวกข้าคงไม่สามารถให้ความร่วมมือกับนางได้อีกต่อไปแล้ว!”
“เท่าที่เห็น นางก็เป็นแค่เพียงเด็กเมื่อวานซืนคนหนึ่งเท่านั้น แต่นางกลับกล้าเข้ามาก้าวก่ายกับทรัพย์สินของพวกเรา! พวกข้ากับนางคงได้เถียงกันเรื่องนี้ไม่จบไม่สิ้นแน่! ถ้าพวกข้าเสียผลประโยชน์ขึ้นมา แล้วใครจะเป็นคนรับผิดชอบกัน!”
“ท่านผู้อาวุโสขอรับ ความกตัญญูตลอดหลายปีที่ผ่านมาของพวกข้า และความสัมพันธ์อันลึกซึ้งที่พวกเรามีต่อกันคงได้พังไม่เป็นท่าเพราะการเข้ามาแทรกแซงจนเกินงามของเด็กผู้หญิงคนนั้นแน่ขอรับ ท่านต้องออกมาจัดการเรื่องนี้นะขอรับ!”
เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสมีอายุมากแล้ว ตั้งแต่เส้นผมหงอกขาวราวกับหิมะไปจนถึงเสื้อคลุมสีขาวที่เขาสวมอยู่ล้วนแต่เต็มไปด้วยหลักฐานแห่งกาลเวลาที่ผันผ่าน ในดวงตาของเขามีความชั่วร้ายอยู่ภายใน แต่มันกลับถูกปิดบังเอาไว้ภายใต้หน้ากากอันสง่างามราวเทพเซียน เขายกชาขึ้นจิบราวกับไม่สนใจเรื่องของเฮ่อเหลียนเวยเวยเลยแม้แต่น้อย แล้วตอบว่า ”นางเป็นเพียงแค่คุณหนูอ่อนต่อโลกและไร้ซึ่งประสบการณ์ที่บังเอิญฉลาดนิดหน่อย และรู้จักวิธีการรับมือกับสิ่งต่างๆ ก็เท่านั้น ทำไมพวกเจ้าถึงต้องกังวลกันถึงเพียงนี้ด้วยเล่า อย่าลืมว่านางยังไม่มีคุณงามความดีเลยสักอย่างเดียว ดังนั้นหลังจากนี้ครึ่งเดือน นางจะต้องพลาดพลั้งและถูกบังคับให้ลงจากตำแหน่งอย่างแน่นอน ในเวลานี้การดูแลทรัพย์สินในมือเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งนัก พวกเจ้าจงทำให้มั่นใจว่าตัวเองกอบโกยเงินให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ข้ามั่นใจว่านางคงไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องอื่นได้อีก ผืนน้ำในเมืองหลวงนั้นกว้างใหญ่และลึกล้ำยิ่งนัก พระชายาที่ไม่มีอำนาจเช่นนาง ย่อมไม่สามารถควบคุมพวกเราได้ พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่”
ผู้นำทุกคนเห็นด้วยกับเขา และยิ้มออกมาด้วยความเบิกบานทันที
พวกเขาเข้าใจได้อย่างถ่องแท้หลังจากได้ฟังคำแนะนำของผู้อาวุโส
นางเป็นเพียงแค่พระชายาสามเท่านั้น ต่อให้กองกำลังลับจะปกป้องนางอยู่ แต่นางก็ไม่มีหนทางในการต่อสู้กับพวกเขาในสนามการเมือง
บรรดาผู้อาวุโสที่พวกเขาเคารพมีส่วนร่วมในการฉ้อโกงของพวกเขาอย่างล้ำลึก ต่อให้นางเป็นผู้สืบทอดของตระกูลเฮ่อเหลียน มันก็เป็นเพียงแค่ชื่ออันว่างเปล่าที่ไม่ได้มีความสลักสำคัญอย่างแท้จริงทั้งสิ้น ผู้หญิงตัวผอมๆ อย่างนางกล้าดีอย่างไรถึงพยายามที่จะควบคุมพวกเขา หึ รอดูก็แล้วกันว่าเมื่อเวลานั้นมาถึงนางจะร่วงจากความยิ่งใหญ่ลงมาสู่พื้นรุนแรงเพียงใด!
แต่พวกเขาไม่รู้ว่าตัวเองประเมินเฮ่อเหลียนเวยเวยเอาไว้ต่ำเกินไป เวลานี้นางและ ’ที่ปรึกษาส่วนตัว’ เดินทางมาถึงเมืองเล็กๆ ไม่เป็นที่สะดุดตาในอำเภอบนเขาบริเวณชายแดนมณฑลเหอเป่ยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
บนถนนแทบร้างผู้คนเพราะท้องฟ้ายังคงมืดอยู่ นอกจากพ่อค้าเร่จากร้านค้าบนถนน ก็แทบจะไม่มีวี่แววมนุษย์คนอื่นให้เห็นอีก
เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกม่านในรถม้าขึ้นเพื่อสังเกตสิ่งรอบข้าง นางก็สังเกตเห็นช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนในบริเวณนั้นได้ทันที
อาจมีคนสงสัยว่าเหตุใดนางถึงคิดเช่นนั้น แต่สำหรับนางแล้วสิ่งนั้นชัดเจนยิ่งกว่าสิ่งใด
ระหว่างที่พวกนางเดินทางจากตะวันตกของเมืองไปจนถึงทางตะวันออกของเมือง นางก็สังเกตเห็นว่าบ้านทางฝั่งตะวันตกล้วนแต่ถูกสร้างมาจากหญ้าแห้งและดินเหลือง กลับกันบ้านเมืองทางฝั่งตะวันออกของเมืองกลับเป็นบ้านหลังใหญ่โต พวกมันดูหรูหราเพราะเป็นที่พำนักของบรรดาข้าราชการระดับสูงในเมืองหลวง
หึ… ดูเหมือนฮ่องเต้ที่เป็นเจ้าของแผ่นดินนี้จะอาศัยอยู่ที่นี่สินะ
รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวย แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับยังมีสีหน้าไร้อารมณ์เช่นเดิม เขายังคงมีกลิ่นอายอันสูงศักดิ์อยู่เช่นเดิมแม้จะปลอมตัวเป็นคนยากจนก็ตาม
บนโลกของเราย่อมมีคนประเภทนี้อยู่ คนที่ดูสง่างามและสูงศักดิ์แม้จะแต่งตัวย่ำแย่เพียงใด
ข้าราชการคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าศาลาว่าการกำลังรอรับว่าที่นายอำเภอคนใหม่รีบวิ่งเข้าไปหาไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเพื่อต้อนรับเขาโดยไม่แม้แต่จะชายตามามองเฮ่อเหลียนเวยเวยเลยแม้แต่น้อย เขายิ้มสดใสเป็นประกายพร้อมกับเอ่ยว่า ”ท่านคงเป็นใต้เท้าเว่ย ข้าได้ยินเรื่องของท่านมามากเลยขอรับ แต่เมื่อได้มาเห็นท่านตัวจริงแล้วก็ยังดูดีกว่าเป็นไหนๆ! ข้ายินดียิ่งนักขอรับที่ได้ท่านมาอยู่ที่นี่กับพวกเรา!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตั้งใจว่าจะใช้ชื่อปลอมในเมืองฟู่ผิง ดังนั้นนางจึงเลือกใช้แซ่ที่ออกเสียงใกล้เคียงกับของนาง…
เขาเอ่ยต่อโดยไม่รู้ถึงความเข้าใจผิดของตัวเอง ”ข้ามารอท่านอยู่นานแล้วขอรับ ข้าขออนุญาตแนะนำตัว ข้าแซ่จาง เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของศาลาว่าการแห่งนี้ขอรับ ข้าอยู่ที่นี่มามากกว่าสิบปีแล้ว ดังนั้นข้าจึงรู้จักนายอำเภอทุกคนที่ทำงานในช่วงเวลานั้นดี มิหนำซ้ำข้ายังเคยช่วยเหลือให้พวกเขาได้เลื่อนยศมากันมาหลายคนแล้วด้วย ดังนั้นข้าเชื่อว่าข้าจะต้องมีประโยชน์กับใต้เท้าเว่ยเช่นกันขอรับ!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเข้าใจเจตนาที่อยู่เบื้องหลังคำพูดของที่ปรึกษาส่วนตัวจางได้เป็นอย่างดี ต่อให้คำพูดพวกนั้นจะฟังรื่นหูเพียงใด แต่มันก็ไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าคำประจบสอพลออันกลวงเปล่า
แต่เห็นได้ชัดว่าเขามองคนผิด…
เขายื่นมือออกไปรออยู่นาน แต่กลับไม่มีใครมีปฏิกิริยาตอบสนองกับเขาแม้แต่คนเดียว ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถข่มโทสะของตนเอาไว้ได้ และเริ่มร่ายถึงอิทธิพลภายในศาลาว่าการของเมืองแห่งนี้จากด้านข้าง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่สะทกสะท้าน และทำเพียงปล่อยให้เขาพูดต่อไปเช่นนั้นโดยไม่สนใจมือที่ยื่นออกมา
เขาพูดจนปากแห้ง โทสะของเขาก็ยิ่งปะทุขึ้นจนถึงจุดเดือด
ในเวลานั้นเองที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็นด้วยน้ำเสียงน่าฟังแต่ฟังดูขุ่นเคืองว่า ”ข้าไม่ได้แซ่เว่ย”
หมายความว่าเขาทักคนผิดหรือ ที่ปรึกษาจางรู้สึกสับสนเล็กน้อย อกของเขากระเพื่อมขึ้นลงด้วยความโกรธ ถ้าเจ้าไม่ได้แซ่เว่ย เช่นนั้นทำไมเจ้าถึงไม่บอกให้เร็วกว่านี้เล่า! ข้ายื่นมือออกไปให้เจ้าจนจวนจะครึ่งวันอยู่แล้ว มันเริ่มชาขึ้นมาแล้วรู้ไหม!
“ถ้าท่านไม่ใช่ใต้เท้าเว่ย เช่นนั้น…” ที่ปรึกษาจางเคลื่อนสายตามาหยุดลงที่เฮ่อเหลียนเวยเวยในชุดสีขาว ที่นี่มีแค่พวกเขาสองคน หากไม่ใช่เขา ก็ต้องเป็นคนที่อยู่ตรงหน้านี่ แต่เขาไม่ตัวเล็กไปหน่อยหรือ ไม่เคยเห็นคนอายุน้อยถึงเพียงนี้ได้เป็นนายอำเภอมาก่อนเลย!
เฮ่อเหลียนเวยเวยสนุกกับการรับชมองค์ชายทรมานชายผู้น่าสงสารผู้นี้ยิ่งนัก ดังนั้นนางจึงยืนขึ้นแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า ”ที่ปรึกษาจางคงไม่เคยพบข้ามาก่อน จึงเป็นธรรมดาที่ท่านจะเข้าใจผิดคิดว่าคนอื่นเป็นข้า”
“ฮ่า…ฮ่าฮ่า… ใช่ขอรับ… บางครั้งบางคราวสายตาของข้าก็พร่ามัวยิ่งนักขอรับ”
เพิ่งบอกเขาว่าตั้งตารอที่จะได้พบกับเขา แต่กลับจำเขาไม่ได้เสียนี่! ที่ปรึกษาจางรู้สึกเหมือนเขากำลังตบหน้าตัวเองอยู่
แต่ชายหนุ่มตัวเล็กหน้าดำที่อยู่ตรงหน้าดูอ่อนปวกเปียกมากทีเดียว
คนเช่นเขาคงไม่มีวันไต่เต้าขึ้นไปถึงจุดสูงสุดได้
ที่ปรึกษาจางอยู่ที่ฟู่ผิงมาหลายปี และมีคนคอยหนุนหลังมากมาย ดังนั้นเขาจึงเข้าใจเฮ่อเหลียนเวยเวยกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยผิดมหาศาล และไม่สามารถข่มความโอหังอวดดีและอคติในใจเอาไว้ได้
คนส่วนมากที่มาที่เมืองฟู่ผิงล้วนแต่เป็นผู้มีอิทธิพล พวกเขาล้วนแต่กลับไปหลังจากสร้างชื่อเสียงได้จากที่นี่
หรือหากไม่เป็นเช่นนั้น พวกเขาก็ล้วนแต่เป็นคนที่ถูกเนรเทศมาที่นี่ ถูกบังคับให้มาอยู่ในตำแหน่งอันไร้ซึ่งความสำคัญเพราะพวกเขาไม่เป็นที่ต้องการในราชสำนัก
จากการสังเกตของที่ปรึกษาจาง คนสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขาน่าจะเป็นพวกหลัง ประการแรก เขาไม่เคยได้ยินข่าวคราวของคุณชายจากตระกูลแห่งนี้ในเมืองที่ถูกส่งตัวจากราชสำนักมาทำงานที่นี่เช่นเขามาก่อน ยิ่งกว่านั้นพวกเขาก็ยังไม่ได้รับคำขอจากตระกูลใดๆ ให้ช่วยดูแลลูกหลานของตนอีกด้วย ดูจากชุดอันไม่น่าประทับใจของทั้งสองแล้วก็ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ใช่ลูกชายจากตระกูลผู้มีอิทธิพลใดๆ
ถ้ารู้จักกาลเทศะ ข้าก็จะปล่อยให้เขาได้ทำตามใจ และยอมเห็นด้วยกับทุกอย่างที่เขาพูด
แต่ถ้าไม่ละก็… เช่นนั้น เขาก็จะได้ลิ้มรสชาติแห่งความทุกข์ทรมานอย่างแน่นอน!
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่พลาดความชั่วร้ายที่ฉายขึ้นมาบนใบหน้าของที่ปรึกษาจาง นางสบตากับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพลางหมุนแหวนสีเงินที่นิ้วนางไปด้วย
แววตาซุกซนปรากฏขึ้นในดวงตาของคนทั้งสอง
แต่ดวงตาขององค์ชายสามกลับดูเย็นชากว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยเล็กน้อย
แม้แต่ที่ปรึกษาตัวเล็กๆ อย่างเขาก็ยังกล้าทำตัวไม่เคารพต่อกฎหมายอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ ดูเหมือนที่เมืองฟู่ผิงแห่งนี้จะมีเรื่องให้ขุดไม่น้อยทีเดียว…
ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องแหลมสูงก็ดังขึ้นจากทางด้านหลังของพวกเขา ”ช่วยด้วย! ช่วยข้าด้วย!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหันปมอง และเห็นชายท่าทางกักขฬะกำลังกระชากผมของเด็กสาวคนหนึ่งอยู่ พร้อมกับใช้กำลังฉุดกระชากนางข้ามถนนมุ่งหน้าไปยังที่ไหนสักแห่ง…