องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 470 เวยเวยทรงอำนาจยิ่งนัก
เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้วเข้าหากันทันที จากนั้นจึงตะโกนขึ้นด้วยเสียงที่ต่ำว่า ”หยุดเดี๋ยวนี้!”
ที่ปรึกษาจางหุบยิ้มทันทีที่เขาได้ยินเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาขมวดคิ้วขณะกล่าวว่า ”ใต้เท้าเว่ย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเราขอรับ พวกเราควรไปพักผ่อนกันก่อน ท่านเดินทางมาไกลคงจะเหนื่อยมากแล้ว ส่วนเรื่องพวกนั้นล้วนแต่เป็นปัญหาภายในครอบครัวธรรมดาๆ ขอรับ ไม่มีความจำเป็นอันใดให้พวกเราต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยว”
ปัญหาภายในครอบครัวธรรมดาๆ หรือ เฮ่อเหลียนเวยเวยเยาะเย้ยขึ้นในใจเงียบๆ ปัญหาภายในครอบครัวธรรมดาๆ ที่ไหนจะมีผู้ชายตัวใหญ่ยักษ์สองคนฉุดกระชากผู้หญิงคนหนึ่งด้วยวิธีการเช่นนั้นกัน
แต่นางก็ไม่ได้แสดงความคิดของตัวเองออกมาทางสีหน้า และทำเพียงแค่เอ่ยราวกับไม่แยแสว่า ”ในเมื่อข้าเห็นเข้าแล้ว มันจึงเป็นหน้าที่ที่ข้าต้องเข้าไปสอบถามเรื่องนี้”
ชายร่างกักขฬะทั้งสองหยุดเคลื่อนไหว แล้วหันหน้ากลับมาเมื่อพวกเขาได้ยินนาง จากนั้นพวกเขาก็เหยียดยิ้มใส่เฮ่อเหลียนเวยเวยพร้อมกับคำรามว่า ”เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร ไปอยู่ใต้ร่มไม้นั่นไป! ข้าขอบอกไว้ก่อนว่าถ้าข้าไปช้าละก็ ข้าจะไม่ยกโทษให้เจ้าแน่!”
ที่ปรึกษาจางอ้าปากขึ้นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการห้ามไม่ให้ชายร่างใหญ่คนนั้นพูดต่อ
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับสาวเท้าเดินออกไป แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงลุ่มลึกว่า ”เจ้าไม่เห็นหรือว่าทางเข้าศาลาว่าการอยู่ตรงหน้านี่เอง เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้ทำเรื่องเช่นนี้อย่างหน้าไม่อายทั้งที่ศาลาว่าการก็อยู่ตรงหน้านี้”
“ศาลาว่าการหรือ” ชายร่างใหญ่ทั้งสองระเบิดหัวเราะออกมา ”ก็แค่ศาลาว่าการ ต่อให้ฮ่องเต้มาที่นี่ด้วยตัวเองพวกข้าก็ไม่กลัวหรอก! เจ้าไม่รู้หรือว่าพวกข้ามาจากจวนเยี่ยน ผู้หญิงคนนี้ทำสัญญาขายตัวเองให้กับนายท่านของพวกข้า แต่นางกลับพยายามหลบหนีหลังจากได้รับเงินไปแล้ว พวกข้าจะจับตัวนางกลับไปแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า ถ้าเจ้าฉลาดพอก็ไสหัวไปซะ! เจ้าคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่มาจากไหนถึงได้กล้าที่จะขัดขวางพวกข้า! เจ้าหนู ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่คนจากเมืองฟู่ผิงของพวกข้า ถ้าเจ้าอยากมีชีวิตอยู่เช่นนั้นก็จงสนใจแค่ปัญหาของตัวเองก็พอ ต่อให้เรื่องนี้ไปถึงศาลาว่าการ แต่คนที่จะซวยก็คงมีเพียงแค่เจ้าคนเดียวเท่านั้น!”
เมื่อได้ยินดังนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ทำเพียงยิ้มออกมาแทนที่จะโกรธ ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าที่นี่เป็นอย่างไร เมื่อนางหันมองไปรอบๆ นางก็เห็นว่าไม่มีพ่อค้าบนถนนแม้แต่คนเดียวที่กล้าพอจะก้าวออกมาช่วย พวกเขาแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้น และก้มหน้าก้มตาคนเต้าฮวยต่อไป
ที่ปรึกษาจางมองพวกเขา เขาเริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมาทันทีที่ตระหนักได้ว่าคนพวกนั้นจำเขาไม่ได้ ด้วยความกลัวว่าทั้งสองจะพูดเรื่องไร้สาระขึ้นมาอีก เขาจึงตะโกนออกไปว่า ”พวกเจ้าพูดจาเหลวไหล รีบไปจากที่นี่แล้วจะทำอะไรก็ไปทำซะ!”
อันธพาลทั้งสองจ้องไปทางที่ปรึกษาจางด้วยสายตาเหมือนเห็นเขาเป็นคนโง่ จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า ”มีคนอยากตายอีกคนซะแล้ว”
อยากตายหรือ ที่ปรึกษาจางไม่สบอารมณ์กับชายไร้สมองทั้งสองเป็นอย่างมาก จวนเยี่ยนรับสองคนนี้เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ พวกเขาจำข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ!
“เจ้ารู้หรือเปล่าว่าข้าเป็นใคร เจ้ากล้าพูดจากับข้าด้วยท่าทางเช่นนี้ได้อย่างไร!” ที่ปรึกษาจางขึ้นเสียงอย่างเดือดดาล หวังว่าจะช่วยเตือนให้ทั้งสองใจเย็นลงได้
แต่คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเริ่มระเบิดหัวเราะออกมาอีกครั้ง ”เจ้าแต่งตัวดีก็จริง แต่ดูอีกสองคนที่ยืนอยู่ข้างเจ้าสิ! เหมือนเอาผ้าขี้ริ้วมาสวมไม่มีผิด แค่นี้ก็ชัดเจนแล้วว่าพวกเขาย่อมเป็นคนยากจนไร้เงินทอง แม้กระทั่งนายอำเภอของเมืองฟู่ผิงแห่งนี้ก็ยังต้องพูดจานอบน้อมกับพวกข้าที่เป็นคนจากจวนเยี่ยน แล้วพวกเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน!”
“โอ้?” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มซุกซน แล้วเอ่ยว่า ”ฟังจากที่เจ้าพูดแล้ว ดูเหมือนกับว่าคนที่คุมศาลาว่าการแห่งนี้อยู่ก็คือจวนเยี่ยนอย่างไรอย่างนั้น”
“ก็ใช่น่ะสิ!” พวกเขากอดอกแล้วเชิดหน้าขึ้นพร้อมกับเอ่ยอย่างวางกล้ามว่า ”เจ้าไปถามดูก็ได้ว่าจวนเยี่ยนมีอิทธิพลเพียงใด! ที่ปรึกษาจางกับพ่อบ้านจางของจวนเยี่ยนของพวกข้าเป็นญาติกัน ตอนนี้เจ้าก็คงรู้แล้วล่ะสิว่าใครคุมศาลาว่าการแห่งนี้อยู่!”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยเหยียดกว้างขึ้นหลังจากได้ฟังคำพูดของพวกเขา นางถามว่า ”เป็นเช่นนั้นหรือ ที่ปรึกษาจาง เจ้าคิดว่าพวกเราควรจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรดี”
สีหน้าของที่ปรึกษาจางไม่น่ามองยิ่งนัก มันเหี่ยวย่นยิ่งกว่าดอกกะหล่ำสีเหลืองแห้งๆ เสียอีก เขามองไปทางอันธพาลทั้งสองด้วยความโกรธอย่างรุนแรง
ต่อให้ทั้งสองจะโง่ขนาดไหน แต่พวกเขาก็ตระหนักถึงความผิดพลาดของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว ริมฝีปากของพวกเขาซีดเผือด พวกเขามองกลับไปที่ที่ปรึกษาจางแล้วพึมพำว่า ”ท่าน ท่าน… จาง ที่ปรึกษาจาง… พวกข้า พวกข้าไม่ได้ตั้งใจ…”
“หุบปาก!” ที่ปรึกษาจางตวาดอย่างเดือดดาลเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาพูดเรื่องโง่ๆ อะไรออกมาอีก!
ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยเย็นชาเป็นอย่างยิ่งขณะเอ่ยราวกับเสียดสีว่า ”ตอนนี้เจ้าก็คงรู้แล้วล่ะสิว่าใครคุมศาลาว่าการแห่งนี้อยู่”
สีหน้าของอันธพาลทั้งสองแข็งกระด้างในทันที จากนั้นพวกเขาก็ฝืนหัวเราะออกมาอย่างประหม่า แล้วตอบว่า ”พวกข้าช่างโง่เง่ายิ่งนักขอรับที่จำคนสำคัญเช่นที่ปรึกษาจางไม่ได้ ถ้าพวกข้ารู้ว่าท่านเป็นหนึ่งในพวกเราละก็…”
“ไม่มีใครอยากเป็นหนึ่งในพวกเจ้าทั้งนั้น” เฮ่อเหลียนเวยเวยขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก เสียงของนางเย็นชาเป็นอย่างมาก
ที่ปรึกษาจางยืนคั่นอยู่ระหว่างพวกเขา แล้วกล่าวอย่างลังเลว่า ”ใต้เท้าเว่ยขอรับ ข้าขอแนะนำว่าพวกเราไม่ควรเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องของจวนเยี่ยน…”
“ที่ปรึกษาจาง” เฮ่อเหลียนเวยเวยกล่าวช้าๆ ว่า ”เจ้าหมายความว่าต่อให้พวกเขาจะทุบตีคนจนตายที่หน้าศาลาว่าการ แต่พวกเราก็ควรมองข้ามพวกเขาไปหรือ เช่นนั้นแล้วจะมีศาลาว่าการไปเพื่ออะไรกัน”
เขารีบแก้ตัวว่า ”ไม่ใช่ขอรับ ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นขอรับใต้เท้าเว่ย ท่านก็ได้ยินพวกเขาเหมือนกันนี่ขอรับว่าคนของจวนเยี่ยนเป็นคนพาผู้หญิงคนนี้มา ตั้งแต่ตอนที่นางก้าวเข้าไปในจวนและทำสัญญาเพื่อขายตัวเองให้เขา นางก็ตกเป็นทรัพย์สินของจวนเยี่ยนแล้ว หากนางพยายามหนี นางจะต้องได้รับโทษ นั่นก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่แล้วขอรับ!”
หญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายตัดสินใจเอ่ยปากขึ้นเมื่อนางได้ยินคำพูดของที่ปรึกษาจาง เพราะนางรู้ว่าขืนนางยังเงียบต่อไปเช่นนี้ นางคงได้ถูกลากตัวกลับไปที่ถ้ำหมาป่าอีกครั้งแน่นอน ในช่วงเวลาแห่งความสับสนนั้นนางรีบคว้าแขนเสื้อของเฮ่อเหลียนเวยเวยไว้พร้อมกับขอร้องว่า ”คุณชายท่านนี้ ข้าขอร้องล่ะเจ้าค่ะ! ได้โปรด ช่วยด้วย ได้โปรดช่วยข้าด้วย! ข้าไม่เคยทำสัญญาอะไรกับพวกเขาเลยจริงๆ เจ้าค่ะ! ข้าเป็นบุตรสาวจากตระกูลที่ทำงานสุจริต แต่คนพวกนี้กลับฉุดกระชากข้ามาที่นี่เพื่อบังคับให้ข้า… หลับนอนกับนายท่านของพวกเขาเจ้าค่ะ! ข้าไม่อยากทำ! ต่อให้จะมีเงินเป็นล้านตำลึงมาแลกก็ตาม! ข้าขอร้องล่ะ ช่วยด้วย ได้โปรดช่วยข้าด้วย!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองสายตาวิงวอนของผู้เคราะห์ร้ายนางนั้น มันเห็นได้อย่างชัดเจนยิ่งนักว่านางต้องการที่จะหนีไปจากพวกเขา นางยื่นมือออกไปดึงให้นางลุกขึ้น แล้วจึงตระหนักได้ว่ากระดูกแขนของหญิงสาวเคลื่อนเพราะการขัดขืนเมื่อครู่นี้ นึกไม่ถึงเลยว่าคนพวกนี้จะกล้าทำเรื่องเช่นนี้ที่หน้าศาลาว่าการจริงๆ!
“ที่ปรึกษาจาง ข้าเชื่อว่าเจ้าคงได้ยินความจริงแล้ว” เฮ่อเหลียนเวยเวยกดเสียงลง มันเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าความโกรธของนางกำลังจะปะทุขึ้นมาในไม่ช้า
แต่ที่ปรึกษาจางกลับยังพยายามแก้ต่างให้กับชายทั้งสอง ”ใต้เท้าเว่ยขอรับ เรื่องนี้…”
“ถ้าเจ้ายังอยากรักษาตำแหน่งที่ปรึกษาส่วนตัวของตัวเองเอาไว้ เช่นนั้นก็จับกุมตัวพวกเขาเดี๋ยวนี้!” เฮ่อเหลียนเวยเวยเยาะขึ้นอย่างเย็นชา แล้วขู่ว่า ”ไม่อย่างนั้น ข้าก็จะจับเจ้าโยนเข้าคุกด้วยเหมือนกัน!”
ที่ปรึกษาจางตื่นตระหนกอย่างมากเมื่อเขาได้ยินเช่นนั้น อย่างไรเขาก็ไม่เคยเจอนายอำเภอที่หัวแข็งเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทำตามคำสั่งของนางแล้วจับกุมทั้งสอง
อันธพาลทั้งสองไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง เขาจ้องหญิงสาวคนนั้นเขม็งขณะที่โดนพาตัวออกไป
หญิงสาวกลัวจนเผลอก้าวถอยหลัง
เฮ่อเหลียนเวยเวยสังเกตเห็นภาพนั้น และบอกกับนางเบาๆ ว่า ”ร่างกายของเจ้าจำเป็นต้องได้รับการรักษา เข้าไปศาลาว่าการกับข้าก่อน”
“ข้า… ข้าอยากกลับบ้านเจ้าค่ะ” หญิงสาวคนนั้นก้มหน้า จากนั้นน้ำตาก็ไหลลงมาตามใบหน้าของนาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยชำเลืองมองที่ปรึกษาจาง แล้วเอ่ยกับนางว่า ”เจ้าไม่สามารถหลบหนีจากปัญหานี้ได้ง่ายๆ ด้วยการกลับบ้าน หากเจ้าตกเป็นเป้า สิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องทำก็คือการกำจัดคนที่ทำร้ายเจ้าเพื่อกำจัดปัญหานั้นให้สิ้นซากต่างหาก”
เมื่อหญิงสาวคนนั้นได้ยินคำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวย นางก็เงยหน้าขึ้นทันที ในดวงตาเปื้อนหยาดน้ำตาของนางเอ่อล้นไปด้วยความเกลียดชังอันมากมายเหลือคณา…