องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 474 องค์ชายกับเฮ่อเหลียนเวยเวยร่วมมือกัน
“ใต้เท้าเลี่ยวโปรดวางใจเถิดขอรับ ข้าจะบอกให้ที่ปรึกษาจางเปิดยุ้งฉางแล้วขายเสบียงเหล่านั้นก่อน เมื่องบประมาณมาถึง ข้าจะรีบหาทางขโมยมันออกมาทันทีขอรับ!” นายท่านเยี่ยนกล่าวด้วยความหนักแน่นโดยไม่รู้ตัวเลยว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยมีความคิดที่จะจับกุมเขาอยู่…
เวลาเที่ยงวัน ณ บ้านตระกูลหลิว…
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับมองไปที่หลิวอิน จากนั้นนางก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกระจ่างใสว่า ”นี่คือแผนการคร่าวๆ ของข้า ข้าหวังว่าแม่นางหลิวจะสามารถเดินทางไปที่ศาลาว่าการเพื่อเป็นพยานยืนยันความผิดของนายท่านเยี่ยนให้พวกเราได้ หากผู้เคราะห์ร้ายรายอื่นสามารถก้าวออกมาร่วมเป็นพยานได้ เช่นนั้นผลที่ออกมาก็คงจะดียิ่งกว่านี้”
หลิวอินคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงบอกว่า ”ใต้เท้าเว่ย ข้าได้ยิมาว่าเลี่ยวจือฝู่มาที่นี่ เขาปกป้องจวนเยี่ยนมาตลอดหลายปี ต่อให้พวกเรารวมกลุ่มกันไปร้องเรียน มันก็คงรังแต่จะทำให้ท่านต้องลำบากขึ้นเท่านั้นเจ้าค่ะ จวนเยี่ยนมีผู้มีอิทธิพลมากมายให้การสนับสนุนอยู่ เลี่ยวจือฝู่เองก็มีคนหนุนหลังอยู่เช่นกัน อีกทั้งยังเป็นคนที่มีอำนาจยิ่งกว่านั้นเสียอีก ใต้เท้าเว่ย ท่านไม่กลัวจริงๆ หรือเจ้าคะ”
“หมอนั่นมันก็เป็นแค่จือฝู่ตัวเล็กๆ ไม่ได้สลักสำคัญอะไร เพียงแค่ดีดนิ้วครั้งเดียวนายน้อยของข้าก็สามารถทำให้เขา…” ต้าสงยังพูดไม่ทันจบ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ตัดบทเขาขึ้นว่า ”แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น เขาก็ไม่ควรหลอกลวงคนอื่น เรื่องนี้จะต้องมีวิธีแก้ไขอย่างแน่นอน”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ หลิวอินก็เริ่มสงสัยในฐานะที่แท้จริงของอีกฝ่าย นางถามขึ้นว่า ”ใต้เท้าเว่ย ท่านมีความสัมพันธ์กับตระกูลเว่ยที่เมืองหลวงหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่มี” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม แล้วถามว่า ”ทำไมหรือ ตระกูลเว่ยทรงอำนาจมากเลยรึ”
หลิวอินหลุบตาลงมองพื้นอย่างผิดหวัง พลางเอ่ยเสียงเศร้าว่า ”พวกเขาเป็นหนึ่งในตระกูลผู้ทรงอิทธิพลเจ้าค่ะ หากเป็นตระกูลเว่ย อาจจะมีโอกาสต่อกรกับเลี่ยวจือฝู่ได้ ภูเขาลูกนี้คงยากจะปีนข้ามได้หากเรามีแค่ใต้เท้าเว่ยเพียงคนเดียวเจ้าค่ะ”
“ยิ่งเป็นปัญหาที่ยากจะรับมือเพียงใด นายน้อยของพวกข้าก็ยิ่งชอบมากเท่านั้น” ต้าสงรู้ว่าเมื่อครู่นี้ตัวเองพูดมากเกินไป และพยายามที่จะแก้ไขความผิดพลาดของตัวเองด้วยการเอ่ยว่า ”เรื่องเช่นนี้เขาชอบนักล่ะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วรับประกันกับนางว่า ”หลิวอิน เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ในเมื่อข้ากล้าขอให้พวกเจ้าทุกคนมาเป็นพยานยืนยันความผิดของเขา ข้าย่อมเตรียมมาตรการรองรับเรื่องนั้นเอาไว้แล้ว ดังนั้นเจ้าอย่าได้กังวลนักเลย ข้าสัญญาว่าจะแก้ปัญหาที่กวนใจเจ้าอยู่ให้จงได้”
“ข้ารู้ว่าใต้เท้าเว่ยเป็นคนเช่นใด…” หลิวอินลังเล ก่อนจะเอ่ยต่อ ”แต่คนอื่นๆ ไม่เหมือนกับข้าเจ้าค่ะ ทุกคนหวาดกลัวนายท่านเยี่ยนมาหลายปีแล้ว หากพวกเราไม่สามารถกำจัดเขาได้ภายในครั้งเดียว เช่นนั้นพวกเราก็อย่าไปตีรังแตนรังนั้นเลยเสียยังดีกว่าเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้เคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน แม้ว่าผู้กระทำผิดพวกนั้นจะถูกจับกุม แต่หลังจากผ่านไปสองสามวันพวกเขาก็จะถูกปล่อยตัวออกมาตามคำสั่งของนายท่านเยี่ยนอยู่ดี มิหนำซ้ำพวกมันยังคิดที่จะล้างแค้นด้วยเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้กลัวพวกมัน อย่างร้ายที่สุดข้าก็เพียงต้องยอมรับในชะตากรรมของตัวเอง อย่างไรท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าก็กำลังจะย้ายออกจากที่นี่ในวันพรุ่งนี้แล้ว แต่สำหรับคนอื่นๆ นั้น ย่อมไม่มีใครอยากละทิ้งบ้านเกิดของตัวเองหากไม่จำเป็นจริงๆ หรอกเจ้าค่ะ”
เมื่อเฮ่อเหลียนฟังสิ่งที่หลิวอินพูดจบ นางก็มองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าจริงจัง แล้วเอ่ยว่า ”ข้าจะไม่ยอมให้ประชาชนคนใดในเมืองฟู่ผิงต้องถูกไล่ออกจากบ้านตัวเอง คนที่ควรไปจากที่นี่ไม่ใช่พวกเจ้าทุกคน แต่เป็นเจ้าคนแซ่เยี่ยนกับแซ่เลี่ยวต่างหาก”
“ใต้เท้าเว่ย...” ดวงตาของหลิวอินแดงก่ำขณะที่นางเอ่ยขึ้นอีกครั้ง หากมีตัวเลือกนางก็อยากอยู่ข้างท่านพ่อกับท่านแม่ และแต่งงานกับชายที่ใจดีซื่อตรงอย่างเขา
เฮ่อเหลียนเวยเวยรวบพัดในมือเข้าหากัน แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า ”เรื่องนี้ค่อยว่ากันทีหลัง แต่ในเมื่อเจ้าเองก็อยู่ที่เมืองฟู่ผิงมานาน ข้ามีเรื่องอยากจะถามเจ้าหน่อย ปัญหาที่ชาวบ้านต้องการให้ข้าแก้ที่สุดคือปัญหาใดหรือ มันเกี่ยวข้องกับการสร้างถนนหรือเปล่า”
“สร้างถนนอีกแล้วหรือเจ้าคะ?!” หลิวอินกำลังจะพูดต่อ แต่ตอนนั้นนั่นเองที่พ่อเฒ่าหลิวกลับมาจากข้างนอกและวางจอบในมือลง เขาคร่ำครวญด้วยสีหน้าสิ้นหวังและทุกข์ใจอย่างมากว่า ”ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมามีการก่อสร้างถนนไปแล้วถึงสี่เส้น และทุกครั้งก็ล้วนแต่สร้างความทุกข์ทรมานให้กับพวกเรายิ่งนัก ไม่ใช่แค่พวกเราต้องควักเงินเก็บให้พวกเขา แต่การเก็บเกี่ยวผลผลิตของพวกเราก็ยังพลอยล่าช้าไปด้วย เสี่ยวอิน พวกเราคงอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้อีกแล้ว เราไปจากเมืองฟู่ผิงกันดีกว่า โอ้ สวรรค์ พวกท่านมองไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นหรือไร!”
หลิวอินทนเห็นผู้เป็นบิดาในสภาพนี้ไม่ได้ นางตรงเข้าไปพยุงเขา แล้วขอร้องเขาด้วยดวงตาที่ชุ่มไปด้วยหยาดน้ำตา ”ท่านพ่อ อย่าคิดเช่นนี้เลยเจ้าค่ะ ตอนนี้ใต้เท้าเว่ยก็อยู่ที่นี่กับพวกเราแล้วมิใช่หรือ พวกเรายังพอมีความหวังอยู่นะเจ้าคะ”
“ใต้เท้าเว่ย” พ่อเฒ่าหลิวยิ้มออกมาอย่างขมขื่น ก่อนจะเอ่ยต่อ ”ข้าได้ยินที่พวกเจ้าคุยกันเมื่อครู่แล้ว ถ้าท่านต่อต้านพวกเขาต่อไปเช่นนี้ ท่านจะต้องตกที่นั่งลำบากแน่ขอรับ อย่ายื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการก่อสร้างถนนเลย มิฉะนั้นท่านจะถูกพวกมันหมายหัวเอาได้ อันที่จริงนั้นถึงไม่มีการสร้างถนน แต่ที่นี่ก็เกินเยียวยาแล้ว ที่นี่ปลูกอะไรไม่ก็ไม่ขึ้นขอรับ ดินแห้งไปหมดแล้ว เมล็ดพันธุ์ที่พวกเราหว่านลงไปกำลังจะตายเพราะฝนไม่ตกมาครึ่งเดือน วันคืนอันสวยงามที่เคยมีผ่านพ้นไปหมดแล้วขอรับ สู้พวกข้ารีบออกไปจากที่นี่ยังดีเสียกว่า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินออกมาก้าวหนึ่ง แล้วช่วยพยุงพ่อเฒ่าหลิวลุกขึ้นพร้อมเอ่ยว่า ”ถ้าท่านอยากไปจากที่นี่จริง ตอนนี้ท่านก็คงไม่ทุกข์ใจถึงเพียงนี้ พ่อเฒ่าหลิว ข้าขอให้สัญญากับท่านว่าจะไม่มีใครใช้เรื่องการสร้างถนนมาเป็นข้ออ้างสำหรับรีดไถเงินจากชาวบ้านอีก! ส่วนเรื่องพื้นที่เพาะปลูกที่แห้งแล้งนั้นข้าพอจะมีแผนการอยู่ในใจแล้ว แม้เมืองฟู่ผิงจะมีพื้นดินแห้งแล้ง แต่มันก็ให้ผลผลิตทางการเกษตรอุดมสมบูรณ์ทุกปี อย่างไรธัญพืชหกส่วนจากทั้งหมดในเมืองหลวงก็มาจากที่นี่ บรรดาขุนนางระดับสูงต่างก็เห็นว่าเมืองนี้มีความสำคัญอย่างมาก แต่โชคไม่ดีที่ความพลาดพลั้งของขุนนางประจำท้องถิ่นของที่นี่กลับทำให้พ่อเฒ่าหลิวต้องทรมานใจมากมายถึงเพียงนี้เสียได้ ระหว่างที่ข้าเดินทางมาที่นี่ ข้าเห็นว่าแถวๆ เมืองฟู่ผิงนี้มีแม่น้ำอยู่สายหนึ่งพอดี และใช่ว่าเราจะใช้ประโยชน์จากมันไม่ได้”
ดวงตาของพ่อเฒ่าหลิวเป็นประกายด้วยความหวังเมื่อเขาได้ยินเฮ่อเหลียนเวยเวยพูดถึงแม่น้ำ จากนั้นเขาจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แล้วบอกว่า ”ใต้เท้าเว่ย ท่านช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ขอรับ ที่นี่เคยมีนายอำเภอมารับตำแหน่งก็ไม่น้อย แต่ไม่มีใครเคยสังเกตเห็นแม่น้ำสายนั้นมาก่อน”
“บางทีพวกเขาอาจจะเห็น แต่เลือกที่จะเก็บเรื่องนั้นเอาไว้เป็นความลับก็ได้” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดอย่างเย็นชา
พ่อเฒ่าหลิวดูเหม่อลอยขณะที่ตอบว่า ”จริงด้วยขอรับ ไม่มีใครสนใจพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน ทุกคนล้วนแต่ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการยักยอกเงินทั้งสิ้น”
“ข้าจะจัดการปัญหานี้ให้” เฮ่อเหลียนเวยเวยหันหน้าไปอีกทางแล้วกล่าวว่า ”ข้าจะทำให้มั่นใจว่าน้ำจากแม่น้ำสายนั้นจะไหลมาถึงพื้นที่เพาะปลูกก่อนการสอบสวนคดีที่ศาลาว่าการในวันพรุ่งนี้ ข้าหวังว่ามันจะสามารถทำให้แม่นางหลิวยอมปรากฏตัวขึ้นที่ศาลาว่าการเพื่อเป็นพยานในความผิดของนายท่านเยี่ยนได้”
ผู้เฒ่าพึมพำอย่างไม่อยากเชื่อว่า ”แต่มันเหลืออีกเพียงแค่วันเดียวเท่านั้นนะขอรับ…”
“แค่นั้นก็พอแล้ว” ในที่สุดไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็เอ่ยปากขึ้น หากเทียบกับเฮ่อเหลียนเวยเวยแล้ว น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยบรรยากาศสูงศักดิ์แต่กำเนิด ทำให้ทุกคนที่ได้ฟังล้วนแต่เคารพและเชื่อฟังคำพูดของเขา
ยังไม่ทันที่ผู้เฒ่าหลิวจะได้เอ่ยตอบ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ถามขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มว่า ”ที่ปรึกษาหลงมีความคิดดีๆ หรือ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนางโดยไม่ตอบคำถาม แต่รอยยิ้มมุมปากของเขากลับดูมีเลศนัย
รอยยิ้มนั้นทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยเสียวสันหลังวาบ นางกระแอมออกมาเล็กน้อย และพูดต่อ ”หืม ข้าเข้าใจสิ่งที่ที่ปรึกษาหลงต้องการบอกแล้ว ท่านจะบอกว่าพวกเราควรเดินทางไปที่เมืองหลวงประจำมณฑลใช่หรือเปล่า”
“ข้าจะทำตามคำสั่งของใต้เท้าเว่ยขอรับ อย่างไรข้าก็เป็นเพียงแค่ที่ปรึกษาคนหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นแน่นอนว่าข้าย่อมต้องเชื่อฟังคำสั่งของท่าน” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบด้วยน้ำเสียงหยอกล้ออย่างเห็นได้ชัด
องค์ชายติดใจบทบาทนี้เข้าเสียแล้วหรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกแสบๆ คันๆ เมื่อได้ฟังคำตอบของเขา ดังนั้นนางจึงหันไปหาต้าสงที่ดูมีสีหน้าเสียใจไม่แพ้กัน แล้วบ่นกับเขาเงียบๆ ในใจ
“เมืองหลวงประจำมณฑลหรือขอรับ” พ่อเฒ่าหลิวมองพวกเขาด้วยความตกใจ แล้วรีบห้ามทั้งสองอย่างรวดเร็ว ”ที่นั่นเป็นสำนักงานใหญ่ของใต้เท้าเลี่ยว! ทุกคนที่อยู่ที่นั่นล้วนแต่มีเส้นสายกับเสนาบดีในเมืองหลวงทั้งนั้น ถ้าท่านไปที่นั่นท่านอาจจะไม่มีชีวิตรอดกลับมาได้นะขอรับ! ใต้เท้าเว่ยได้โปรดอย่าหุนหันพลันแล่นทำอะไรโดยพลการเลยขอรับ มันจะส่งผลร้ายต่อตัวท่านได้”