องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 476 ก้าวเท้าสู่ความตาย
“หา เจ้าหมายความว่าเจ้าจะไม่ยอมชดใช้ให้ข้ารึ” ชายคนนั้นขึ้นเสียง พร้อมกับกดสายตาลงมองเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างอวดดี
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่กลัวเขา นางโต้กลับว่า ”เจ้าต่างหากที่ควรจะต้องชดใช้ให้ข้า”
“ให้ข้าชดใช้เจ้าหรือ” ชายคนนั้นหัวเราะอย่างเสียดสีราวกับว่าเขาเพิ่งได้ยินเรื่องตลก จากนั้นเขาก็ตั้งใจจะผลักเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นการเตือน ”เจ้ารู้หรือเปล่าว่าข้าเป็นใคร ในเมืองหลวงประจำมณฑลแห่งนี้ ไม่เคยมีคนสติดีที่ไหนกล้าสั่งให้ข้าชดใช้ให้พวกเขาแม้แต่คนเดียว!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนราวกับต้นไม้ แล้วเอ่ยว่า ”นั่นก็เพราะเจ้าไม่เคยพบข้ามาก่อนอย่างไรล่ะ”
ความโกรธปะทุขึ้นทั่วร่างของเขาทันทีที่ได้ยินดังนั้น เขาเดินเข้าไปหานางแล้วกระชากชุดของนางอย่างแรง จากนั้นจึงใช้น้ำเสียงทุ้มต่ำกล่าวว่า ”เจ้าว่าอะไรนะ แน่จริงก็พูดอีกทีสิ!”
ตอนที่ชายคนนั้นคว้าเข้าที่คอเสื้อของเฮ่อเหลียนเวยเวย ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็พลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา
ถ้าไม่ใช่เพราะเฮ่อเหลียนเวยเวยจับมือของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอาไว้ ป่านนี้ชายคนนั้นคงได้กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปแล้ว
สาเหตุที่เฮ่อเหลียนเวยเวยห้ามเขาเอาไว้นั้นไม่ใช่เพราะนางคิดจะอ่อนข้อให้กับอีกฝ่าย แต่เป็นเพราะนางเห็นคนคุ้นหน้าคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาต่างหาก
เมื่อคนคนนั้นเห็นนาง เขาก็ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตื่นเต้นทันที ”ลูกพี่! ท่านมาทำอะไรที่นี่ขอรับ ท่านน่าจะอยู่ในวัง…”
“เฉินเหลียง” เฮ่อเหลียนเวยเวยรีบตัดบทเขาด้วยรอยยิ้ม จากนั้นนางก็ยักไหล่แล้วเอ่ยเป็นนัยว่า ”เจ้าคิดว่าเวลานี้ใช่เวลาที่เหมาะสมในการรำลึกความหลังหรือ”
เฉินเหลียงยอมรับว่าเขาไม่ได้คิดให้ถ้วนถี่นัก แม้เขาจะไม่อยากคบค้าสมาคมกับบรรดาขุนนางเหล่านี้ แต่เพราะตำแหน่งที่สูงเกินไปของบิดา จึงทำให้ทุกคนในเมืองหลวงประจำมณฑลนี้ต่างพากันเข้ามาประจบเอาใจเขา เขาถูกบังคับให้ดื่มสุราและร่วมโต๊ะอาหารกับคนพวกนี้ทุกวันจนเริ่มรู้สึกรำคาญ แต่เขาไม่คิดเลยว่าพอเดินลงบันไดมาแล้วเขาจะได้พบกับลูกพี่!
และ… ใครบางคนที่กำลังกระชากคอเสื้อของลูกพี่อยู่?
ภาพนี้ดูไม่เหมือนกับตัวนางในยามปกติเลยแม้แต่น้อย!
ตอนที่อยู่ในสำนัก นางสามารถจัดการคนนับสิบได้ด้วยตัวคนเดียวด้วยซ้ำ!
แต่ตอนนี้นางกลับไม่ได้ใช้ความรุนแรง… มันไม่สมกับเป็นนางเอาเสียเลย!
แต่แม้จะรู้สึกเช่นนั้น เขาก็ไม่สามารถกลืนก้อนแห่งความโกรธตอนที่เห็นลูกพี่ถูกกระชากคอเสื้อกลับลงคอได้
เฉินเหลียงพุ่งใส่ชายคนนั้นแล้วถีบเขาอย่างไม่ลังเล!
เขาเป็นคนความอดทนต่ำมาแต่ไหนแต่ไร ยิ่งเกิดมาในตระกูลที่เป็นแม่ทัพมาหลายชั่วคน การพูดจาชักช้าอืดอาดจึงไม่เคยอยู่ในสายเลือดของเขา
ลูกถีบอันรุนแรงทำเอาชายคนนั้นถึงกับหน้าหัน เขาคว้าโต๊ะไม้ทรงกลมเอาไว้แล้วคำรามอย่างเดือดดาลว่า ”เจ้าพวกชาวบ้านชั้นต่ำ! เจ้ากล้าถีบข้าหรือ พวกเจ้าตาบอดเยี่ยงสุนัขหรืออย่างไร! ทุกคน จัดการพวกมันซะ!”
แต่ไม่มีใครกล้าลงมือกับพวกเขาแม้แต่คนเดียว
ชายคนนั้นทุบโต๊ะอย่างโกรธเคือง แล้วพูดซ้ำว่า ”ข้าบอกให้จัดการพวกมันให้ข้าอย่างไรเล่า!”
“คุณชายเลี่ยวขอรับ คนผู้นี้…” เจ้าของโรงเตี๊ยมค่อยๆ ขยับเข้าไปหาชายคนนั้นด้วยสีหน้าเหมือนต้องการพูดอะไรบางอย่างกับเขา
คนแซ่เลี่ยวเหวี่ยงแขนแล้วผลักเขาออกไป พร้อมกับตวาดว่า ”อย่าให้ข้าต้องมาเสียเวลาอยู่ที่นี่! เจ้าพวกคนชั้นต่ำ ข้าจะบอกให้เจ้ารู้เอาไว้เสียตั้งแต่ตอนนี้! ท่านพ่อของข้าคือจือฝู่คนปัจจุบันของที่นี่ สิ่งที่ข้าพูดล้วนแต่เป็นกฎหมายของเมืองหลวงประจำมณฑลแห่งนี้ทั้งสิ้น ถ้าเจ้าอยากหนีเอาตัวรอดไปได้อย่างปลอดภัยละก็ จงคุกเข่าลงกับพื้นแล้วคำนับให้ข้าสามครั้งซะ ไม่อย่างนั้นข้าจะส่งคนไปจับเจ้า!”
“หึ ข้ากำลังสงสัยอยู่เชียวว่าเจ้าเป็นใคร” เฉินเหลียงแค่นหัวเราะแล้วเอ่ยอย่างถากถางว่า ”ที่แท้ก็เป็นบุตรชายของจือฝู่ตัวเล็กๆคนหนึ่งนี่เอง”
“เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถเอาชีวิตเจ้าที่นี่และตรงนี้ได้!” คุณชายเลี่ยวเคยชินกับการทำตัวกร่างในเมืองหลวงประจำมณฑลตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทุกครั้งที่เขาเอ่ยชื่อของผู้เป็นบิดาขึ้นมา ทุกคนย่อมหวาดกลัวจนทำอะไรไม่ถูก
เขานึกไม่ถึงเลยว่าจะได้พบเจอมนุษย์ที่ไม่เกรงกลัวผู้ใดเช่นคนทั้งสาม นอกจากคนพวกนี้จะไม่กลัวเขาแล้ว ยังไม่กลัวแม้กระทั่งฟ้าดินเสียด้วย
ที่สำคัญ เขายังได้ยินอย่างชัดเจนอีกด้วยว่าพวกมันกำลังเยาะเย้ยเขาอยู่
เฉินเหลียงเยาะเย้ยเขาว่า ”เอาชีวิตข้าหรือ ในเมื่อเจ้าท้ามา ข้าก็จะรับคำท้านั้นให้ก็แล้วกัน ท่านพ่อของเจ้าเป็นจือฝู่ใช่หรือไม่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านพ่อของข้าเป็นใคร”
คุณชายเลี่ยวทำเพียงส่ายหน้า
เจ้าของโรงเตี๊ยมที่ยืนอยู่ข้างๆ ทนเห็นความโง่เขลาของเขาไม่ไหว จึงเตือนให้เขารู้เบาๆ ว่า ”คุณชายเฉินเป็นคุณชายรองของผู้ว่าการสามมณฑลขอรับ”
สีหน้าของคนแซ่เลี่ยวเปลี่ยนไปอย่างมาก มันซีดจนไร้สีเลือดในทันใด
เมื่อสองวันที่แล้วท่านพ่อยังเอาแต่คะยั้นคะยอให้เขาเชิญบุตรชายตระกูลเฉินมากินข้าวและผูกไมตรีกับเขาอยู่เลย
เขาเชิญอีกฝ่ายมาตลอดสองวัน แต่ก็ยังไม่ได้พบกับ ’ปลาตัวใหญ่’ ตัวนั้นเสียที นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะได้มาพบอีกฝ่ายในสถานการณ์เช่นนี้
คุณชายเลี่ยวหวังอย่างสุดซึ้งว่าเมื่อครู่นี้เขาจะไม่ได้พูดเช่นนั้นออกไป เขายกมือขึ้นตบหน้าตัวเองอย่างไม่ลังเล พร้อมกับฝืนปั้นยิ้มแล้วเอ่ยว่า ”ดูสิ ข้าช่างตาบอดเสียไม่มีที่จำคนสำคัญเช่นนี้ไม่ได้ เอ่อ คุณชายเฉิน การทะเลาะวิวาทกันครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะความเข้าใจผิดเท่านั้น แต่พวกเราก็เป็นคนครอบครัวเดียวกันมิใช่หรือ”
“ใครเป็นคนครอบครัวเดียวกันกับเจ้า” เฉินเหลียงตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าใครที่กล้าดีมาท้าทายลูกพี่ของเขา เขาจะจัดการไล่คนพวกนั้นไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยเฉพาะขยะประเภทเดียวกันกับคุณชายเลี่ยว
คุณชายเลี่ยวปาดเหงื่อเย็นๆ ที่อยู่บนหน้าผากของตัวเองอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด พร้อมกับขอร้องว่า ”คุณชายเฉิน อย่าพูดเช่นนั้นเลยขอรับ! ไม่ว่าจะเป็นความเข้าใจผิดอันใด พวกเราก็สามารถปรับความเข้าใจกันได้ทั้งนั้น!”
“เข้าใจผิดหรือ” อันที่จริงเฉินเหลียงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เพียงแค่เห็นลูกพี่ของตัวเองถูกรังแกตอนที่เดินลงบันไดมาก็ทำให้เขานึกโมโหขึ้นมาในทันที หลังจากได้ฟังคำพูดของเจ้าคนแซ่เลี่ยว เขาก็เผลอมองไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวยโดยไม่รู้ตัว แต่เฉินเหลียงเกือบทำจอกสุราในมือหลุดมือตอนที่เขาเห็นร่างที่ยืนปิดปากเงียบอยู่ข้างหลังนาง!
องค์… องค์ชายสามหรือ
เขามาทำอะไรที่นี่
ตามลูกพี่มาที่นี่หรือ
แต่ แต่… ถึงจะทำเพื่อลูกพี่ แต่องค์ชายก็ไม่น่าจะมาปรากฏตัวในสถานที่ยากจนข้นแค้นอย่างชนบทแห่งนี้ได้! อย่างไรเขาก็เป็นชายที่สูงศักดิ์ราวกับเทพเซียนเชียวนะ!
เขาถึงกับเอาท่านพ่อตัวเองไปเปรียบเทียบกับเจ้าคนแซ่เลี่ยวนั่นต่อหน้าองค์ชายสาม… ช่างเป็นเรื่องที่น่าอับอายเสียไม่มี!
ใบหน้าของเฉินเหลียงขึ้นสีแดงเถือก เขาเกาท้ายทอยตัวเองด้วยความอับอาย เขาอยากทำความเคารพไป๋หลี่เจียเจวี๋ย แต่ก็กลัวว่าจะทำให้ฐานะที่แท้จริงของเขาถูกเปิดเผยออกมาได้ ดังนั้นเขาจึงยืนอยู่ที่เดิมอย่างทำอะไรไม่ถูก และทำได้เพียงเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า ”ลูกพี่ขอรับ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเอ่ยอย่างใจเย็นว่า ”คุณชายเลี่ยววิ่งมาชนข้า แต่กลับต้องการให้ข้าชดใช้ค่าเสียหายให้เขา ข้าไม่คิดว่ามันเป็นความเข้าใจผิด”
คนแซ่เลี่ยวท้องไส้ปั่นป่วนเพราะความหวาดกลัวทันทีที่ได้ยินคำพูดของนาง เขารีบหยิบถุงเงินของตัวเองออกมา แล้วค้อมตัวลงทันที ”เป็นข้าต่างหากที่ควรจะชดใช้จ่ายค่าเสียหายให้คุณชายขอรับ! มันเป็นความผิดของข้าเอง!”
ความโกรธของเฉินเหลียงเลือนหายไปเมื่อเขาเห็นคุณชายเลี่ยวร้องขอความเมตตาเช่นนั้น เขาไม่ได้รับเงินก้อนนั้น แต่กลับบอกให้คุณชายเลี่ยวกลับไปเสีย ลูกพี่ของเขาจะได้ไม่รู้สึกหงุดหงิดเมื่อเห็นเขาอีก
คุณชายเลี่ยวพยักหน้าอย่างแรง แล้วทำตามทุกอย่างที่เฉินเหลียงสั่งอย่างขยันขันแข็ง แต่ทันทีที่เขาเดินออกไปจากโรงเตี๊ยม เขาก็ถีบข้ารับใช้ของตัวเอง แล้วระบายอารมณ์ออกมาอย่างฉุนเฉียวว่า ”ไอ้บ้าเอ๊ย! ทำไมเจ้าไม่บอกข้าว่าหมอนั่นคือคุณชายเฉิน!”
“บ่าว บ่าวไม่เคยพบคุณชายเฉินมาก่อนเลยขอรับ บ่าวไม่รู้ว่าคนคนนั้นคือเขา” ข้ารับใช้ตอบอย่างจนใจ ใบหน้าของเขาเริ่มบวม
คุณชายเลี่ยวเยาะเย้ยตัวเอง ”มันคงเป็นความโชคร้ายของข้าเอง ใครจะไปรู้ว่าเจ้ายาจกนั่นมันจะเป็นเพื่อนกับคุณชายเฉิน! ข้าจะไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปแน่! เจ้าจับตาดูเจ้ายาจกสองคนนั้นเอาไว้ให้ดี ทันทีที่คุณชายเฉินไปจากพวกมันเมื่อไหร่ เจ้าจงไปสั่งสอนบทเรียนให้พวกมันทั้งสองคนซะ!”
“เอ่อ… นี่คงไม่ใช่ความคิดที่ดีสักเท่าไหร่กระมังขอรับ” ข้ารับใช้คนนั้นกระซิบเตือนเจ้านายของตน ”นายน้อยขอรับ ถ้าพวกเขาได้รับบาดเจ็บ คุณชายเฉินคงไม่ปล่อยท่านไปง่ายๆ แน่ สุดท้ายแล้วคนที่จะต้องโชคร้ายก็คือท่านนะขอรับ…”