องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 477 มีตาหามีแววไม่
โครม!
คุณชายเลี่ยวยกขาขึ้นถีบข้ารับใช้คนนั้นอีกครั้งจนล้มลงไปนอนกองอยู่กับพื้น จากนั้นจึงคำรามว่า ”เจ้าหมายความว่าอย่างไรถึงบอกว่าคนที่จะต้องโชคร้ายก็คือข้า เจ้าคิดแทนข้าได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ไม่ว่าข้าจะสั่งอะไร เจ้าก็ต้องทำตาม! ถ้าเจ้าปกปิดเรื่องนี้หลังจากจัดการพวกมันเสร็จแล้วไม่ได้ เช่นนั้นก็ฆ่าพวกมันซะ! อย่างไรพวกมันก็เป็นเพียงแค่คนบ้านนอกไร้ค่าอยู่แล้ว!”
ในความคิดของคนแซ่เลี่ยว เขาเชื่อว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยได้เป็นเพื่อนกับคุณชายเฉินก็เพราะโชคช่วย
แต่เขาลืมไปว่าเฉินเหลียงเรียกนางว่า ’ลูกพี่’ อยู่หลายครั้ง
ในเวลาเดียวกันนั้น เฉินเหลียงปฏิเสธกำหนดการทั้งหมดของตัวเอง แล้วจัดการจองห้องอาหารเลิศหรู และสั่งอาหารนานาชนิดเข้ามาที่ห้องทันที
ตลอดเวลานั้นเขาไม่กล้านั่งเลย เพราะกังวลว่าจะทำอะไรผิดพลาดเอาได้
ประการแรกเป็นเพราะองค์ชายสามยังปิดบังฐานะที่แท้จริงของตัวเองอยู่
ประการที่สองเป็นเพราะตัวตนขององค์ชายสามนั้นทรงอำนาจอย่างที่สุด
ข้ารับใช้ของเฉินเหลียงไม่เคยเห็นคุณชายของตนในสภาพนี้มาก่อน ปกติแล้วเขาเป็นคนกล้าหาญเด็ดเดี่ยวอยู่เสมอ สายตาของเขามองเฮ่อเหลียนเวยเวยสลับกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย และดูหวาดกลัวเกินกว่าจะพูดอะไรออกมา
เฮ่อเหลียนเวยเวยยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าคาง แล้วหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจพร้อมกับเอ่ยว่า ”เอาล่ะ เฉินเหลียง นั่งลงได้แล้ว เลิกมองซ้ายมองขวาเสียที ข้าจำได้ว่าตอนที่เจ้าเดินทางออกมาจากสำนัก เจ้าเคยบอกว่าจะมาที่เมืองหลวงประจำมณฑลพร้อมกับท่านพ่อ ดังนั้นวันนี้ข้าจึงมาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือจากเจ้า”
“ไม่จำเป็นต้องขอขอรับ! ไม่ว่าลูกพี่ต้องการให้ทำสิ่งใด ข้าก็พร้อมน้อมรับคำสั่งขอรับ!” เฉินเหลียงตอบอย่างกระตือรือร้นยิ่งนัก แต่เขาก็ยังเลือกนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่อยู่ห่างจากไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่สุดอยู่ดี
นิ้วเรียวยาวของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหมุนถ้วยน้ำชาในมือและชำเลืองมองดูเฉินเหลียงด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย
การกระทำนั้นทำเอาเฉินเหลียงเสียวสันหลังวาบจนรีบนั่งตัวตรงทันที เขานั่งหลังตรงราวกับแผ่นไม้ มิหนำซ้ำยังนั่งได้ตรงยิ่งกว่าตอนที่เขาอยู่ที่สำนักเสียอีก
เฮ่อเหลียนเวยเวยขำ นางตบบ่าเขา แล้วรับประกันกับเขาว่า ”ไม่เป็นไร ทำตัวตามสบายเถอะ ตอนนี้เขาแสดงละครเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของข้าอยู่ เขาใช้แซ่หลง”
“ที่ปรึกษาส่วนตัวหรือขอรับ” เฉินเหลียงตะโกนเสียงดังขึ้นมาอย่างไม่สามารถควบคุมตัวเองได้!
เฮ่อเหลียนเวยเวยเพียงพึมพำตอบอย่างไม่ใส่ใจว่าใช่ พร้อมกับยิ้มออกมา แล้วพูดต่อ ”ข้ายังไม่มีโอกาสได้บอกใครว่าข้าได้รับแต่งตั้งเป็นนายอำเภอหนึ่งในมณฑลของเจ้า”
เมื่อครู่นี้ตอนที่เฉินเหลียงได้เจอเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาก็ตกใจมากพออยู่แล้ว แต่ตอนนี้เขาตกใจยิ่งกว่า!
เขาคิดกับตัวเองว่า… ในเมื่อลูกพี่มาอยู่ที่นี่ เจ้าพวกขุนนางจอมละโมบพวกนั้นคงต้องได้พบจุดจบเป็นแน่ มิหนำซ้ำบิดาของเจ้าพวกนั้นเองก็คงเป็นได้แค่ของประดับตกแต่งเท่านั้น
แต่เรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งใดก็คือการที่นางมีที่ปรึกษาทางการทหารเป็นองค์ชายสามนี่เอง…
ต่อให้เอาเรื่องนี้ไปบอกใครก็คงไม่มีคนเชื่อ!
ไม่ เขาต้องใจเย็นๆ เข้าไว้…
เฉินเหลียงยกถ้วยชาขึ้นจิบ จากนั้นจึงถามขึ้นอย่างอดสงสัยไม่ได้ว่า ”ลูกพี่ไปประจำที่เมืองไหนหรือขอรับ”
“ฟู่ผิง” เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบเพียงสองคำ
เฉินเหลียงชะงักไปเล็กน้อย เขาถามว่า ”จริงหรือขอรับ”
“จริงสิ” เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้วแล้วถามกลับ ”ทำไมหรือ เจ้ารู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเมืองฟู่ผิงเหมือนกันหรือ”
เฉินเหลียงดื่มชาแล้วบอกว่า ”ปัญหาของเมืองฟู่ผิงเป็นปัญหาที่แม้กระทั่งท่านพ่อของข้าก็ยังไม่สามารถจัดการได้เลยขอรับ เบื้องหลังนั้นมีปัญหามากมายซ่อนอยู่ภายใน และไม่มีใครกล้าพอที่จะยื่นมือเข้าไปยุ่ง แต่ตอนนี้ในเมื่อท่านกับองค์ชายสามมาอยู่ที่นี่แล้ว ในที่สุดสถานการณ์ก็อาจจะเปลี่ยนไปแล้วก็ได้กระมัง!”
“ดูเหมือนเจ้าพอจะมีข้อมูลอยู่บ้าง” เฮ่อเหลียนเวยเววางถ้วยชาลง แล้วส่งสัญญาณบอกให้เขาพูดต่อ
เฉินเหลียงรีบเล่าความจริงทั้งหมดให้นางฟัง ”เมืองฟู่ผิงมีที่ดินมากมายขอรับ ดังนั้นทางราชสำนักจึงตัดสินใจที่จะเปลี่ยนมันให้เป็นพื้นที่หลักในการจัดเก็บและจัดส่งอาหารให้กับเมืองหลวง ดังนั้นตลอดสองปีที่ผ่านมาจึงมีการจัดสรรงบประมาณก้อนใหญ่ไปให้ที่นั่น อดีตฮ่องเต้รู้ว่าที่ดินของที่นั่นมีความอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก หากมีเสบียงเก็บเอาไว้เพียงพอ ประชาชนก็จะไม่ต้องทนหิวในฤดูแล้ง และท้องพระคลังก็จะได้ไม่ร่อยหรอด้วยขอรับ ทั้งที่อดีตฮ่องเต้ส่งงบประมาณไปให้ที่นั่นทุกปี แต่กลับไม่มีผลลัพธ์อันใดเกิดขึ้นแม้แต่อย่างเดียว ยิ่งกว่านั้นไม่ใช่แค่เงินที่หายไป แต่ความอดอยากขาดแคลนก็ยังเลวร้ายลงอีก อดีตฮ่องเต้ทรงกริ้วเป็นอย่างยิ่ง เขารู้ดีว่าเงินก้อนนั้นจะต้องถูกขุนนางจากทุกระดับชั้นยักยอกไปอย่างแน่นอน แต่เรื่องในครั้งนี้ซับซ้อนเกินไปและเขาไม่สามารถเสด็จมาที่นี่เพื่อตรวจสอบมันด้วยตัวเองได้ ดังนั้นเขาจึงส่งคนมาแทน แต่คนพวกนั้นถ้าไม่เข้าไปมีส่วนกับการฉ้อโกงโดยตรง ก็จะสืบสวนสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างลวกๆ และไม่ได้จับกุมตัวขุนนางระดับสูงที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนั้นอย่างแท้จริงยกตัวอย่างเช่นท่านพ่อของข้า ตำแหน่งผู้ว่าการสามมณฑลอาจทำให้เขาดูมีอำนาจ แต่เมื่อเขาไปถึงเมืองหลวงแล้วเขาก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดา คุณชายคนไหนในเมืองหลวงต่างก็มีอำนาจอยู่ในมือมากกว่าที่ท่านพ่อของข้ามีด้วยซ้ำ พวกเราไม่รู้ว่าคนที่เราอาจเสียมารยาทด้วยคนนั้นคือใคร และไม่รู้ว่าจะทำเรื่องนี้ไปเพื่ออะไรด้วย ต่อให้พวกเรามีเบาะแส แต่คนเบื้องบนก็จะพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อทำลายหลักฐานนั้นอยู่ดี ส่วนที่ยากในเมืองฟู่ผิงก็คือปัญหาพวกนี้ล่ะขอรับ”
“เจ้ารู้หรือเปล่าว่าใครเป็นคนหนุนหลังคนแซ่เลี่ยว”
ข้ารับใช้แทบไม่อยากเชื่อเลยว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะสุขุมเยือกเย็นได้ถึงเพียงนี้ทั้งที่เพิ่งฟังเรื่องที่นายน้อยพูดจบไป เขาอดลอบมองเฮ่อเหลียนเวยเวยอีกครั้งไม่ได้
เฉินเหลียงพูดเสียงเบา ”คนคนนั้นเป็นผู้อาวุโสจากสี่ตระกูลใหญ่ขอรับ ความจริงแล้วผู้อาวุโสคนนี้มีความเกี่ยวข้องกับลูกพี่ด้วย เขาไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นคนจากตระกูลเฮ่อเหลียนขอรับ เขามีความใกล้ชิดกับผู้อาวุโสของตระกูลเฮ่อเหลียน มิหนำซ้ำทั้งสองยังคอยสนับสนุนซึ่งกันและกันมาอย่างดี…”
เฮ่อเหลียนเวยเวยฟังที่เขาพูดเงียบๆ โดยไม่พูดขัดขึ้นแม้แต่คำเดียว
เมื่อเฉินเหลียงเห็นว่านางยังคงเงียบ เขาจึงพูดต่อ ”ฐานะของเขาโดดเด่นมากขอรับ ตระกูลเฮ่อเหลียนยังไม่มั่นคงนัก ดังนั้นจึงเปิดโอกาสให้เขาปิดแผ่นฟ้าด้วยฝ่ามือใช้อำนาจของตัวเองกดขี่คนอื่นได้ ยิ่งกว่านั้นเขายังได้รับการสนับสนุนจากตระกูลอื่นๆ ด้วยเหมือนกัน ดังนั้นหากเราไม่มีหลักฐานที่แน่นหนาละก็ ต่อให้เป็นอดีตฮ่องเต้ก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้ขอรับ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหมุนถ้วยชาในมือ แล้วถามว่า ”แล้วเขามีความเกี่ยวข้องอะไรกับเลี่ยวจือฝู่หรือ”
“เจ้าลูกเขยที่แต่งเข้ามาคนนี้ช่วยผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนยักยอกเงินจากราชสำนักขอรับ ลูกพี่ ท่านอาจจะไม่รู้เรื่องนี้เพราะท่านอยู่แต่ในเมืองหลวง แต่ผู้อาวุโสเหล่านี้ค่อนข้างเจ้าเล่ห์ทีเดียว พวกเขาทำตัวไม่เป็นที่โดดเด่นในเมืองหลวงเพราะกลัวว่าองค์ชายสามจะรู้เข้าและลงโทษตัวเองเอาได้! ดังนั้นพวกเขาถึงได้มาก่อความผิดกันในชนบทที่ไม่ต้องหวาดกลัวว่าจะถูกใครเจอตัวได้ง่ายๆ แทนขอรับ อย่างไรสถานที่พวกนี้ก็ตั้งอยู่ห่างไกลยิ่งนัก” เฉินเหลียงอธิบายให้นางฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วน
เฮ่อเหลียนเวยเวยเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดในเวลานี้แล้ว นางหันหน้าไปสบตากับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ทั้งสองคนตัดสินใจตรงกัน
แต่สาเหตุหลักที่ทำให้นางมาที่นี่กลับเป็นเรื่องอื่น จากนั้นนางจึงเอ่ยขึ้นมาว่า ”เหลียงจื่อ เจ้าบอกให้พ่อของเจ้าส่งเงินให้พวกข้าสักนิดสิ เขาน่าจะมีเงินอยู่ในมือเพราะเป็นผู้ว่าการสามมณฑลนี่ พวกข้ายังมีปัญหาภัยแล้งต้องจัดการที่เมืองฟู่ผิงอยู่ แต่จะเปิดเผยตัวออกไปไม่ได้ ดังนั้นพวกข้าถึงได้มาที่นี่เพื่อขอร้องให้ท่านพ่อของเจ้าไปกับพวกข้าด้วย”
“ไม่จำเป็นต้องขอร้องหรอกขอรับ พวกท่านอุตส่าห์มาถึงที่นี่ หากท่านพ่อของข้ารู้เรื่องนี้เข้า เขาจะต้องรีบมาที่นี่ทันทีแน่” เฉินเหลียงพูดตามความจริง เพราะบิดาของเขาจงรักภักดีต่อองค์ชายสามเป็นอย่างยิ่ง
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า ”ถ้าท่านพ่อของเจ้าได้ยินน้ำเสียงของเจ้าเมื่อครู่นี้ เจ้าคงได้เจอปัญหาอีกแน่”
“ตอนนี้อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนั้นเลยขอรับ ลูกพี่ ให้ข้าเลือกชุดใหม่ให้ท่านกับองค์ชายก่อนดีกว่า เสื้อผ้าของพวกท่านมัน…” เฉินเหลียงลังเลเมื่อพูดออกไปได้ครึ่งประโยค
เฮ่อเหลียนเวยเวยจิบชา แล้วตอบว่า ”ใส่อะไรก็เหมือนกัน เจ้าอย่าสนใจเลย”
“ขอรับ” เฉินเหลียงรับคำอย่างเชื่อฟังพร้อมกับสงสัยอยู่ในใจเงียบๆ ว่า ลูกพี่กับองค์ชายสามจงใจลดตัวลงมาสวมผ้าขี้ริ้วพวกนั้นหรือ! ไม่แปลกใจเลยที่คนพวกนั้นจะไม่ทันสังเกตเห็นว่าพวกเขาเป็นชนชั้นสูง เฮ้อ คนเราอาจจะมีตาแต่ก็หามีแววไม่…