องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 489 ใช้ฐานะกำราบเขาหรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยบีบแก้มเล็กๆ ของเด็กชาย นางก็รู้สึกแบบเดียวกัน ”พี่สามของเจ้าไม่เหมือนใคร”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยผู้มีบรรยากาศอันเป็นเอกลักษณ์อยู่รอบตัวชำเลืองมองหนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่ที่อยู่ข้างหลัง จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า ”ถ้าข้าได้ยินพวกเจ้าแสดงความคิดเกี่ยวกับข้าขึ้นมาอีกละก็ พวกเจ้าคงรู้ใช่ไหมว่าผลที่ตามมาจะเป็นเช่นใด”
หนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่เหงื่อตกทันที
“เขาได้ยินหรือ”
“อยู่ในสภาพนี้เขาก็ยังได้ยินที่เราคุยกันด้วยหรือ”
“พี่สามนิสัยไม่ดีเกินไปแล้ว”
“ใช่ จริงที่สุด…”
มุมปากขององครักษ์เงาถึงกับกระตุก นายน้อยกับพระชายาคุยกันเสียงดังเกินไปแล้ว
พวกเขาเอะอะเสียงดังกันถึงเพียงนี้ แล้วจะไม่ให้ได้ยินได้อย่างไร…
พวกเขาไม่กลัวว่าจะทำให้ฝ่าบาทไม่พอใจหรือ
องครักษ์เงาหลุบตาลง แล้วเอ่ยว่า ”ฝ่าบาท กระหม่อมควรไปเตือนพระชายาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็มององครักษ์เงาอย่างเย็นชา ”เตือนเรื่องอะไร”
“ไม่ ไม่มีอะไรพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์เงามีลางสังหรณ์ว่าชายหนุ่มกำลังไม่พอใจ เขาจึงไม่กล้าพูดอะไรอีก เขารู้ว่าพระชายามีตำแหน่งอะไรในใจของฝ่าบาท ดังนั้นเขาจึงค้อมศีรษะลงด้วยความเคารพ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยละสายตาออกจากเขา และเดินผ่านร่างขององครักษ์เงาไป ดวงตาของเขาเป็นประกายราวกับทะเลแห่งดวงดาวในยามที่เขาก้มหน้าลงมองเฮ่อเหลียนเวยเวย จากนั้นเขาจึงยื่นมือออกมา น้ำเสียงลุ่มลึกของเขาไพเราะราวกับเครื่องดนตรีชั้นดี มันสามารถทำให้คนที่ได้ยินเคลิบเคลิ้มได้เลยทีเดียว ”ไปกันเถอะขอรับใต้เท้า มุ่งหน้าสู่สนามถัดไป…”
ทันทีที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นมุมปากที่กระตุกขึ้นเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็นของเขา นางก็รู้ว่าใครบางคนกำลังจะโชคร้าย แต่นางก็ยินดีที่จะร่วมมือกับองค์ชาย
นางวางมือลงบนฝ่ามือของเขา กระตุกเพียงครั้งเดียวนิ้วของทั้งสองก็เกี่ยวเข้าหากัน
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยเดินตามหลังพวกเขา เขาคาบซาลาเปาไว้ในปากพร้อมกับกวาดตามองทุกคนอย่างทรงอำนาจ
คนของศาลาว่าการไม่รู้ว่าทำไมเด็กชายถึงมาอยู่ที่นี่ได้ แม้เหล่าทหารของศาลาว่าการจะรู้สึกว่ามันค่อนข้างผิดปกติ แต่ก็ทำได้เพียงแค่มองตามแผ่นหลังของพวกเขาเท่านั้น
การไต่สวนเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ คดีนี้น่าจะเป็นคดีที่ใหญ่ที่สุดของเมืองฟู่ผิงในรอบร้อยปีที่ผ่านมา ขุนนางจากหลายเมืองต่างมาอยู่ที่นี่ ยิ่งกว่านั้นยังมีเหล่าขุนนางทั้งสี่จากเมืองหลวงประจำมณฑลนั่งอยู่ข้างๆ เฮ่อเหลียนเวยเวยอีกด้วย
เรียกได้ว่าความกดดันที่ผู้ไต่สวนคดีในครั้งนี้ต้องเผชิญนั้นรุนแรงยิ่งนัก!
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับยังคงความสุขุมเยือกเย็นเอาไว้ได้ นางยังคงดูเย็นชาเฉกเช่นในยามปกติ
ที่ปรึกษาหลงที่ยืนอยู่ข้างตัวนางมีบรรยากาศโดดเด่นปกคลุมไปทั่วร่าง มันเหมือนกับว่าเขาใช้ชีวิตอยู่ในราชสำนักมานานหลายปี บรรยากาศที่ออกมาจากร่างของเขาทำให้เขาดูเหมือนขุนนางจากราชสำนักยิ่งกว่าขุนนางทั้งสี่ของเมืองหลวงประจำมณฑลเสียอีก
ที่ปรึกษาจางยังคงไม่พอใจกับการที่ตำแหน่งของเขาถูกอีกฝ่ายแย่งไป เขาจ้องมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอย่างโกรธแค้น แล้วแอบถอนหายใจอยู่ในใจ ถ้าไม่มีเจ้าคนแซ่เว่ย เขาสงสัยนักว่าชายที่ไม่มีดีอะไรนอกจากหน้าตาเช่นนี้จะทำตัวโอหังได้อีกนานเพียงใด!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวที่เฮ่อเหลียนเวยเวยพามา ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่นางจะพาเขาไปไหนมาไหนด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการไต่สวนครั้งนี้
“พาตัวเยี่ยนต้าจ้าวผู้กระทำผิดออกมา” เสียงของเขานั้นเบามาก แต่น่าประหลาดที่ทุกคนกลับได้ยินมันอย่างชัดเจน น้ำเสียงอันหนักแน่นของเขาก้องอยู่ในหูของทุกคน
นี่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ที่ปรึกษาจางเกลียดเขาเข้าไส้ ทั้งที่พวกเขาสองคนเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวเหมือนกัน แต่ชายคนนี้กลับยืนอยู่เหนือคนอื่น แม้กระทั่งตอนที่เผชิญหน้ากับผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่า เขาก็ยังไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมาด้วยซ้ำ
อวดดีอะไรเช่นนี้!
ที่ปรึกษาจางแค่นหัวเราะออกมา จากนั้นบนใบหน้าของเขาก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นก่อนจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว เขาขยับตัวเข้าไปหาไป๋หลี่เจียเจวี๋ย และทำราวกับว่าตัวเองเป็นรุ่นพี่ที่กำลังสั่งสอนไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ”เสี่ยวหลง ที่นี่มีใต้เท้าอยู่หลายท่าน ดังนั้นพวกเราที่เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวจึงควรสงวนคำพูดและปล่อยให้พวกใต้เท้าเป็นผู้ไต่สวนคดีตามความเห็นชอบของพวกเขา เจ้าเพิ่งมาที่นี่ดังนั้นอาจจะไม่เข้าใจว่าการไต่สวนคดีนั้นย่อมมีขั้นตอน เจ้าจะทำตัวเหมือนเป็นใต้เท้าไม่ได้”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเหลือบมองเขานิ่งๆ
ที่ปรึกษาจางเห็นปฏิกิริยาของเขา จึงรีบพูดขึ้นอย่างกระตือรือร้นว่า ”พวกเราทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกัน ถ้าเจ้ามีอะไรไม่เข้าใจก็ถามข้าได้ การปรึกษากับข้าก่อนจะพูดอะไรออกไปย่อมจะเกิดความผิดพลาดน้อยลง…”
ที่ปรึกษาจางยังพล่ามไม่หยุดในตอนที่ริมฝีปากของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเผยอขึ้นอย่างไม่รีบร้อน น้ำเสียงของเขาไม่ได้เย็นชาและไม่ได้อบอุ่นจนเกินไป ท่าทางของเขายังคงดูสบายๆ ราวกับว่าเขาไม่ได้สนใจที่ปรึกษาจางเลยแม้แต่น้อย ”เจ้าเป็นใครหรือ”
“เจ้า เจ้า…” ที่ปรึกษาจางคาดไม่ถึงว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้จากเขา นิ้วของเขาสั่นสะท้านขณะที่จ้องมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ย!
อุ๊บ!
เฮ่อเหลียนเวยเวยกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ไหว นางเห็นใบหน้าตกใจจนเป็นหินของที่ปรึกษาจางได้จากตรงที่นางนั่ง เขาโกรธมากจนควันออกหูแต่ไม่สามารถแสดงออกมาได้ และสีหน้าเช่นนั้นบนใบหน้าของเขาก็ดูโง่เง่าเป็นอย่างยิ่ง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงเฉยชาเช่นเดิม สายตาของเขามองตรงไปข้างหน้า จับจ้องไปยังบริเวณห้องโถงของศาลาว่าการ ในดวงตาเรียวของเขานั้นไม่มีอาการไขว้เขวเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าคนที่พูดประโยคนั้นออกมาเมื่อครู่ไม่ใช่เขา
เฮ่อเหลียนเวยเวยกระแอมเล็กน้อย แล้วจึงเปลี่ยนไปทำหน้าตาจริงจัง นางเห็นทหารสองนายของศาลาว่าการพานายท่านเยี่ยนเข้ามา
เขาไม่ได้ลงไปคุกเข่าเพราะมีฐานะเป็นจิ้นชื่อ ดังนั้นเขาจึงยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับพุงพลุ้ยๆ ของตน เมื่อสายตาของเขาสบเข้ากับเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาก็เริ่มตะโกนออกมาเสียงดังโดยไม่รอให้นางถามว่า ”ใต้เท้า ข้าถูกใส่ร้ายขอรับ!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะเยาะว่า ”เจ้า? ถูกใส่ร้ายหรือ?”
“ใต้เท้าขอรับ ข้ารู้ว่าท่านเข้าใจข้าผิดมาตลอด” นายท่านเยี่ยนพูดด้วยรอยยิ้ม ”เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของใต้เท้าหรอกขอรับ ข้าทุ่มเททำงานอย่างหนักเพื่อให้ตัวเองได้มาอยู่ในจุดนี้ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างไรหากจะมีข่าวลือเช่นนั้นแพร่สะพัดออกไป ข้าไม่เคยขอให้ใครมาขอบคุณข้า แต่ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีคนเห็นเรื่องนั้นเป็นโอกาสที่จะมาใส่ร้ายให้ข้าต้องมัวหมอง หากใต้เท้ามีอคติต่อข้า แม้จะต้องใช้เวลา ข้าก็พร้อมที่จะพิสูจน์ให้ท่านเห็นขอรับ แต่การนำเรื่องนี้มาจัดการในชั้นศาลคงไม่ยุติธรรมสักเท่าใดกระมังขอรับ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเขาด้วยสายตาเย็นชา แต่นางก็ไม่ได้ตอบเขา
เฉินเหลียงกับองค์ชายเจ็ดตัวน้อยยืนฟังคำพูดนั้นพร้อมกับชาวบ้านคนอื่นๆ คนโตกว่าคำรามขึ้นอย่างไม่ไว้หน้าว่า ”ข้าในฐานะคุณชายอยู่มานานถึงเพียงนี้ยังไม่เคยเจอใครที่ไร้ยางอายเท่าเจ้าเยี่ยนคนนี้มาก่อนเลย! เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าคนที่เที่ยวฉุดผู้หญิงบนถนนไปก็คือเขา แต่กระนั้นกลับกล้าพูดจาเหมือนตัวเองเป็นวีรบุรุษไม่มีผิด! พวกเราไม่ควรเสียเวลาไปกับการพูดคุยกับคนเช่นนี้ พวกเราควรเอาฐานะของพวกเรากำราบเขาซะ!”
ใบหน้าเล็กๆ ของเจ้าเจ็ดที่กำลังคาบซาลาเปาไว้ในปากดำทะมึนขึ้นเล็กน้อย ”คนที่ทำร้ายคนอื่นย่อมได้รับผลกรรมที่เลวร้ายอย่างแน่นอน พี่สามมีสารพัดวิธีที่จะทำให้เขาหุบปากได้ ต่อให้ไม่ต้องใช้ฐานะของตัวเอง แต่พี่สามก็ยังทำให้เขาชดใช้ในสิ่งที่ตัวเองก่อได้อย่างง่ายดาย”
“จริงด้วย!” เฉินเหลียงพยักหน้า เขายื่นมือออกไปบีบไหล่ของเด็กชาย พร้อมกับเอ่ยอย่างเอาใจว่า ”นายน้อยช่างฉลาดจริงๆ!”
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยหันหน้ากลับมา แล้วเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางทรงอำนาจว่า ”เจ้าเองก็ไม่เลว”
การถูกเจ้าตัวเล็กเอ่ยชมนั้นนับว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ยิ่งนัก เฉินเหลียงซาบซึ้งจนแทบจะร้องไห้ออกมา! สมัยก่อนตอนอยู่ในสำนักไท่ไป๋ เขายังกลัวอยู่เลยว่าเด็กคนนี้จะเลือกเดินไปอีกทางหนึ่ง!
ต่อให้เขายังเด็ก แต่ก็มีฝีมือร้ายกาจนัก ทหารทั้งศาลาว่าการแห่งนี้ยังทำอะไรเขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!
“นายท่าน นายท่านขอรับ!” การจะหาตัวนายน้อยของตัวเองย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับข้ารับใช้อย่างเขา แม้จะพยายามเขย่งปลายเท้าเพื่อมองหาเขาท่ามกลางฝูงชนเช่นนี้ แต่เขาก็เห็นผู้เป็นนายเพียงแค่เสี้ยวเดียวเท่านั้น เขาคว้าแขนเสื้อของใต้เท้าเฉินเอาไว้ พลางชี้นิ้วไปทางคนกลุ่มหนึ่งแล้วเอ่ยว่า ”ข้า ข้าหานายน้อยเจอแล้วขอรับ!”
ใต้เท้าเฉินมองตามนิ้วของข้ารับใช้ไป ในที่สุดสายตาร้อนใจของเขาก็มองเห็นบุตรชายสุดที่รักของตน แต่ทันทีที่เขาเห็นเด็กชายหัวโล้นที่ยืนอยู่ข้างผู้เป็นลูก เขาก็ถึงกับหันหลังกลับ ทำไมแม้กระทั่ง ’ท่านบรรพบุรุษ’ ตัวน้อยนั่นก็มาอยู่ที่นี่ได้!