องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 490 ขุดหลุมฝังตัวเอง
ในจักรวรรดิจ้านหลงนี้ ตั้งแต่อดีตฮ่องเต้จนถึงขันทีซุนต่างก็ไม่มีผู้ใดที่ไม่ตามใจองค์ชายเจ็ดตัวน้อย
สมัยที่เขาเพิ่งเข้ารับตำแหน่งในเมืองหลวง เขาได้ยินจากคนในวังว่าอดีตฮ่องเต้เป็นห่วงองค์ชายเจ็ดตัวน้อยยิ่งนัก อดีตฮ่องเต้ พยายามทุกวิถีทางเพื่อทำให้องค์ชายเจ็ดตัวน้อยอิ่มท้อง เจ้าตัวเล็กจะได้ไม่ไปทำอันตรายต่อบรรดานกกระเรียนในวังหลวง
ถึงอดีตฮ่องเต้จะกล่าวเช่นนั้น แต่ทุกคนต่างก็รู้ดีกว่าเขารักองค์ชายเจ็ดตัวน้อยมากเพียงใด
ดังนั้นคงจะดีกว่าหากไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นกับองค์ชายเจ็ดตัวน้อยภายใต้เขตที่เขาปกครองอยู่
ไม่อย่างนั้นละก็ แม้ว่าเขาจะมีสักร้อยหัวก็คงไม่พอที่จะชดเชยความผิดของตัวเองได้!
โชคดีที่เจ้าลูกชายผู้โง่เขลาของเขาตามอีกฝ่ายไป ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าลูกชายของเขากับองค์ชายเจ็ดตัวน้อยจะดีทีเดียว
ใต้เท้าเฉินพยายามผ่อนลมหายใจในช่วงอกให้เป็นปกติ เพียงแค่ครึ่งวันหัวใจของเขาก็กระเด้งกระดอนราวกับนั่งอยู่บนรถไฟเหาะไปแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
“ใต้เท้า พวกเราเข้าไปกันตอนนี้เลยดีไหมขอรับ” เด็กรับใช้ดีใจที่ได้เจอนายน้อยของตนอีกครั้ง!
ใต้เท้าเฉิน ผู้ว่าการสามมณฑลคว้าตัวเด็กรับใช้ของตัวเองกลับมา ”เดี๋ยวก่อน”
เดี๋ยวก่อนหรือ เด็กรับใช้คนนั้นไม่เข้าใจในจุดประสงค์ของผู้เป็นนาย
ใต้เท้าเฉินอยู่ในราชสำนักมาหลายปีแล้ว เมื่อเห็นว่าปัจจุบันนั้นบุตรชายของตนยืนฟังการไต่สวนนี้อยู่ท่ามกลางฝูงชน มันย่อมแสดงให้เห็นว่าองค์ชายยังไม่คิดที่จะเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตนออกมา
ถ้าเขาออกไปตอนนี้ ก็มีความเป็นไปได้มากทีเดียวที่ประชาชนจะจำเขาได้ และจะทำให้แผนการขององค์ชายพังเอาได้ นั่นย่อมนำมาซึ่งจุดจบในอาชีพผู้ว่าการของเขา
ดังนั้นเขาทำเพียงแค่ฟังอยู่เฉยๆ ดีกว่า…
แม้เขาจะบอกกับตัวเองเช่นนั้น แต่ก็ยากที่จะสงบใจลงได้ เขาฟังเสียงเอะอะโวยวายที่เกิดขึ้นอย่างตั้งใจ ฝ่ามือของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
อีกด้านหนึ่งนั้น ที่ปรึกษาจางยังคงอ้าปากพูดอย่างไม่กลัวเกรงว่า ”ใต้เท้าเว่ย ข้าคิดว่าพวกเรายังต้องการหลักฐานเพิ่มเติมสำหรับคดีในครั้งนี้อยู่ขอรับ มีใครสามารถพิสูจน์ได้หรือไม่ว่าผู้เฒ่าหลิวไม่ได้โกหก”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น มุมปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็พลันกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้ม นางเล่นกับพู่หยกที่เอว พร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยเสียงสบายๆ ว่า ”ที่ปรึกษาหลง”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้ขานรับ เขาทำเพียงเดินเข้าไปหาที่ปรึกษาจาง แล้วใช้เท้าของตัวเองถีบเข้าที่หว่างขาของอีกฝ่าย
เกิดเสียงลั่นดังกร๊อบ!
ที่ปรึกษาจางทรุดลงไปนั่งคุกเข่าลงกับพื้น ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด
“นี่มันบ้าไปแล้ว!” เลี่ยวจือฝู่ตะโกนขึ้นทันที เขาถลึงตาใส่เฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยความโกรธ ”ใต้เท้าเว่ย ท่านคิดว่าศาลเป็นสถานที่เช่นใดกัน ท่านปล่อยให้ที่ปรึกษาส่วนตัวทำร้ายคนอื่นตามใจชอบได้อย่างไร!”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชำเลืองมองเขา น้ำเสียงของเขายังคงราบเรียบ ”ก่อนที่ใต้เท้าเลี่ยวจะถามคำถามนี้ ท่านน่าจะถามที่ปรึกษาจางก่อนนะว่าเขาเข้าใจระเบียบภายในศาลหรือไม่ ผู้ที่มีอำนาจในการไต่สวนครั้งนี้ยังไม่ทันได้พูดอะไรเลยสักคำ เขาเป็นใครถึงมีสิทธิ์อ้าปากหรือ”
เลี่ยวจือฝู่สำลักคำพูดของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจนเจ็บแปลบไปทั้งอก เขาหันไปมองที่ปรึกษาจางที่หมดสภาพอยู่กับพื้นอย่างน่าอนาถ เพลิงโทสะที่เขามียิ่งปะทุสูงขึ้น ”แต่ถึงกระนั้น ท่านก็ไม่สามารถที่จะทำร้ายคนอื่นได้เช่นนี้! นี่คือสิ่งที่ท่านทำในฐานะที่ปรึกษาส่วนตัวหรือ”
“ใต้เท้าเลี่ยว” เฮ่อเหลียนเวยเวยตัดบทเขา ”ข้าเป็นคนสั่งให้เขาเตะที่ปรึกษาจางเอง บางครั้งก็ต้องรู้จักอบรมคนไม่รู้จักมารยาทที่อยู่รอบตัวเสียบ้าง ข้าก็เพียงแค่อบรมผู้ใต้บังคับบัญชาของตัวเอง ใต้เท้าเลี่ยวไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมิใช่หรือ”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวย ทุกคนก็นึกขึ้นได้ว่าที่ปรึกษาจางเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของศาลาว่าการเมืองฟู่ผิง นั่นหมายความว่าเขาอยู่ภายใต้อำนาจของนายอำเภอมิใช่หรือ การที่นายอำเภอจะอบรมสั่งสอนผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของตนจึงย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
บรรดาขุนนางจากเมืองหลวงประจำมณฑลทั้งสี่ที่นั่งอยู่บนตำแหน่งสูงกว่าสบตากัน พวกเขากระแอมออกมาเล็กน้อย แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า ”ใต้เท้าเว่ยต้องการให้พวกข้าอยู่ที่นี่เพื่อดูท่านอบรมผู้ใต้บังคับบัญชาของตนหรือ”
ผู้ว่าการเฉินที่ยืนอยู่นอกวงได้ยินเสียงนั้น และจำได้ว่ามันเป็นเสียงของผู้ใต้บังคับบัญชาอาวุโสคนหนึ่งของตน เขาถึงกับสบถออกมาเบาๆ อย่างอดไม่ไหว!
เขาจะถูกคนโง่เขลาอย่างเจ้าพวกนี้ทำลายเอาไม่ได้เด็ดขาด! พวกเขากล้าดีอย่างไรถึงยื่นจมูกเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้!
“ย่อมไม่ใช่เช่นนั้นอย่างแน่นอน” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม นางหันไปสั่งกับคนของศาลาว่าการที่ยืนอยู่ข้างๆ ว่า ”ทหาร พาตัวที่ปรึกษาจางออกไป ให้เขาได้คิดทบทวนและสำนึกในความผิดที่เขาได้กระทำเสีย”
ข้ารับใช้เหล่านั้นถึงกับตกตะลึง นี่เป็นครั้งแรกที่ที่ปรึกษาจางถูกไล่ออกจากศาลอย่างน่าขายหน้าเป็นอย่างยิ่ง
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยแพ้เลยสักหน
ในระหว่างการไต่สวนนั้น เขาสามารถปกป้องทุกคนที่เขาต้องการจะปกป้องได้ และเพราะเรื่องนั้นจึงทำให้เขาได้รับเงินทองมาเป็นจำนวนมาก ฝีปากอันคมกริบของเขาเป็นทักษะที่เรียกได้ว่าสามารถพลิกความจริงให้กลับตาลปัตรได้เลยทีเดียว
แต่ตอนนี้เขากลับถูกพาตัวออกไปทั้งที่การไต่สวนยังไม่ทันจะเริ่มเลยด้วยซ้ำ มิหนำซ้ำยังถูกเตะเข้าอย่างแรงเสียอีก…
บรรดาข้ารับใช้คิดกันสมองแทบแตก แต่พวกเขาก็ยังคิดว่าเรื่องนี้น่าประหลาดยิ่งนัก
ตอนนั้นนั่นเองที่เลี่ยวจือฝู่เพิ่งจะตั้งสติได้ ดวงตาของเขาเหมือนจะมีไฟพุ่งออกมาได้ทุกเมื่อ!
เป็นเช่นนี้นี่เอง นี่คือจุดประสงค์ที่แท้จริงของพวกเขา!
พวกเขาต้องการกำจัดที่ปรึกษาจางมาตั้งแต่แรก! และบังคับให้เขาต้องก้าวออกไปปกป้องเยี่ยนต้าจ้าวด้วยตัวเอง!
หึ เขาคงประเมินที่ปรึกษาส่วนตัวที่ติดตามนายอำเภอเว่ยเอาไว้ต่ำเกินไป
วิธีการที่เจ้าหมอนี่ใช้นั้นไม่เลวทีเดียว
แต่แล้วอย่างไร สองคนนี้คิดจะเอาเรื่องนั้นมาข่มขู่เขาหรือ ยังอ่อนหัดนัก!
เลี่ยวจือฝู่เยาะยิ้มเย็นชา ”แม้ที่ปรึกษาจางจะทำผิดระเบียบจริง แต่ใต้เท้าเว่ย ท่านมิควรที่จะตอบคำถามสุดท้ายที่เขาถามเอาไว้หรอกหรือ ใครจะรับประกันได้ว่าผู้เฒ่าหลิวไม่ได้โกหกพวกเราอยู่ เท่าที่ข้าจำได้ เขาเคียดแค้นเยี่ยนต้าจ้าวมาตลอด และไม่ว่าเงินหนึ่งตำลึงจะมีค่าเล็กน้อยเพียงใด แต่มันก็ยังเป็นเงิน ในเมื่อผู้เฒ่าหลิวรับเงินไปแล้ว การที่เยี่ยนต้าจ้าวจะแต่งงานกับบุตรสาวของเขานั้นย่อมไม่ใช่เรื่องที่ผิดกฎหมายแต่ประการใด อีกอย่างหนึ่ง มันอาจจะมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวด้วยก็ได้ การที่ใต้เท้าเว่ยตัดสินเยี่ยนต้าจ้าวโดยไม่ได้ทำความเข้าใจกับสถานการณ์ให้ดีเสียก่อนเช่นนี้คงเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมนักกระมัง”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเลี่ยวจือฝู่ นิ้วของนางยังเล่นอยู่กับแหวนที่นิ้วก้อย ”ใต้เท้าเลี่ยวพูดเช่นนี้ ยิ่งฟังดูเหมือนท่านเห็นเยี่ยนต้าจ้าวเป็นคนในครอบครัวตัวเองไม่มีผิด”
“ข้าเพียงแค่เตือนสติใต้เท้าเว่ยไม่ให้ตัดสินผิดพลาดจนทำให้ตัวเองเจ็บตัวเท่านั้น” ในเมื่อมันกลายเป็นการปะทะกันซึ่งหน้าขึ้นมาเช่นนี้ เลี่ยวจือฝู่จึงไม่คิดที่จะไว้หน้าใครอีกต่อไป เขาหันไปทางบรรดาขุนนางที่มาจากเมืองหลวงประจำมณฑล แล้วกล่าวขึ้นว่า ”ข้าได้ยินมาว่านอกจากตระกูลหลิวแล้ว ยังมีอีกสองตระกูลที่กล่าวหาเยี่ยนต้าจ้าว แต่พวกเขารู้สึกเสียใจกับการปล่อยข่าวลือเกี่ยวกับเยี่ยนต้าจ้าวลับหลัง ดังนั้นพวกเขาจึงเดินทางมาที่ศาลาว่าการเพื่อล้างมลทินให้กับชื่อของเยี่ยนต้าจ้าวด้วยตนเอง”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน
เลี่ยวจือฝู่ยิ้มเมื่อเขาเห็นสีหน้าของนาง เขาดูมั่นใจอย่างมาก
หึ มากังวลเอาป่านนี้ก็สายเกินไปแล้ว!
เขาอยากเห็นนักว่าเจ้าคนแซ่เว่ยผู้นี้จะมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อเขา ’ถูกทุกคนกดดัน’!
บรรดาขุนนางจากเมืองหลวงประจำมณฑลต่างก็ให้ความร่วมมือกับเขาเป็นอย่างดี ”ในเมื่อมีพยานคนอื่นอยู่อีก เช่นนั้นก็เรียกเขาเข้ามาให้การเสีย”
“ขอรับ” คนของศาลาว่าการค้อมศีรษะลงด้วยท่าทางเคารพ แล้วรีบพาคนทั้งสองตระกูลนั้นเข้ามา
เลี่ยวจือฝู่ยิ้มกว้าง ”พวกเจ้าทุกคนไม่ต้องกลัว เล่าสิ่งที่พวกเจ้ารู้ให้พวกข้าฟังมาสิ”
คนจากทั้งสองตระกูลนั้นล้วนแต่ไม่มีใครกล้าเงยหน้าขึ้น พวกเขาคุกเข่าอยู่กับพื้นโดยไม่แม้แต่จะสบตากับเฮ่อเหลียนเวยเวย พร้อมกับพูดออกมาเบาๆ ว่า ”พวกเราเข้าใจนายท่านเยี่ยนผิดไป ก่อนหน้านี้ชีวิตของพวกข้าทุกข์ยากลำบากนักเพราะพวกเขาเก็บเกี่ยวผลผลิตอันใดไม่ได้เลยแม้แต่น้อย นายท่านเยี่ยนสงสารพวกเรา ก็เลยแต่งเสี่ยวจู๋กับเสี่ยวชุ่ยเข้าไปอยู่ด้วย อย่างแรกเลยก็คือเขาชอบพอพวกนางมาก และอย่างที่สองคือเขาสามารถหยิบยื่นความช่วยเหลือให้กับพวกเราได้ด้วยขอรับ…”