องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 496 งัดไม้ตายออกมา
“ฟ้องใต้เท้าเว่ยหรือ ฟ้องใต้เท้าเว่ยเรื่องอะไร”
ประชาชนมองหน้ากันเพราะไม่สามารถทำความเข้าใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้
แต่พวกเขารู้สึกเป็นกังวลกับเรื่องนี้ยิ่งนัก
เห็นได้ชัดว่าคุณชายเลี่ยวในชุดเสื้อผ้าไหมชั้นดีนั้นมีอำนาจยิ่งกว่าเยี่ยนต้าจ้าว
ใต้เท้าเว่ยจะมีปัญหาเพราะไปต่อต้านเขาเข้าหรือไม่
หลิวอินมองไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยความเป็นห่วง
บนใบหน้าด้านข้างของเฮ่อเหลียนเวยเวยกลับมีสีหน้าถากถางปรากฏอยู่ ”เจ้าต้องการฟ้องข้าหรือ”
“ใช่แล้ว!” คุณชายเลี่ยวหรี่ตาลง แล้วพูดต่อ ”ไม่ใช่แค่เพราะเจ้าไม่ยอมชดเชยเงิน และกล่าวขอโทษข้าตอนที่เจ้าวิ่งเข้ามาชนข้า แต่เจ้ายังทำร้ายร่างกายคนของข้าและจับพวกเขาขังตามอำเภอใจอีก คนที่ใช้อำนาจในทางมิชอบเช่นเจ้าย่อมไม่เหมาะสมกับตำแหน่งขุนนางเช่นนี้!”
ใบหน้าของเฉินเหลียงดำทะมึนด้วยความโกรธทันทีที่เขาได้ยินคำพูดนั้น
เขารู้ดีกว่าใครว่าในเวลานั้นมันเกิดอะไรขึ้น!
ในเวลานั้นเจ้าลูกหมาแซ่เลี่ยวถึงกับขอโทษนางโดยไม่ลังเลสักนิดเลยด้วยซ้ำ!
แต่พอเห็นว่าเขาไม่อยู่ ตอนนี้มันเลยกล้ามาข่มลูกพี่หรือ
เจ้ารอดูก็แล้วกัน!
ตรงกันข้ามกับโทสะของเฉินเหลียง เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับส่งเสียงหัวเราะออกมาแทน ”โอ้? เช่นนั้นในความเห็นของคุณชายเลี่ยว ข้าควรทำอย่างไรเพื่อรักษาตำแหน่งขุนนางของตัวเองเอาไว้หรือ ข้าต้องซื้อชุดใหม่ให้เจ้าหรือเปล่า”
“เจ้ามีเงินพอที่จะซื้อชุดใหม่ให้ข้าด้วยหรือ” คุณชายเลี่ยวเป็นคนอวดดียิ่งกว่าเลี่ยวจือฝู่ ”เพียงแค่มองชุดปอนๆ ที่เจ้าสวมอยู่ ข้าก็รู้แล้วว่าเจ้ามันอยู่ในระดับไหน เจ้าลืมตาแล้วดูชุดของข้าให้ดีๆ สิ ต่อให้ใช้เงินเดือนทั้งชีวิต เจ้าก็คงไม่มีวันซื้อมันได้ด้วยซ้ำ!”
ผู้ว่าการเฉินแทบจะคว่ำโต๊ะเมื่อได้ยินเช่นนั้น คุณชายเลี่ยวผู้นี้ไม่เกรงกลัวผู้ใดเพราะมีใครคนหนึ่งคอยให้การสนับสนุนเขาอยู่
เพียงแค่ของสักชิ้นจากห้องบรรทม พระชายาก็สามารถเอาชนะเขาได้ง่ายๆ แล้ว
เขากลับเอาแต่พูดพล่ามและโอ้อวดเรื่องชุดเพียงชุดเดียวอยู่ได้!
ไม่รู้ว่าควรจะตกใจกับสติปัญญาอันโง่เขลาของเขา หรือจะดูถูกในความอ่อนต่อโลกของเขาดี!
พ่อลูกย่อมมีความคิดคล้ายกัน
แต่เฉินเหลียงเป็นคนชัดเจนในการกระทำมากกว่า เขากัดฟันกรอดแล้วเอ่ยว่า ”เจ้าคนแซ่เลี่ยวผู้นี้ช่างรนหาเรื่องเสียจริง ไม่ได้ถูกข้าอัดวันเดียว เขาถึงกับกล้านำเล่ห์เหลี่ยมของตัวเองมาแสดงถึงที่นี่เชียวรึ!”
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยพ่นลมออกมาทางจมูกอย่างเย็นชา ”เขากล้าเอาความร่ำรวยของตัวเองไปเทียบกับพี่สามแล้วก็พี่สะใภ้สามเลยหรือ สมองของเขาพัฒนาเต็มที่แล้วจริงๆ หรือ”
คุณชายเลี่ยวไม่รู้ถึงสิ่งที่ทั้งสองพูดถึงเขาอยู่ เขามั่นใจในความร่ำรวยของตนยิ่งนัก ดังนั้นเขาจึงยิ่งพูดเสียงดังขึ้นอีกว่า ”แล้วคนของข้าที่ถูกเจ้าทำร้ายล่ะ เจ้าคิดที่จะใช้เงินเพียงเล็กน้อยจัดการกับเรื่องนี้เหมือนกันหรือ ฝันไปเถอะ!”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าต้องการอะไรหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจัดแขนเสื้อของตัวเองด้วยท่าทางสบายๆ แล้วค่อยเคลื่อนสายตาขึ้นมองเขา…
เด็กชายหัวโล้นลดเสียงลง และบอกว่า ”ดูสิ พี่สามจะงัดไม้ตายออกมาใช้แล้ว!”
เฉินเหลียงกะพริบตาแล้วถามว่า ”ไม้ตายอะไรหรือ”
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร ข้าไม่ใช่พี่สามเสียหน่อย” องค์ชายเจ็ดตัวน้อยกัดซาลาเปาเนื้ออย่างโกรธเกรี้ยว แล้วมองค้อนใส่เฉินเหลียง ”ท่านถอยหลังไปอีกได้ไหม พี่สะใภ้สามสั่งข้าเอาไว้ว่าอย่าปล่อยให้ท่านเดินเข้าไป”
เฉินเหลียง : …
ทำไมคำว่า ’ปล่อย’ ที่องค์ชายเจ็ดตัวน้อยพูดถึงได้ฟังดูแปลกๆ
ในเวลาเดียวกันนั้น ที่ด้านในของศาลาว่าการ
คุณชายเลี่ยวที่กำลังจะชะตาขาดไม่รู้ตัวแม้แต่นิดเดียวว่าตัวเองกำลังจะดวงกุด เขาเอ่ยขึ้นอย่างอวดดีพร้อมกับเชิดจมูกขึ้น ”ขอโทษข้าต่อหน้าประชาชน และชดเชยเงินให้ข้าเป็นจำนวนหนึ่งหรือสองร้อยตำลึง”
“หนึ่งหรือสองร้อยตำลึงหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะเยาะว่า ”พ่อเป็นอย่างไร ลูกก็เป็นเช่นนั้นไม่มีผิด คุณชายเลี่ยวกล้าดียิ่งนักที่พูดเช่นนั้นออกมา!”
หยวนหมิงไม่อยู่เฉยเช่นกัน เขาหาวอย่างเกียจคร้าน แล้วบอกว่า ”แม่นาง แค่นี้ก็เห็นแล้วว่าเขากำลังพยายามที่จะโกงเงินเจ้าอยู่”
เฮ่อเหลียนเวยเวยส่งกระแสจิตพูดคุยกับหยวนหมิน น้ำเสียงของนางยังคงเยือกเย็น ”ก็ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะมีชีวิตรอดไปรับเงินนั่นได้หรือเปล่า…”
หยวนหมิงหยุดพูดทันทีที่เขาได้ยินคำพูดนั้น เขาเพียงยิ้มออกมาอย่างชั่วร้ายขณะลอยไปอยู่ที่ด้านหลังของเฮ่อเหลียนเวยเวย รอชมละครที่กำลังจะเกิดขึ้น
แน่นอนว่าคุณชายเลี่ยวย่อมไม่ได้ยินบทสนทนาของพวกเขา เขาจึงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงอวดดีว่า ”ข้ากล้าพูดเช่นนั้นเพราะข้ามีอำนาจอยู่ในมือ ตอนแรกข้าไม่อยากทำเช่นนี้ แต่ใต้เท้าเว่ย การใช้อำนาจของตัวเองจับกุมคนของข้าโดยพลการและตั้งคำถามกับท่านพ่อของข้าที่นี่นั้นนับว่าเป็นการกระทำที่ล้ำเส้นยิ่งนัก เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาทำเช่นนี้หรือ”
ในที่สุดบรรดาขุนนางจากเมืองหลวงประจำมณฑลก็มีข้ออ้าง พวกเขามองไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยสายตาไม่พอใจ แล้วกล่าวว่า ”ใต้เท้าเว่ย เรื่องนี้ท่านเป็นคนผิดจริง ท่านต้องขอโทษเขา”
“ขอโทษหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเยาะยิ้ม และเอ่ยขึ้นว่า ”ใต้เท้าทั้งหลาย ทำไมพวกท่านถึงบอกให้ข้าขอโทษเขาล่ะ ท่านเกรงกลัวฐานะของคุณชายเลี่ยวหรือ”
สายตาไม่พอใจของบรรดาขุนนางเหล่านั้นจับจ้องไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวยทันทีที่นางพูดจบ ”ใต้เท้าเว่ย ที่ท่านพูดมานั้นหาใช่ความจริงไม่ พวกข้าเพียงว่าไปตามกฎหมายและปฏิบัติตามเท่านั้น ได้โปรดอย่าพูดสิ่งใดอันจะเป็นการปลุกระดมผู้คนขึ้นมาอีกเลย ถ้าท่านยังยืนกรานที่จะทำเช่นนั้น พวกข้าคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลงมือตามกฎหมาย และถอดถอนท่านออกจากตำแหน่งเป็นการชั่วคราว”
“ถอดถอนเขาออกจากตำแหน่งเป็นการชั่วคราวรึ ท่านมีสิทธิ์ทำเช่นนั้นด้วยหรือ” มีคนถามขึ้นมาจากฝูงชน
ทีแรกขุนนางเหล่านั้นคิดที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองว่าเจ้าคนโง่เขลาเบาปัญญาที่กล้าวิจารณ์การกระทำของพวกเขาคือใคร
แต่สุดท้าย…
ทันทีที่พวกเขาหันไป พวกเขาก็ต้องตกใจจนถึงกับพูดไม่เป็นภาษา ”ใต้ ใต้เท้าเฉิน!”
พวกเขานึกไม่ถึงเลยว่าท่านผู้ว่าการที่ควรจะกำลังดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนในเมืองหลวงประจำมณฑลจะมาปรากฏตัวขึ้นในเมืองเล็กๆ อย่างเมืองฟู่ผิงได้
มิหนำซ้ำเขายังยืนฟังการไต่สวนนี้อยู่ท่ามกลางประชาชนอีกด้วย!
ดูจากชุดที่เขาสวมอยู่ เขาคงตั้งใจจะเดินทางมาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเป็นความลับ
ผู้ว่าการเฉินไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เขามองบรรดาขุนนางเหล่านั้นอย่างเย็นชา
ทันใดนั้น ขุนนางเหล่านั้นก็รู้สึกเหมือนตัวหดเล็กลง พวกเขาผุดลุกขึ้นแล้วถามว่า ”ท่าน ท่านมาทำอะไรที่นี่หรือขอรับ”
ผู้ว่าการเฉินคิดกับตัวเองว่า ถ้าข้าไม่มาพวกเจ้าคงได้ปลดพระชายาออกจากตำแหน่งของนางไปแล้วน่ะสิ!
หากเป็นเช่นนั้น องค์ชายจะต้องโมโหเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่แค่คนพวกนี้ แต่แม้กระทั่งผู้บริสุทธิ์อย่างข้าก็คงพลอยต้องรับกรรมไปด้วยเหมือนกัน!
เมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ผู้ว่าการเฉินก็เหลือบมองไปทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่ยืนอยู่โดยไม่รู้ตัว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงดูสูงโปร่งเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ใบหน้าด้านข้างของเขายังคงหล่อเหลาและเป็นประกายราวกระบี่ ความเย็นชาและสูงส่งของเขาแทบจะทิ่มแทงเข้าไปในดวงตาของทุกคน
ทั้งสองเคยพบหน้ากันหลายครั้งในวังหลวง หากว่ากันตามตรงแล้วผู้ว่าการเฉินนั้นนับว่าเป็นคนที่อยู่ฝ่ายเดียวกันกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย อย่างไรเขาก็เป็นขุนนางที่รับใช้อดีตฮ่องเต้มาตลอด และยังเข้าใจความคิดของเขาเป็นอย่างดี ดังนั้นเขาย่อมเข้าร่วมกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทันทีหากมีอะไรเกิดขึ้น
แม้กระทั่งตอนนี้ขุนนางเหล่านั้นก็ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น ทำไมทันทีที่เข้ามาถึง ผู้ว่าการเฉินถึงได้มองไปที่ที่ปรึกษาส่วนตัวตัวเล็กๆ ที่ยืนอยู่ข้างนายอำเภอด้วย
เลี่ยวจือฝู่รีบงัดสีหน้าตื่นเต้นดีใจเช่นเดียวกับตอนที่เขาได้เข้าไปในเมืองหลวงออกมาใช้ เขาเดินเข้าไป แล้วพยายามที่จะจับมือกับผู้ว่าการเฉิน ”ใต้เท้าเฉิน ในที่สุดท่านก็มาที่เมืองฟู่ผิงของพวกเราแล้ว…”
ขุนนางเหล่านั้นจึงเพิ่งจะเข้าใจ สรุปว่าเป็นเช่นนี้นี่เอง ท่านผู้ว่าการมาที่นี่เพราะคำเชิญของเลี่ยวจือฝู่หรือ
เขาคงมีเส้นสายกับคนที่เมืองหลวงจริงๆ แม้กระทั่งผู้ว่าการสามมณฑลก็ยังมาที่นี่เพราะให้เกียรติเขา
แต่บรรดาขุนนางเหล่านั้นก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมใต้เท้าเฉินถึงได้ปกป้องนายอำเภอของเมืองฟู่ผิง
เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเขาเข้าใจสิ่งที่ใต้เท้าเฉินพูดเมื่อครู่ผิดไป จริงๆ แล้วเขาอาจจะพูดถึงเรื่องอื่นอยู่ก็ได้
ในจำนวนคนทั้งหมดที่อยู่ที่นั่น มีเพียงแค่คุณชายเลี่ยวคนเดียวเท่านั้นที่รู้สึกมีลางสังหรณ์ขึ้นมาเล็กน้อยว่าหายนะกำลังใกล้เข้ามา
ตอนที่ท่านพ่อของเขาเอ่ยถึงตำแหน่งของใต้เท้าเฉินขึ้นมา ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เขามาที่เมืองฟู่ผิงขึ้นมาได้…