องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 500 รู้กันสองคน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลือกออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ เวลานี้ฟ้าเพิ่งจะรุ่งสางเท่านั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังหาวอยู่เลยด้วยซ้ำ หนังตาของนางจวนจะปิดอยู่รอมร่อ สิ่งเดียวที่นางอยากทำคือการกลับขึ้นรถม้าและนอนต่อ
แต่องค์ชายเจ็ดตัวน้อยที่อยู่อีกด้านหนึ่งนั้นกลับดูมีชีวิตชีวาอย่างมาก เขาหยิบสัมภาระทั้งหมดของพวกนางขึ้นมาแบกไว้บนบ่าด้วยมือข้างเดียว โดยไม่ลืมคาบซาลาเปาเนื้อของโปรดติดปากไปด้วย
องครักษ์เงาทุกนายที่ยืนอยู่ด้านหลังมองหน้ากันอย่างจนปัญญา พวกเขารู้สึกลำบากใจเป็นอย่างยิ่ง
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยเล่นทำทุกอย่างเองหมดเช่นนี้ แล้วจะยังเหลืออะไรให้พวกเขาทำอีกหรือ
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยไม่รู้ตัวเลยแม้แต่นิดเดียวว่าเขาทำให้องครักษ์เงาทุกคนตกงาน เขาออกแรงไปที่ขาสั้นๆ ของตัวเอง ก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนหลังม้า ใบหน้าเล็กๆ ของเขาดูเท่เสียไม่มี เสื้อคลุมที่เขาสวมอยู่ยังคงเป็นตัวเดียวกันกับที่เขาใส่ตอนมาถึงที่นี่ครั้งแรกแต่ดูสะอาดขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ท่าทางอันสง่างามในเวลานี้ทำให้เขาดูแข็งแกร่งและน่าเกรงขามทีเดียว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขึ้นรถม้าเป็นคนสุดท้าย เขากระโดดเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน ”ไปได้” เขาออกคำสั่งเบาๆ
เฮ่อเหลียนเวยเวยอ้าปากหาว นางค่อยๆ ตื่นขึ้นมาเล็กน้อยเพราะลมหายใจเย็นยะเยือกของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ”ทำไมเจ้าเจ็ดถึงไม่เข้ามาข้างในล่ะ”
“เขาไม่ได้โง่พอที่จะเข้ามาเป็นก้างขวางคอพวกเราตอนนี้น่ะสิ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยื่นมือออกไปคว้านางเข้ามาหาตัว
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังไม่ได้ขยับตัวแม้แต่นิดเดียว นางก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกเย็นวาบที่ริมฝีปากบางของตัวเองได้เสียก่อน
ปลายลิ้นของเขาติดจะเย็นเล็กน้อย ทั้งยังแฝงไปด้วยกลิ่นจากใบป๋อเหอ ทีแรกเขาเป็นฝ่ายนำนางอย่างใจเย็น แต่แล้วในเวลาต่อมา รสจูบนั้นก็พลันรุนแรงขึ้น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอุ้มนางนั่งบนพรมสีดำ ฝ่ามือของเขาปัดป่ายไปทั่วร่างกายของนาง ก่อนจะออกแรงกระชับแผ่นหลังของนางไว้ในตอนที่ดึงตัวของนางขึ้น
ปลายลิ้นของเขาเคลื่อนไหวอย่างร้อนแรงขึ้นทุกขณะ เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าเขากำลังใช้วิธีนี้บอกว่าไม่ว่าเวลาใด เขาก็ต้องการนางอย่างรุนแรง
เฮ่อเหลียนเวยเวยนึกถึงอาการเจ็บที่สะโพกด้านหลังตอนตื่นนอนเมื่อหลายวันก่อนขึ้นมาได้ ทันใดนั้นหัวใจของนางก็เต้นแรงอย่างยากจะควบคุม นางใช้มือดันแผ่นอกของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไว้ แล้วพูดขึ้นพร้อมกับหอบออกมาเล็กน้อยว่า ”นี่ จะทำอะไรก็ดูสถานการณ์หน่อยดีไหม”
“สถานการณ์ในเวลานี้ไม่ดีหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถามพลางไล้ฝ่ามือไปตามเอวของนาง ”ไม่มีใครมาขัดจังหวะพวกเราหรอก เจ้าก็ชอบนอนบนรถม้าเหมือนกันไม่ใช่หรือ”
คำว่านอนที่นางชอบคือการนอนที่เป็นคำนามต่างหาก ทำไมพอเขาพูดแล้วมันถึงกลายเป็นคำกริยาไปได้ล่ะ!
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังมีสติครบถ้วน ดวงตาของนางเป็นประกาย นางยืนขึ้นแล้วผลักเขาออกไป
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้ฝืนใจนาง เขาชอบให้อีกฝ่ายเป็นคนกระโดดเข้าสู่อ้อมกอดของเขาด้วยตัวเองมากกว่า ”ข้ายังไม่ได้กินมื้อเช้า จึงรู้สึกหิวขึ้นมาเท่านั้น”
“ทำไมท่านถึงข้ามมื้อเช้าไปอีกแล้วล่ะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยหันหน้ากลับไปมองเขาทันทีที่นางได้ยินเช่นนี้ นางเริ่มคุ้ยเอาขนมกินเล่นที่นางเก็บเอาไว้บนรถม้าออกมา แล้วส่งขนมชิ้นหนึ่งให้กับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ้ม ก่อนจะขยับริมฝีปากบางของตัวเองขึ้น เขาไม่ได้ทำเพียงแค่กัดขนมชิ้นนั้น แต่ยังดูดนิ้วของเฮ่อเหลียนเวยเวยไปด้วย
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกถึงลิ้นของเขาที่เคลื่อนผ่านไปตามนิ้วของตัวเองได้อย่างชัดเจน ความรู้สึกนั้นทำให้ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยใช้แขนโอบรอบตัวนางจากทางด้านหลัง ดวงตาของเขาเป็นประกายระยิบระยับราวกับดวงดาวและพระจันทร์สุกสว่าง คนที่ได้เห็นย่อมตกหลุมรักเขาได้อย่างง่ายดาย ”ขนมพวกนี้หวานเกินไปสำหรับข้า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้ต่อปากต่อคำกับเขาเพราะนางเคยเห็นความปากไม่ตรงกับใจของเขาที่คนอื่นไม่เคยรู้มาแล้วนั่นเอง นางรีบยัดขนมกุ้ยฮวาที่อยู่ในมือเข้าปากเขาทันที
เขายอมกินทุกอย่างที่นางป้อนให้ แม้ว่ามันจะไม่ใช่สิ่งที่เขาชอบก็ตาม
แต่ก็เพียงแค่ไม่กี่คำเท่านั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยจัดการขนมที่เหลือจนหมดเกลี้ยงเพราะไม่อยากให้เขากินของพวกนี้มากเกินไป นางเอ่ยขึ้นทั้งที่ยังเคี้ยวขนมอยู่เต็มปากว่า ”ข้าแค่ให้ท่านกินขนมชิ้นนี้รองท้องเท่านั้น ถึงเมืองหลวงเมื่อไหร่ข้าจะหาอะไรให้ท่านกินทีหลัง”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหัวเราะเบาๆ พร้อมกับมองคนที่เป็นห่วงเขาแต่ก็ยังเคี้ยวขนมจนแก้มตุ่ย ”เจ้ากินขนมพวกนี้หมดได้อย่างไรกัน”
“ข้าผิดหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยกลืนขนมลงคอ มุมปากของนางกระตุกขึ้น นางเหลือบตามองเขาแล้วบ่นในใจว่า คู่อื่นเขามีแต่ฝ่ายหญิงที่กินข้าวไม่หมดแล้วต้องขอให้ฝ่ายชายช่วย แต่ทำไมพอเป็นคู่ของนาง ทุกอย่างมันถึงได้กลับตาลปัตรกันเช่นนี้หรือ ถ้านางยังเอาแต่กินอยู่เช่นนี้ เห็นทีหลังจากนี้นางคงต้องเริ่มเป็นห่วงเรื่องน้ำหนักตัวเองแล้วกระมัง
เฮ่อเหลียนเวยเวยบีบแก้มตัวเอง นางรู้สึกท้อแท้ใจขึ้นมา
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยย่อมสังเกตเห็นสิ่งที่นางทำ เขาจึงบีบแก้มของนางบ้าง ”หืม แค่นี้ยังไม่พอหรอก”
“อะไรยังไม่พอหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเขาอย่างสับสน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนางด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม แล้วตอบว่า ”สัมผัสที่มือน่ะสิ เจ้าไม่รู้หรือว่าสามีของเจ้าชอบหยิกคนเจ้าเนื้อ”
“ฮ่าๆ” เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะตอบอย่างเย็นชา
สรุปว่าตอนนี้ท่านตั้งใจจะขุนข้าให้เป็นหมูเพียงเพราะรสนิยมความชอบของตัวเองหรือ
นางคงต้องบอกเลยว่าองค์ชายจะชั่วร้ายเกินไปแล้ว!
“ดังนั้นอย่าให้ข้าเห็นเจ้ากินข้าวน้อยลงล่ะ เข้าใจหรือเปล่า”
ท่านถึงกับขู่ข้าเลยหรือ เฮ่อเหลียนเวยเวยกลอกตา
จากนั้นเขาก็ดึงนางเข้าสู่อ้อมแขน ขณะที่นางกำลังสูดกลิ่นไม้จันทน์หอมๆ จากตัวเขาอยู่นั้น เขาก็วางศีรษะของตัวเองลงบนไหล่ของนาง แล้วเอ่ยเบาๆ ว่า ”เลิกคิดเรื่องไร้สาระได้แล้ว เจ้าต้องรู้จักดูแลร่างกายของตัวเองให้ดีกว่านี้”
“อืม” ริมฝีปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยหยักขึ้นเป็นรอยยิ้ม นางเข้าใจผิดหรอกหรือ
สรุปว่าองค์ชายก็แค่เป็นห่วงสุขภาพของร่างนี้ใช่หรือเปล่า
เฮ่อเหลียนเวยเวยคว้ามือของเขามาไว้ในมือตัวเองอย่างซุกซน นิ้วของพวกเขาเกี่ยวกระหวัดเข้าหากันระหว่างดื่มด่ำกับสัมผัสอันแนบชิดนี้อย่างเงียบๆ
รถม้าเคลื่อนตัวไปตามเส้นทางบนเขาในเมืองฟู่ผิง ผ่านไร่นาที่ได้รับการทดน้ำขึ้นมาจากแม่น้ำ ต้นข้าวสีเขียวขจีงอกงามอยู่เต็มทุ่ง ช่างเป็นภาพที่น่ายินดีอย่างมาก
ทุกคนต่างรู้สึกโล่งใจและมีความสุขยิ่งนักเมื่อได้เห็นความเปลี่ยนแปลงนี้ ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นน้ำใสสะอาด ทุกอย่างล้วนแต่สวยสดงดงาม
แต่แล้วจู่ๆ รถม้าก็จอดนิ่งสนิทอย่างกะทันหัน!
เฮ่อเหลียนเวยเวยกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยสบตากัน แล้วจึงเลิกม่านขึ้น มีคนจำนวนนับไม่ถ้วนยืนอยู่บนเถียงนาบริเวณด้านหน้าของรถม้า พวกเขากลัวว่าตัวเองอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินทางต่อไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะยืนอยู่เงียบๆ แทน พวกเขาเพียงแค่อยากมาส่ง ’ใต้เท้าเว่ย’ วีรบุรุษในดวงใจของตัวเองเท่านั้น
ชาวบ้านพวกนี้ล้วนแต่เป็นชาวนา
บางทีพวกเขาอาจจะถูกคนอื่นปฏิบัติเหมือนเป็นคนโง่อยู่เสมอ
เพราะอย่างไรในหมู่ของพวกเขา ก็มีคนเฮงซวยจำนวนไม่น้อยที่ตาโตด้วยความยินดีทันทีที่เห็นเงิน
แม้พวกเขาส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนที่ยากจนข้นแค้นที่สุด แต่พวกเขาก็ยังมีหัวใจแห่งความดี
บางครั้งสิ่งที่พวกเขาต้องการก็เรียบง่ายยิ่งนัก พวกเขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการมีอาหารเพียงพอ มีเสื้อผ้าสวมใส่ และได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมเท่านั้น
แต่ยากนักที่จะมีใครสักคนก้าวออกมา และทำอะไรเพื่อคนกลุ่มนี้
ตอนนี้กลับมีเฮ่อเหลียนเวยเวยปรากฏตัวขึ้นในฐานะ ’ใต้เท้าเว่ย’ ตอนที่นางมาถึงเมืองนี้ครั้งแรกนั้นยังไม่มีใครสนใจนางเลยแม้แต่คนเดียวด้วยซ้ำ แต่ในเวลานี้ที่นางกำลังจะไปจากที่นี่ กลับมีคนจำนวนมากที่ไม่อยากให้นางไป
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองภาพตรงหน้าอย่างเงียบๆ ความประหลาดใจปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง นางรู้สึกประทับใจกับสถานการณ์นี้ยิ่งนัก
“พี่สะใภ้สาม ท่านอยากลงไปหรือไม่ขอรับ” องค์ชายเจ็ดตัวน้อยที่ขี่ม้าอยู่ด้านหน้าหันกลับมากระซิบถามกับเฮ่อเหลียนเวยเวย
“ไม่ล่ะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยละสายตาออกจากภาพนั้น เสียงของนางฟังดูลุ่มลึกยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ ”เดินทางต่อได้แล้ว”
“ขอรับ” องค์ชายเจ็ดตัวน้อยจัดการเปิดเส้นทางด้วยท่าทางสง่างามและทรงอำนาจ
เฮ่อเหลียนเวยเวยถอนหายใจยาว หลังจากนี้เมื่อนางเปลี่ยนไปใช้ฐานะอื่นแล้ว นางน่าจะสามารถกลับมาเยี่ยมเยียนเมืองฟู่ผิงแห่งนี้ได้ และน่าจะสามารถสร้างสวนผลไม้หรืออะไรทำนองนั้นได้ด้วยกระมัง แต่เมื่อถึงเวลานั้น นางก็ไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะรับความจริงที่ว่า ’ใต้เท้าเว่ย’ เป็นผู้หญิงได้หรือเปล่า