องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 501 เจ้าเจ็ดถูกข่มขู่หรือ
“พี่สาม พวกเราจะตรงกลับเมืองหลวงกันเลยหรือขอรับ” เมื่อไม่มีใครอยู่รอบๆ อีก องค์ชายเจ็ดตัวน้อยจึงถามขึ้น พร้อมกับเคี้ยวซาลาเปาเนื้อไปด้วย ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยใช้นิ้วเรียวยาวค้ำใบหน้าด้านข้างของตัวเองเอาไว้คล้ายกับกำลังคิดอะไรอยู่ ”ยังมีเวลาอีกมาก พวกเราไปที่เมืองหลวงประจำมณฑลกันก่อนก็แล้วกัน”
“เมืองหลวงประจำมณฑลหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกสนใจขึ้นมาทันที ”คราวนี้เราจะปลอมเป็นใครดี”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ้มอย่างชั่วร้าย และตอบว่า ”ใต้เท้าเว่ยทำคุณประโยชน์ให้กับชาวบ้านมากมายถึงเพียงนี้ ย่อมเป็นธรรมดาที่ท่านจะได้เลื่อนขั้นเป็นจือฝู่ของเมืองหลวงประจำมณฑล”
เมื่อเห็นรอยยิ้มของพี่สาม องค์ชายเจ็ดตัวน้อยก็รู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ…
แต่ที่เมืองหลวงประจำมณฑลย่อมมีของอร่อยให้กินมากมาย!
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยเผยสีหน้าจริงจังเป็นอย่างยิ่งออกมาทันทีที่คิดได้เช่นนั้น เขามองตรงไปข้างหน้าด้วยใบหน้าเคร่งขรึมและสง่างาม ในเวลานี้เขาดูค่อนข้างน่าเชื่อถือทีเดียว
องครักษ์เงามองหน้ากันแล้วถามว่า ”ทำไมจู่ๆ องค์ชายเจ็ดถึงได้ดูเอาจริงเอาจังขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนี้ล่ะ”
“เขาคงรู้สึกประทับใจกับบรรดาชาวบ้านเมื่อครู่นี้กระมัง” หนึ่งในองครักษ์เงาพูดขึ้นพร้อมกับสูดน้ำมูก ”ในที่สุดองค์ชายน้อยของพวกเราก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว!”
ต้องยอมรับว่าความเป็นจริงนั้นมักจะแตกต่างจากที่จินตนาการเสมอ
เพราะประโยคถัดมาที่เด็กชายตัวน้อยเอ่ยขึ้นก็คือ ”พวกเจ้าล่วงหน้าไปที่เมืองหลวงประจำมณฑลก่อน แล้วหาภัตตาคารที่ดีที่สุดไว้ให้พวกข้าด้วย!”
ปากขององครักษ์เงาทุกนายถึงกับกระตุกโดยพร้อมเพรียงกัน นี่คือสิ่งที่เขาคิดอยู่ในหัวตอนทำท่าเค้นสมองอย่างหนักเมื่อครู่นี้อย่างนั้นรึ?!
เฮ่อเหลียนเวยเวยหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อได้ยินบทสนทนาจากด้านนอกนั้น นางจำคำขอระหว่างทางของเด็กชายตัวน้อยได้ จึงสั่งให้คนหาภัตตาคารที่หน้าตาดูไม่เลวรอไว้อยู่แล้ว
อากาศภายในเมืองหลวงประจำมณฑลนั้นจัดว่าดีทีเดียว ฝั่งตะวันตกของเมืองอยู่ติดทะเล และจากฝั่งตะวันตกก็ใช้เวลาเพียงครึ่งวันในการเดินทางตัดผ่านภูเขามายังเมืองหลวง
ดังนั้นพื้นที่แถบนี้จึงเต็มไปด้วยความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์อย่างไม่ต้องสงสัย แม้ว่ามันจะไม่ได้อยู่ห่างจากเมืองฟู่ผิงเท่าใดนัก แต่มันก็แตกต่างจากเมืองฟู่ผิงลิบลับ
ที่ภัตตาคารเลี้ยงสัตว์ทะเลเอาไว้เป็นจำนวนมาก แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องแปลกแต่อย่างใด
อย่างไรในจักรวรรดิจ้านหลงก็มีอาหารบางชนิดที่คนธรรมดายังไม่กล้ากิน
คงจะดีไม่น้อยหากพวกนางมีโอกาสได้กินปูทะเลหรือกุ้งมังกรบ้าง
ตรงกันข้ามกับนาง องค์ชายเจ็ดตัวน้อยกลับมีสีหน้าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เขาใช้ลิ้นเลียริมฝีปากพลางแนบตัวไปกับตู้ปลา และจ้องมองสัตว์ทะเลที่อยู่ข้างในตาไม่กะพริบ เขาต้องยืนเขย่งปลายเท้าเพราะยังไม่สูงพอ บนใบหน้าดูดีของเขาพลันปรากฏสีหน้าจริงจังนั้นขึ้นมาอีกครั้ง
หลังจากดูพวกมันจนพอใจ เขาก็หันหน้าไปหาพี่สามของตัวเอง
เฮ่อเหลียนเวยเวยพนันได้เลยว่าถ้าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วยละก็ ภัตตาคารแห่งนี้คงต้องยอมตัดใจจากตู้ปลาตู้นี้ไปแล้ว เพราะเจ้าเจ็ดจะต้องกระโดดลงไปไล่จับสัตว์ทะเลพวกนั้นอย่างแน่นอน!
ตอนนั้นนั่นเองที่พวกเขาได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลัง ”กุ้งมังกรหนึ่ง ปูทะเลหนึ่ง!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหันหน้ากลับไป และเห็นเสี่ยวเอ้อร์คนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังพวกนาง
แต่พวกนางยังไม่ทันสั่งอะไรเลย ทำไมเขาถึงสั่งอาหารให้พวกนางเสียแล้วล่ะ
เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้วสวยเข้าหากัน และเอ่ยขึ้นว่า ”พวกข้ายังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะสั่งอะไรเสียหน่อย”
“คุณลูกค้าอย่าล้อข้าเล่นสิขอรับ ท่านมองพวกมันอยู่นานแล้ว มิหนำซ้ำเมื่อครู่นี้คุณชายน้อยท่านนั้นก็ยังชี้มือมาที่ตู้ปลาของพวกเราอีก เพียงแค่นี้ก็เท่ากับว่าสั่งอาหารแล้วมิใช่หรือขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์พูดพร้อมกับรอยยิ้ม พลางเขียนรายการอาหารลงในกระดาษ ”ไม่ต้องห่วงนะขอรับ ครัวของเราได้รับรายการอาหารของท่านแล้ว และกำลังเตรียมอาหารให้ท่านอยู่ เชิญพวกท่านนั่งรออาหารทางนี้เลยขอรับ”
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยมองดูเขาอย่างไม่พอใจ แล้วบอกว่า ”ข้าแค่ชี้ไปเฉยๆ ไม่ได้เรียกใครมาสั่งอาหารเสียหน่อย”
“นายน้อยขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์เอ่ยขึ้นพร้อมกับปิดรายการอาหารที่อยู่ในมือ เขาไม่ได้มีท่าทีสุภาพอ่อนน้อมเหมือนก่อนหน้านี้ ”ข้าขออนุญาตให้คำแนะนำกับท่านสักเล็กน้อยนะขอรับ ที่ภัตตาคารไห่ปินแห่งนี้ เวลาท่านชี้อะไรก็เท่ากับว่าท่านสั่งสิ่งนั้น ถ้าท่านไม่คิดที่จะสั่งแล้วจะชี้ทำไมล่ะขอรับ”
เด็กชายตัวน้อยเพิ่งเคยได้ยินการพูดจาด้วยตรรกะที่ผิดเพี้ยนและน่าขันถึงเพียงนี้เป็นครั้งแรก ดวงตากลมโตของเขาหันไปมองทางพี่สาม
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังมีสีหน้าเยือกเย็น มุมปากของเขายกขึ้นน้อยๆ ดูไม่เป็นอันตราย แต่คนที่รู้จักเขาดีย่อมรู้ว่านี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของความโกรธของเขาเท่านั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตาแล้วสบตากับเสี่ยวเอ้อร์ที่ทำตัวอวดดีอยู่นั้น ก่อนจะพูดขึ้นว่า ”เจ้าไม่กลัวจะถูกร้องเรียนเพราะหลอกคนมาด้วยวิธีนี้หรือ”
“หา คุณลูกค้าพูดเรื่องอะไรอยู่หรือขอรับ หมายความว่าอย่างไรที่บอกว่าหลอกคนมา เราเปิดธุรกิจอยู่ที่นี่ การที่พวกเราจะทำอาหารให้หลังจากที่ท่านชี้นิ้วสั่งแล้วย่อมไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด แล้วก็อีกอย่างนะขอรับ หัดลืมตาและตั้งใจดูให้ดีๆ ด้วยว่าตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหน ที่นี่คือเมืองหลวงประจำมณฑล! แม้กระทั่งอดีตฮ่องเต้ก็ยังต้องสั่งอาหารทะเลจากร้านเราเพื่อส่งไปที่เมืองหลวงหากอยากเสวยเลยขอรับ ท่านเข้าใจหรือเปล่า” เสี่ยวเอ้อร์คนนั้นเยาะขึ้นทันทีที่พูดจบ ”จริงสิ อย่าหาว่าข้าพูดจาไม่น่าฟังเลยนะขอรับ แต่ข้าขอเตือนท่านว่าอย่าได้มาหาเรื่องกับภัตตาคารไห่ปินของพวกเราเลย มิฉะนั้นคนที่จะต้องเจ็บตัวก็คือท่านเอง!”
ดวงตาขององค์ชายเจ็ดตัวน้อยแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ชุดที่อยู่บนร่างของเขากระพือขึ้นลงจนเกิดเสียงหวีดหวิว พลังปราณของเขาพุ่งขึ้นเต็มที่ภายในเสี้ยววินาที
บรรดาองครักษ์เงายกมือขึ้นปิดหน้า พร้อมกับคิดในใจว่าเสี่ยวเอ้อร์ผู้นี้คงได้ถึงฆาตแน่!
แต่คาดไม่ถึงว่าองค์ชายเจ็ดตัวน้อยผู้ชื่นชอบการใช้ความรุนแรงกลับไม่ได้ลงมืออัดเขาเข้าจริงๆ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขากลับถอนหายใจออกมาเสียยืดยาว แล้วกอดเอวเฮ่อเหลียนเวยเวยเอาไว้ ก่อนบอกว่า ”อย่ากินที่นี่เลยขอรับ”
“ทำไมล่ะ พวกเราสั่งอาหารไปแล้วนี่” ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยเองก็เย็นชาไม่แพ้กัน นางลูบศีรษะของเด็กชายตัวน้อย แล้วบอกว่า ”ไหนๆ ก็จะต้องจ่ายเงินแล้ว เราก็ควรลองชิมดูมิใช่หรือว่าอาหารทะเลของที่นี่มีดีอะไร”
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยลดเสียงลง และพูดขึ้นว่า ”อันที่จริงเสด็จปู่ไม่ชอบอาหารทะเลขอรับ เขาจะรู้สึกคันขึ้นมาทั้งตัวทุกครั้งที่กินกุ้ง อาหารทะเลทั้งหมดที่ส่งมานั้นล้วนแต่ส่งมาให้ข้ากินขอรับ… ข้าจะไม่กินอาหารทะเลอีกแล้ว! ดูสิว่าเขาจะทำตัวโอหังเช่นนี้ได้อีกหรือไม่!”
“ไม่เป็นไรหรอก พวกเรายังกินอาหารทะเลได้เหมือนเดิม” เฮ่อเหลียนเวยเวยลูบศีรษะของเด็กชายตัวน้อยอีกครั้ง ”การที่พวกเขาทำตัวโอหังอวดดีเช่นนี้ไม่ใช่ความผิดของเจ้า มันไม่เกี่ยวกับว่าเจ้าจะชอบกินอาหารทะเลหรือไม่ ต่อให้เจ้าไม่ชอบอาหารทะเล แต่พวกเขาก็จะแต่งเรื่องอื่นขึ้นมาอยู่ดี ดูสิ พวกเขาเพิ่งแต่งเรื่องโดยอ้างชื่ออดีตฮ่องเต้ไปหมาดๆ เลยมิใช่หรือ ข้าว่าคงถึงเวลาที่เราต้องสอนบทเรียนให้พวกเขาแล้วกระมัง”
การใช้คำพูดสั่งสอนคนพวกนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่แต่อย่างใด
เพราะประการแรก การใช้กำลังทำร้ายเขาย่อมไม่ใช่กุญแจสำคัญในการแก้ปัญหานี้ ประการที่สอง ใครๆ ต่างก็รู้ว่านางไม่ชอบใช้กำลัง
ถ้ามีวิธีการที่มีอารยธรรมมากกว่านี้ นางก็คงยินดีที่จะนำมันมาใช้บดขยี้เจ้าคนที่ให้การสนับสนุนภัตตาคารไห่ปินแห่งนี้อยู่เบื้องหลัง
เฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกยิ้มมุมปากเมื่อคิดเช่นนั้น อาหารถูกนำมาวางทันทีที่นางพาเด็กชายตัวน้อยมานั่งที่โต๊ะแปดเหลี่ยมตัวหนึ่ง แต่ว่า…
กุ้งมังกรตัวที่อยู่ในจานกลับตัวเล็กยิ่งนักหากเทียบกับตัวที่พวกนางเห็นในตู้ปลา ขนาดของมันแทบจะห่างกันกว่าครึ่งเลยทีเดียว
แต่ที่เลวร้ายกว่านั้นคือปู มันตัวเล็กเสียจนพวกนางบอกไม่ได้เลยว่ามันเป็นปูทะเลจริงๆ หรือเปล่า มันดูเหมือนปูตัวเล็กๆ ตามแม่น้ำทั่วไปมากกว่า
เฮ่อเหลียนเวยเวยเคลื่อนสายตาลงมองหาราคา
ห้าสิบตำลึงหรือ!?
เฮ่อเหลียนเวยเวยเหยียดยิ้มเย็นชา นี่มันปล้นกันชัดๆ!
อาหารทะเลหน้าตาเช่นนี้อย่างดีที่สุดก็คงมีมูลค่าแค่ห้าตำลึงเท่านั้น
ยังไม่ต้องพูดถึงกลิ่นที่ลอยออกมาจากจาน เห็นได้ชัดว่าอาหารจานนี้ไม่ได้ทำมาจากอาหารทะเลสดๆ แต่มาจากตัวที่ตายแล้วทั้งนั้น
“กุ้งตัวนี้หน้าตาไม่เหมือนตัวที่ข้าเพิ่งชี้ไปเมื่อครู่นี้นี่นา” องค์ชายเจ็ดตัวน้อยโมโห กุ้งมังกรตัวใหญ่นั่นอยู่ที่ไหน?!
ในเวลานี้มีพ่อค้าต่างถิ่นอีกสองคนที่ประสบปัญหาเดียวกันกับเฮ่อเหลียนเวยเวย พวกเขาอยากลองชิมอาหารทะเลในเมืองหลวงประจำมณฑลที่ภัตตาคารแห่งนี้เพื่อดูว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ที่พวกเขาจะนำอาหารเหล่านี้กลับไปที่บ้านเกิด พวกเขาคาดไม่ถึงเลยว่าอาหารมื้อนี้จะเป็นการหลอกลวงกันเห็นๆ