องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 52 แต่งตัวยาจก แต่กินอย่างราชา
ในขณะที่นางก้มศีรษะลง ใบหน้าอันงดงามก็กลายเป็นสีแดงระเรื่อราวกับดอกบัวตูมที่กำลังจะผลิบาน ดวงตาคู่สวยของนางส่องประกายขณะที่มองไปยังไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ขนตาของนางดำหนาราวกับน้ำหมึก
แต่ทว่าสิ่งที่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ไม่รู้ก็คือชายตรงหน้าของนางไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นโอรสของฮ่องเต้ผู้ไม่เคยสนใจหญิงงามคนใดมาก่อน
ไม่ว่าหญิงสาวที่งดงามและมีเสน่ห์คนใดมาอยู่ตรงหน้า เขาก็จะเมินเฉยใส่พวกนางทั้งสิ้น
จากคำกล่าวของหนานกงเลี่ย “หากฝ่าบาทต้องการเห็นใบหน้างดงาม เขาก็แค่ส่องกระจกทุกวันก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายคนใดก็ไม่อาจเทียบเท่าเขาได้เลย”
อย่างไรก็ตาม น่าแปลกที่ครั้งนี้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับมองใบหน้าของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์อย่างประหลาดใจ พร้อมกับมองนิ่งอยู่เช่นนั้นครู่หนึ่ง
เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้ว นางไม่คิดว่าชายคนนี้จะเป็นคนที่มองรูปลักษณ์ภายนอก โดยไม่สนเรื่องจิตใจ หากเขาเป็นเหมือนกับคนอื่นๆ ก็ไม่ต้องกินอาหารมื้อนี้ด้วยกันต่ออีกแล้ว หรือพูดอีกแง่หนึ่ง คือความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องสานต่ออีกต่อไป
ยิ่งไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์นานขึ้นเท่าไหร่ สีหน้าพึงพอใจของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็ยิ่งปรากฏชัดมากขึ้นเท่านั้น แก้มทั้งสองข้างกลายเป็นสีชมพูดูน่ารักพร้อมกับหัวใจที่เต้นรัว และนางก็กำลังจะอ้าปากพูดอีกครั้ง
ขณะนั้นเอง นางก็สังเกตเห็นว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกำลังเอามือจับคางและขมวดคิ้วอย่างจริงจัง พร้อมกับเอ่ยถามอย่างไม่เร่งรีบ “เจ้าเป็นใครกัน”
น้ำเสียงของเขาฟังดูดี เยือกเย็นและสุขุม เป็นน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสง่างามอันเป็นเอกลักษณ์โดดเด่น
ทำให้ทุกคนที่ได้ยินรู้สึกมีความสุข
แต่ว่า
เจ้าเป็นใครกัน?
เจ้าเป็นใครกัน!
เจ้าเป็นใครกันอย่างนั้นหรือ!?
เมื่อได้ยินสี่คำนั้น ใบหน้าเล็กๆ ของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็ถอดสีในทันที ในขณะที่มือคู่นั้นก็บีบผ้าเช็ดหน้าของตนเองแน่น ดวงตาเขินอายที่มองไปทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ตอนนี้กลับกลายเป็นสายตาตกตะลึง และในที่สุด นางก็ไม่อาจทนไหวอีกต่อไป จึงหันหลังและเดินหนีไป
เฮ่อเหลียนเวยเวยเองก็รู้สึกตกตะลึงเช่นกัน นางหันหน้าไปมองรอยยิ้มชั่วร้ายของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
ชายคนนี้จะต้องจำเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ได้อย่างแน่นอน และเพราะว่าเขาจำนางได้ เขาจึงจงใจเอ่ยถามไปเช่นนั้น
น่าทึ่งมาก เยี่ยมไปเลย
หากที่นี่ไม่มีคนอื่นรายล้อมอยู่ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็อยากจะยกนิ้วโป้งให้ เพื่อสรรเสริญเขาจริงๆ
ความมีเล่ห์เหลี่ยมและเฉลียวฉลาดอย่างมีชั้นเชิงเช่นนี้ หาดูได้ยาก ไม่ว่าจะเป็นในยุคโบราณหรือยุคสมัยใหม่ก็ตาม
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยสังเกตเห็นสายตาที่เฮ่อเหลียนเวยเวยจ้องมองตนเอง เขาจึงหมุนตัวไปหานางและยกริมฝีปากขึ้น พร้อมกับแผ่รังสีความเย็นชาออกมาจากร่าง
ไม่นานนัก เฮ่อเหลียนเวยเวยก็เริ่มรู้สึกไม่แน่ใจว่าตนเองควรจะอยู่ห่างจากชายคนนี้ดีหรือไม่
ทั้งนี้ เพราะความเฉลียวฉลาดเกินไปของเขานั้นช่างอันตรายยิ่งนัก
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเหนือชั้นกว่า เขาเพียงแค่มองท่าทีของจิ้งจอกน้อยคนนี้ ก็รู้แล้วว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ เขาจึงหุบยิ้ม และแววตาก็แสดงท่าทีไร้เดียงสาออกมา “เป็นอะไรไปหรือ”
“เปล่า” เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่าตนเองคิดมากเกินไป อาจเป็นเพราะครั้งแรกที่นางพบชายคนนี้ นางสัมผัสได้ถึงความอันตรายอย่างมาก จึงเป็นเหตุผลที่นางคอยเตือนตัวเองให้ระวังเขาอยู่ตลอดเวลา แต่หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ชายคนนี้ก็ดูไม่แย่เลย นางไม่ควรมีอคติกับผู้อื่นเช่นนี้ “กินอีกสิ หากเจ้าไม่รู้จักนาง ก็ไม่ต้องกังวลไปหรอก”
“ตกลง” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบกลับอย่างเรียบเฉย แต่ภายใต้สายตาที่ลดระดับลงนั้น เผยให้เห็นถึงความประหลาดใจ เขาไม่คิดว่าตนเองจะเล่นละครเสแสร้งได้ถึงขนาดนี้ แต่ ‘เรื่องเล็กๆ น้อยๆ นั้น’ ก็ยังทำให้ตัวเขาดูน่าสงสัยอยู่ดี
ปล่อยมันไปเช่นนั้นหรือ
หึ จะเป็นไปได้อย่างไรกันเล่า
ยิ่งเหยื่อมีไหวพริบมากเท่าไหร่ และเขาสามารถฝึกเหยื่อตัวนั้นให้เชื่องได้ เขาก็จะยิ่งรู้สึกพึงพอใจมากขึ้นเท่านั้น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยกริมฝีปากบางของตนเองขึ้นเป็นรอยยิ้มอันสดใสบนใบหน้าของเขา เขาเหมือนเป็นจอมพลที่นั่งอยู่ในกระโจมของผู้บัญชาการ เพราะตั้งใจจะบงการและควบคุมทุกอย่าง เขาจึงต้องมีความอดทนมากพอที่จะรอก่อน
คนที่รู้สึกลำบากใจที่สุดคือเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ นางรับรู้ได้ว่าทุกคนในโรงอาหารกำลังจ้องมองนางอยู่ รวมถึงเพื่อนๆ ของนางจากหอชั้นเลิศด้วย เด็กสาวเหล่านั้นมาจากตระกูลที่ทรงอิทธิพล เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เติบโตมาจนถึงวัยนี้แล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกขายหน้าขนาดนี้
เรื่องนี้ทำให้เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์รู้สึกโกรธจนมือสั่น แต่นางก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเพื่อจะระบายความโกรธแค้นนี้ออกไปได้
“พี่รองจะไปพูดคุยกับชายที่ไม่มีเงินซื้อหมวกนักปราชญ์ทำไมกันเล่า” เฮ่อเหลียนเหมยอยู่ที่คฤหาสน์ผู้พิทักษ์มาเป็นเวลานาน ไม่ว่านางจะโง่เขลาแค่ไหน แต่นางก็รู้ว่าจะต้องพูดอะไรบางอย่างเพื่อช่วยเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ให้ออกจากสถานการณ์ในตอนนี้ นางมองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยความรังเกียจ “พวกเขาก็แค่เดินทางเส้นเดียวกันเพื่อมุ่งไปสู่หลุมศพก็เท่านั้น”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ได้รับสัญญาณจากเฮ่อเหลียนเหมยที่ส่งมาให้ ก็รีบเปลี่ยนท่าทางเป็นคนที่รู้สึกผิดในทันที “ข้า ข้าเพียงเห็นว่าคุณชายคนนั้นแต่งตัวโทรมมากก็เท่านั้น ไม่มีอะไรแอบแฝง ภูมิหลังของพวกเราไม่เหมือนกัน ข้าทำตัวจุ้นจ้านเกินไปเอง”
โทรมหรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้วรูปงามเข้าด้วยกัน พวกเขาพูดเหน็บแนมนางก็พอแล้ว แต่ตอนนี้ คนที่อยู่ข้างๆ นางกลับถูกพูดจาเหยียดหยามใส่ด้วยเช่นกัน พวกเขาคิดว่านางจะไม่โกรธเช่นนั้นหรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยบีบตะเกียบไม้ไผ่ที่ตั้งตรง แล้วรังสีความชั่วร้ายก็ปรากฏขึ้นในดวงตาที่เด็ดเดี่ยวของนาง
แต่ในขณะนั้นเอง อาจารย์จิ้งอู๋วั่งจากหอชั้นเลิศก็เดินทางมาถึงโรงอาหารพร้อมกับขันทีซุนพอดี เมื่อเขาได้ยินคำว่า “โทรม” เขาก็ตกใจจนแทบจะปาแส้หางม้าในมือทิ้งไป
จิ้งอู๋วั่งดูแปลกไป “ขันทีซุน ท่านคิดว่าอย่างไร ท่านคิดว่าโรงอาหารในสำนักศึกษาแห่งนี้ไม่ดีพอใช่หรือไม่ เรื่องนี้ ขันทีซุนวางใจได้ว่าเมื่อองค์ชายสามเสด็จมาถึง จะมีพ่อครัวมืออาชีพเตรียมอาหารที่มีคุณภาพระดับราชวังให้กับฝ่าบาทขอรับ” หลังจากพูดจบ เขาก็ลูบเคราสีขาวของตนเองแล้วหัวเราะ “อันที่จริง ขันทีซุนไม่จำเป็นต้องมาที่นี่ด้วยตัวเองก็ได้ขอรับ เพราะข้าเป็นคนดูแลที่แห่งนี้ด้วยตัวเอง ดังนั้นทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยอย่างแน่นอน”
“…”
ขันทีซุนอยากจะร้องไห้แต่ก็ไม่มีน้ำตา
[เจ้าคิดว่าข้าอยากจะมาที่นี่เช่นนี้หรือ โธ่เอ๊ย ข้าอยู่กับกองกำลังทหารหลวงที่เชิงเขาและรออยู่ทั้งวัน รอมาจนถึงตอนนี้ แต่ตอนนี้ คนๆ นั้นกลับปรากฏตัวในชุดคลุมสีดำที่ทำจากผ้าธรรมดา และอยู่ปะปนกับกลุ่มลูกศิษย์ทั้งหลายเช่นนั้น]
ทันทีที่เขาเข้ามาในโรงอาหาร ท้องไส้ของเขาก็รู้สึกปั่นป่วนไปหมด เข้าใจกันบ้างไหมเล่า เขาต้องกลืนยาสองเม็ดในคราวเดียวเพื่อสงบจิตใจ และจะได้ไม่เสียการควบคุม จนกรีดร้องออกมาเสียงดังในภายหลัง
ทำไมฝ่าบาทที่ควรจะอยู่ในวังกลับปรากฏตัวขึ้นที่นี่ได้ เขาไม่สามารถจะเอ่ยคำทักทายได้ด้วยซ้ำ เฮ้อ
เขาไม่ได้เตรียมการใดๆ เลยแม้แต่น้อย แผนผังของสำนักศึกษาแห่งนี้ก็ยังไม่ได้ดูเลยด้วยซ้ำ และเจ้าสำนักก็ไม่อยู่ที่นี่ นอกจากนี้เขายังไม่มีเวลาตอบจดหมายของอดีตฮ่องเต้อีกด้วย… กล่าวโดยสรุป คือ ทำไมถึงไม่มีใครแจ้งให้เขารู้ว่าองค์ชายสามได้เข้ามาในสำนักไท่ไป๋แล้ว และยังเข้ามาในฐานะ “ศิษย์ธรรมดา” คนหนึ่งอีกด้วย
แล้วอย่างนี้ เขาจะกลับไปที่วังเพื่อรายงานต่ออดีตฮ่องเต้ว่าเขาพบกับองค์ชายสามที่นี่ได้อย่างไรกันเล่า
หลังจากที่ขันทีซุนนึกมาถึงจุดนี้ เขาก็รู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งตัว และในขณะที่กำลังจะก้าวไปข้างหน้านั้น เขาก็ต้องหยุดฝีเท้าลงเพราะสายตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่จ้องมองมา
สายตาที่เย็นเฉียบคู่นั้น เผยให้เห็นการข่มขู่ที่ดูเย็นชาและไร้ความปรานีที่กำลังแผ่ซ่านออกมา
ขันทีซุนเป็นคนฉลาด เฮ้อ เขาใช้เวลากว่าครึ่งชีวิตในวัง แม้ว่าเขาจะไม่สามารถคาดเดาคำพูดและการกระทำของเจ้านายของเขาได้เต็มสิบส่วนทุกอย่าง แต่เขาก็พอจะสามารถมองออกได้ประมาณเจ็ดส่วนเลยทีเดียว
และตอนนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาทไม่ต้องการให้เขาเข้าไปหา…
“ขันที? ขันทีซุน?” จิ้งอู๋วั่งเห็นว่าเขาตกอยู่ในภวังค์และกำลังทอดสายตาไปไกล เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองตามสายตาของอีกฝ่าย หลังจากนั้น เขาก็หัวเราะออกมา “คนที่ขันทีซุนกำลังมองอยู่คือบุตรสาวของตระกูลเฮ่อเหลียนที่เก่งกาจ และตอนนี้ นางก็เป็นลูกศิษย์ของข้าอย่างเป็นทางการแล้ว”
เดิมที ขันทีซุนยังกังวลว่าจะแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นฝ่าบาทได้อย่างไร แต่แล้วอาจารย์จากหอชั้นเลิศคนนี้ก็ช่วยหาข้อแก้ต่างให้เขาได้เป็นอย่างดี
เขายิ้มและพยักหน้า พร้อมกับบังคับให้ตัวเองถอนสายตาจากองค์ชาย แล้วตอบกลับ “ข้าเคยได้ยินมาว่าบุตรสาวคนรองของตระกูลเฮ่อเหลียนนั้นงดงามราวกับเทพธิดา และมีนิสัยน่ารักต่างจากเด็กสาวทั่วไป เมื่อได้เห็นนางวันนี้แล้ว นางช่างไม่ธรรมดาจริงๆ ท่านอาจารย์โชคดียิ่งนักที่ได้รับศิษย์ที่มีอนาคตก้าวไกลเช่นนี้”
“ที่ไหนกัน ท่านพูดเกินไปแล้ว” เขาโบกมืออย่างรวดเร็ว แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็ไม่ได้ลดลงเลย “เด็กคนนั้นเฉลียวฉลาด เมื่อการคัดเลือกพระชายามาถึง ข้าก็หวังว่า ขันทีซุนจะดูแลนางเป็นพิเศษ”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘การคัดเลือกพระชายา’ ทุกคนในโรงอาหารต่างก็หันมามองดูพวกเขา รวมทั้งเฮ่อเหลียนเวยเวยเองก็อยู่ในกลุ่มนั้นด้วยเช่นกัน…