องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 527 เฮ่อเหลียนเวยเวยกับองค์ชายรักกันหวานชื่น
เมื่อเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี เถ้าแก่หลี่ที่เป็นผู้ดูแลของภัตตาคารไห่ปินก็คิดที่จะหนีออกมาจากฝูงชน!
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ก้าวเท้า ร่างร่างหนึ่งก็เข้ามายืนอยู่ตรงหน้าเขาเสียก่อน
เป็นต้าสงนั่นเอง
ร่างสูงใหญ่บึกบึนเกินกว่าคนทั่วไปของเขาทำให้เขาสามารถอุ้มใครก็ตามได้อย่างง่ายดาย
เถ้าแก่หลี่ตัวแข็งอยู่กับที่ทันทีที่ต้องเผชิญหน้ากับชายร่างยักษ์เช่นเขา
จากนั้นต้าสงก็ใช้มือข้างหนึ่งคว้าคอเสื้อของเถ้าแก่หลี่ขึ้น แล้วคว้าร่างของเขาขึ้นด้วยท่าทางเหมือนคนกำลังถือผักกาด เขาพาอีกฝ่ายมาส่งที่หน้าไป๋หลี่เจียเจวี๋ย แล้วโยนเขาลงบนพื้น พร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า ”ฝ่าบาท ชายคนนี้พยายามหาทางหนีอยู่ครู่ใหญ่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ท่านสั่งให้กระหม่อมคอยจับตามองฝูงชน และเมื่อครู่นี้กระหม่อมก็สังเกตเห็นเขาว่าเขาดูมีพิรุธทีเดียว ยิ่งกว่านั้นเขายังเป็นคนที่พูดให้ท้ายภัตตาคารไห่ปิน และยังเป็นคนที่กล่าววาจาว่าร้ายใต้เท้าเว่ยอีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
เถ้าแก่หลี่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้น แทนที่จะทำเช่นนั้น เขากลับพยายามปิดบังใบหน้าของตัวเองเอาไว้อย่างสุดชีวิต
เฮ่อเหลียนเวยเวยก้าวช้าๆ เข้าไปหาเขา และหัวเราะราวกับเย้ยหยัน ”นี่มันเถ้าแก่หลี่ไม่ใช่หรือ”
”ใต้เท้าเว่ย! ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย!” คนแซ่หลี่คนนี้ลื่นราวกับปลาไหล เมื่อเขาเห็นว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจำเขาได้ เขาก็เริ่มพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองทันที ”ข้าเป็นเพียงแค่ผู้ดูแลของภัตตาคารไห่ปินแค่ในนามเท่านั้น ข้าไม่สามารถบงการหรือตัดสินใจอะไรได้ขอรับ! เจ้าของตัวจริงของภัตตาคารแห่งนี้คือเลี่ยวฉิงเทียนต่างหาก!”
เขาไม่ได้พูดอะไรถึงผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนแม้แต่น้อยขณะที่เงียบไป
นี่คือความเฉลียวฉลาดอย่างที่คนเป็นพ่อค้าควรมี
เขาจะไม่ยอมให้ตัวเองต้องเจอทางตัน
ในเมื่อผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น เขาย่อมไม่มีทางยอมเปิดเผยว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าเขายังพูดไม่จบ นางเก่งเรื่องสอบปากคำผู้กระทำผิดหัวไวเช่นนี้มากกว่าการต่อสู้มาตั้งแต่ชาติที่แล้ว ทันทีที่นางสังเกตเห็นว่าสายตาของเถ้าแก่หลี่ดูลอกแลก เฮ่อเหลียนเวยเวยก็รู้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ”เถ้าแก่หลี่พยายามโยนความรับผิดชอบให้กับเลี่ยวฉิงเทียนเพราะเขาตายแล้วอย่างนั้นหรือ ท่านคิดจริงๆ หรือว่าท่านจะรอดไปได้ รีบคายความจริงออกมาดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้าคงต้องให้ท่านร่วมเดินทางไปพร้อมกับเลี่ยวฉิงเทียน”
”ไม่ ไม่ ไม่เอา ไม่เอานะขอรับ! ข้าจะบอก ข้าจะบอกทุกอย่างขอรับ!” เถ้าแก่หลี่หลุบตาลง เหงื่อเย็นๆ ซึมชื้นเพราะความหวาดกลัว แต่เขาก็ยังกลอกตามองคนอื่นได้ ”กิจการของภัตตาคารนี้เป็นความคิดของเลี่ยวจือฝู่มาตั้งแต่ต้นขอรับ เขาบอกว่าการโกงคนต่างถิ่นเป็นเรื่องง่าย และพวกเขาก็คงไม่กล้าพูดอะไรอีกด้วย นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเราตั้งราคาอาหารไว้สูงถึงเพียงนั้น หลังจากนั้นภัตตาคารไห่ปินก็เริ่มมีชื่อเสียง ดังนั้นเลี่ยวจือฝู่จึงบอกว่าพวกเราไม่มีอะไรต้องกลัวและให้เราซื้อกุ้งกับปูที่ตายแล้วในราคาถูกมาทำเป็นอาหารขอรับ ข้ายังลังเลในเรื่องนี้เพราะกลัวว่าอาจจะสร้างปัญหาให้กับเราได้ แต่คุณชายเลี่ยวที่เป็นลูกชายคนโปรดของเลี่ยวจือฝู่กลับรับประกันว่ามันย่อมไม่มีปัญหาแน่ เพราะศาลาว่าการเป็นของพวกเขา!”
ทันทีที่ผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนได้ยินเรื่องนี้ จู่ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนกับว่ากำลังมีมดไต่อยู่ในกางเกง
อย่างไรเสี่ยวอวี่ก็แตกต่างจากเลี่ยวฉิงเทียน เพราะเขาเป็นหลานของเขา!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยสังเกตเห็นเรื่องนั้น เขากระตุกมุมปากขึ้นอย่างชั่วร้าย ”เช่นนั้นเราก็ควรเชิญคุณชายเลี่ยวมาให้การที่ศาลาว่าการด้วย อีกอย่าง พาตัวเลี่ยวจือฝู่มาด้วยล่ะ เขาจะได้เป็นเพื่อนร่วมเดินทางไปกับเลี่ยวฉิงเทียน”
เฮ่อเหลียนเวยเวยได้ยินคำพูดของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย นางเดินเข้าไปหาเขาอย่างเงียบๆ แล้วใช้เสียงที่ได้ยินกันเพียงแค่สองคนเอ่ยกับเขาว่า ”คำพูดประโยคสุดท้ายของท่าน…”
”ใช่… ข้าเลียนแบบเจ้า”
องค์ชายยอมรับอย่างไม่อ้อมค้อม คำตอบนี้ทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย มุมปากของนางกระตุกขึ้นติดกันหลายครั้ง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองใบหน้าน่ารักที่อยู่ตรงหน้าพร้อมกับเผยสีหน้าที่คล้ายจะเป็นรอยยิ้มออกมา
ตอนนี้เฮ่อเหลียนเวยเวยมั่นใจเต็มสิบส่วนแล้วว่าองค์ชายกำลังแกล้งนางเล่นอยู่
งานอดิเรกอะไรของเขา!
ช่างมันเถอะ อย่างไรนางก็เป็นถึงประธานจอมเผด็จการนี่
ประธานจอมเผด็จการทุกคนในโลกนิยายล้วนแต่ถูกคนที่เป็นครึ่งชีวิตของตัวเองทำให้ต้องรู้สึกทรมานใจด้วยกัน
องค์ชายยังถือว่าดีกว่าพวกคนที่เอาแต่ร้องห่มร้องไห้และพูดว่า ”ไม่ ข้าไม่อยากทำ ข้าไม่อยากทำจริงๆ” เป็นไหนๆ
เฮ่อเหลียนเวยเวยพอใจยิ่งนัก นางมองไปที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยด้วยสายตาชื่นชม
ตรงกันข้าม เฮยเจ๋อที่ยืนอยู่ข้างนางและต้องทนดูท่าทางสนิทสนมของทั้งสองคนมาโดยตลอดกลับยกมือขึ้นลูบคางตัวเอง เขาดึงนางเข้ามาหาตัว แล้วพูดขึ้นก่อนที่เลี่ยวจือฝู่และคุณชายเลี่ยวจะมาถึงว่า ”เกิดอะไรขึ้นระหว่างเจ้ากับองค์ชายสามหรือ”
”หมายความว่าอย่างไรที่ว่า เกิดอะไรขึ้น” เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว แล้วร้องว่า ”อ๋อ” ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดว่า ”ไม่รู้หรือ ก่อนหน้านี้ข้าก็พูดมาตลอดนี่ว่าในฐานะของประธานจอมเผด็จการ พวกเราควรจะปรับตัวให้เข้ากับคนที่เป็นอีกครึ่งหนึ่งของตัวเอง นี่เป็นเรื่องของหลักการ! แล้วก็เป็นเรื่องของบรรทัดฐานด้วย!”
ทันทีที่ได้ยินดังนี้ สีหน้าของเฮยเจ๋อก็ถึงกับแข็งค้าง
ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าเขาจะเรียกเอาเสียงของตัวเองกลับมาได้ เขาพูดติดจะยานคางว่า ”ดังนั้นเจ้าก็เลยยังคิดว่าตัวเองเป็นประธานจอมเผด็จการ และองค์ชายสามเป็นคนที่เจ้าตามเกี้ยวพาราสีหรือ”
หลังจากพูดจบ เฮยเจ๋อก็รู้สึกเหมือนเขาจะสำลักน้ำลายตัวเอง
มันก็ผ่านมานานแล้ว องค์ชายสามยังไม่เห็นหนังสือ ’ร้อยแปดวิธีมัดใจ ’ภรรยา’ เล่มนั้นอีกหรือ
ทำไมเขาไม่ทำให้นางเลิกคิดเช่นนี้เสียที
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเฮยเจ๋อด้วยสายตาประหลาด ”ก็ข้าเป็นฝ่ายไล่ตามตื๊อเขา”
เฮยเจ๋อลอบคำรามอยู่ภายในใจ!
ประเด็นมันอยู่ตรงนั้นหรือ
นางควรมุ่งความสนใจไปยังเหตุผลที่ทำให้นางคิดว่าตัวเองเป็นประธานจอมเผด็จการต่างหาก!
เจ้าไม่สังเกตหรือไรว่าประธานจอมเผด็จการพวกนั้นล้วนแต่เป็นชายหนุ่มทั้งสิ้น
ขณะที่เฮยเจ๋อหายใจเข้าลึกๆ และกำลังจะพูดต่อนั่นเอง องค์ชายก็ตวัดสายตามามองเขาเสียก่อน ในดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยคำเตือน
ทันใดนั้นเขาก็ต้องชะงัก
เขาแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเบื้องบน
จากนั้นเขาก็หันกลับมาที่ผู้เป็นน้องสาวที่เดิมเป็นคนฉลาดเฉลียว แต่ในเวลานี้กลับซื่อบื้อและน่ารักยิ่งนัก
เขายื่นมือออกไปตบบ่าเฮ่อเหลียนเวยเวย ”เจ้าคิดแบบนั้นก็ดี เยี่ยมไปเลย”
นางเป็นเพียงเด็กสาวใสซื่อและน่าสงสาร บางทีองค์ชายจอมเจ้าเล่ห์คนนี้คงไม่ยอมให้ใครบอกนางกระมังว่าสุดท้ายแล้วกุญแจสำคัญที่ว่านั่นคืออะไร…
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปพูดกับเฮ่อเหลียนเวยเวยว่า ”มานี่สิ” น้ำเสียงของเขาลุ่มลึกและยิ่งฟังดูแหบพร่าในยามที่เขาลดเสียงลง
เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินเข้าไปหาเขาอย่างไม่ลังเล แล้วทันใดนั้นเขาก็ใช้มือของตัวเองจับมือนางไว้
ทั้งสองคนยืนอยู่ชิดกัน ถ้าไม่ใช่เพราะแขนเสื้อของชุดในสมัยโบราณยาวมากละก็ ทุกคนคงสังเกตเห็นนิ้วที่เกี่ยวกระหวัดกันอยู่ของพวกเขาเข้าแล้ว
ปลายจมูกของนางเต็มไปด้วยกลิ่นหอมหวานของเขา และเมื่อมันผสานเข้ากับสัมผัสเย็นๆ จากปลายนิ้วนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยิ่งรู้สึกดีจนต้องเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้เขาด้วยท่าทางไร้เดียงสา
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชะงักไปครู่หนึ่ง ความอ่อนโยนปรากฏขึ้นแทนที่ความเย็นชาที่อยู่ในดวงตานั้น พวกมันเหมือนกับฟ้าพร่างดาวตอนยามจื่อ[1]ไม่มีผิด…
เฮยเจ๋อเป็นเพียงคนเดียวในศาลาว่าการแห่งนั้นที่สังเกตเห็นสีหน้าและท่าทางของทั้งสอง เขารู้สึกขมขื่นยิ่งนัก!
เฮ้ เฮ้ ประทานโทษนะ พวกเจ้าช่วยเก็บเรื่องนี้ไว้ทำกันสองคนได้หรือเปล่า
ผ่านไปตั้งนานแล้ว ทำไมเลี่ยวจือฝู่กับคุณชายเลี่ยวยังมาไม่ถึงเสียที
ไม่ว่าพวกเขาจะมีความผิดหรือไม่ แต่ก็ช่วยรีบเข้ามาขัดจังหวะสองคนนี้ทีเถอะ!
คุณชายเลี่ยวที่ยังคงส่งเสียงเอะอะโวยวายอยู่นั้นไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในเวลานี้ ตอนที่ชายชุดดำสองคนเดินเข้ามา และแจ้งให้เขาทราบว่ามีคนจากศาลาว่าการเชิญตัวเขาไปนั้น เขากำลังเคี้ยวองุ่นที่หญิงงามอันดับหนึ่งจากหอนางโลมป้อนให้อยู่เลยด้วยซ้ำ
ทันใดนั้นคุณชายเลี่ยวก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันซวยของเจ้าคนแซ่เว่ย บางทีท่านลุงของเขาอาจต้องการให้เขาไปช่วยให้การปรักปรำเจ้าคนแซ่เว่ยคนนั้นก็ได้ ดังนั้นเขาจึงตามทหารทั้งสองนายไปโดยไม่ได้คิดจะสืบสาวราวเรื่องอะไร ก่อนจะเดินวางท่าใหญ่โตเข้าไปในศาลาว่าการ…
[1] ช่วงเวลา 23.00-00.59 น.